เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 31 หนานกงฉีเฉินตกใจจนสติหลุด (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 31 หนานกงฉีเฉินตกใจจนสติหลุด (รีไรท์)

ตอนที่ 31 หนานกงฉีเฉินตกใจจนสติหลุด (รีไรท์)

คนตัวเล็กลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น ขาสั้นป้อมคู่นั้นวิ่งไปหาท่านพ่ออย่างรวดเร็วและชนเข้ากับตัวของหนานกงสือเยวียนจนกระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าว

เมื่อเทียบกับหนานกงสือเยวียน เกรงว่าหน้าผากของนางคงจะเจ็บมากกว่า แต่เสี่ยวเป่าไม่สนใจ เพียงเงยหน้าส่งยิ้มสดใสของเด็กน้อยไร้เดียงสาให้ท่านพ่อ

“ท่านพ่อ ๆ ท่านกลับมาแล้ว!”

เจ้าก้อนแป้งที่ตื่นเต้นจนเกินเหตุจับมือท่านพ่อมาถูไถเหมือนแมวน้อยติดแม่

หนานกงสือเยวียนตอบรับอย่างนุ่มนวล อุ้มคนเด็กเล็กขึ้นมา แล้วใช้นิ้วลูบหน้าผากที่เจ็บเล็กน้อยจากการกระแทก

“เด็กโง่ คราวหน้าก็วิ่งช้า ๆ หน่อย”

เสี่ยวเป่า “เข้าใจแล้วเพคะ…”

ขณะที่กำลังอุ้มคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน หนานกงสือเยวียนเป็นอันต้องชะงักไป ช่วงหลังมานี้ นางไม่เพียงดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นเท่านั้น แต่คนในอ้อมแขนยังหนักขึ้นอีกด้วย

ทว่าก็ไม่ได้หนักหนาเกินกำลังของหนานกงสือเยวียน

ด้านหนานกงฉีเฉินกลับตกตะลึงที่เห็นเสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปกอดเสด็จพ่ออย่างไม่ลังเล

เมื่อเห็นเสด็จพ่อผู้เย็นชาน่าเกรงขามกอดลูกน้อยอย่างนั้นแล้ว หนานกงฉีเฉินพลันตกใจจนเข่าแทบทรุด!

นี่…นี่ใช่คนเดียวกันกับเสด็จพ่อที่เอาแต่ขมวดคิ้ว และทำหน้ายักษ์ยามพบหน้าบรรดาองค์ชายอยู่หรือไม่?!

เสด็จพ่อผู้โหดเหี้ยมสังหารคนโดยไม่กะพริบตาจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่ลูกในไส้ก็ยังไม่กล้าเข้าหา?!

หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของคนตรงหน้ายังเหมือนเดิมละก็… หนานกงฉีเฉินคงคิดว่านี่ไม่ใช่เสด็จพ่อตัวจริง!

เสี่ยวเป่ายังคงกอดคอท่านพ่อไว้ ใบหน้าเล็กแนบชิดกับลำคอแกร่งอย่างออดอ้อน ปากเล็ก ๆ ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ช่างเป็นภาพที่ดูเปี่ยมไปด้วยความสุขอบอุ่นหัวใจ

ฝูไห่กงกงเห็นสีหน้าอึ้งตะลึงขององค์ชายหกก็อดเห็นอกเห็นใจไม่ได้ องค์ชายหกผู้น่าสงสาร ผู้ใดใช้ให้ท่านไม่เกิดเป็นองค์หญิงน้อยกันเล่าพ่ะย่ะค่ะ

ทั้งยังแสดงสีหน้าราวกับจำบิดาแท้ ๆ ของตนไม่ได้ ยืนนิ่งเหมือนคนสติหลุดอยู่อย่างนั้น

หนานกงสือเยวียนหันมองโอรสของตน ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กไว้บนแขนข้างเดียวแล้วเอ่ยถามเสียงทุ้ม

“เจ้าทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?”

เสี่ยวเป่าโบกมืออย่างร่าเริง “ท่านพี่มาเร็ว ท่านพ่ออยู่ตรงนี้”

หนานกงฉีเฉินกลับมามีสติอีกครั้ง จึงทำความเคารพด้วยใบหน้างุนงง

“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”

หนานกงสือเยวียนตอบรับเบา ๆ “การเรียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

พบหน้าโอรสของตนคราใด พวกเขาเอาแต่เกรงกลัวเขา ตัวหนานกงสือเยวียนเองก็ไม่รู้ว่าจะเข้าหาพวกเขาอย่างไร ทุกครั้งที่พบกันต่างปฏิบัติต่อกันเหมือนฮ่องเต้กับขุนนาง

พ่อลูกมีความรู้สึกเช่นกัน แต่ไม่มากนัก

นี่เป็นวิธีที่พ่อและลูกชายส่วนใหญ่ในราชวงศ์ปฏิบัติต่อกัน

ไม่มีผู้ใดกล้าเกาะติดผู้เป็นพ่อเหมือนเสี่ยวเป่าที่ไม่กลัวหนานกงสือเยวียนสักนิด

ท่าทางเย่อหยิ่งที่เด็กชายเคยแสดงออกยามที่อยู่กับเสี่ยวเป่าบัดนี้ไม่หลงเหลือให้เห็น ได้แต่ทำตัวให้สุขุม และตอบคำถามเรื่องการเรียนของตนอย่างสำรวม

เสี่ยวเป่าหันมองท่านพ่อ จากนั้นก็หันมองพี่ชายสลับกันไปมาด้วยความแปลกใจ

เมื่อถึงเวลาอาหาร เจ้าก้อนแป้งน้อยก็ลงมาจากอ้อมแขนท่านพ่อ จับมือใหญ่ด้วยมือเล็กนุ่มนิ่ม อีกข้างจับมือพี่ชาย พร้อมส่งยิ้มหวานให้ทั้งสองคน

“ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”

หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีเฉินยืนอึ้ง พ่อลูกมองหน้ากันแล้วรีบหลบตา

หนานกงฉีเฉินประหม่ามากเมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ แค่จะพูดคุยเขายังไม่กล้าพูดเกินประโยคหนึ่ง

ในสายตาของเขา เสด็จพ่อนั้นน่าเกรงขามราวกับเทือกเขาสูงใหญ่ยากจะข้ามผ่าน ความกดดันมหาศาลและท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากตัวเสด็จพ่อมันทำให้ตัวเขาที่แม้จะเป็นลูกแท้ ๆ ก็ไม่กล้าเผชิญหน้า

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทานอาหารด้วยกัน

เขาอ้าปากกำลังจะปฏิเสธคำเชิญชวนของเสี่ยวเป่า แต่ต้องหยุดไว้หลังได้ยินสิ่งที่เสด็จพ่อเอ่ย

“ไปด้วยกันเถอะ”

น้ำเสียงยังคงเยือกเย็นเหมือนเคย แต่กลับทำให้หนานกงฉีเฉินตื่นเต้นจนหน้าดำหน้าแดง

สุดท้ายเขาก็เป็นแค่เด็กอายุสิบสอง เหตุใดจะไม่ต้องการความสนใจจากเสด็จพ่อ เพียงแต่เขาไม่กล้าเรียกร้อง

เสี่ยวเป่าจับมือท่านพ่อที่รักด้วยมือซ้ายและจับมือพี่ชายด้วยมือขวา เอียงหัวไปมาอย่างร่าเริง ขาสั้น ๆ เริ่มก้าวเดินพาอีกสองคนเดินเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน

อาหารมากมายว่างเต็มโต๊ะอาหาร ตั้งแต่หนานกงฉีเฉินจำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมโต๊ะอาหารกับเสด็จพ่อ ทั้งสองคนจึงนั่งตัวแข็งทื่อ

พอมองไปที่เจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะที่ยังไม่เริ่มกินข้าว และเอาแต่คีบผักลงในชามของชายร่างสูงข้าง ๆ หนานกงฉีเฉินก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เขาไม่กล้าทำเช่นนั้น

“ท่านพ่อ ๆ กินปลานี่สิ เสี่ยวเป่าจับเอง!”

หนานกงสือเยวียนพอได้ยินเรื่องที่เด็กน้อยจับปลาตัวใหญ่จากสระน้ำในอุทยานหลวง แล้วนำไปให้พ่อครัวในห้องเครื่องแล้ว

จึงไม่ค่อยแปลกใจกับคำพูดของนาง

เขาแค่สงสัยว่า “เจ้าจับมันได้อย่างไร?”

อาหารบนโต๊ะเกือบครึ่งหนึ่งทำมาจากปลาตัวนี้ แสดงว่าปลาที่เจ้าก้อนแป้งจับได้จะต้องตัวใหญ่มาก ๆ

เสี่ยวเป่ารีบเล่าอย่างกระตือรือร้นว่า ตนจับปลาตัวใหญ่นั้นมาได้อย่างไรราวกับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น นางแทบจะบรรยายตัวเองว่าเป็นยอดมนุษย์ที่ต่อสู้กับปลาตัวใหญ่ยักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า

หนานกงฉีเฉินไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป “ไม่ใช่ว่าทันทีที่เจ้าจับหางปลายกขึ้นก็ลงไปกองบนพื้นแล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเกือบจับมันไว้ไม่ได้และล้มก้นกระแทกพื้น”

“ท่านพี่!!!”

  

เสี่ยวเป่าถูกเปิดโปงก็หน้ามุ่ย ทั้งยังเถียงอย่างเอาชนะ

“เสี่ยวเป่าต่อสู้กับเจ้าปลาใหญ่อยู่ในใจ!”

หนานกงฉีเฉินมองนางอย่างเอือมระอา ครู่หนึ่งเขาก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม

“กินข้าว อย่าพูดมาก”

หนานกงสือเยวียนเคาะนิ้วบนโต๊ะ เด็กทั้งสองมองหน้ากันแล้วรีบสงบปากสงบคำทันที

หลังจากโดนตัดบท หนานกงฉีเฉินก็ไม่เกร็งเท่าเดิมแล้ว แม้จะประหม่ากับการอาหารมื้อนี้อยู่ไม่น้อยก็ตาม

หนานกงสือเยวียนคีบผักใส่ชามของเสี่ยวเป่าเช่นกัน แม้ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่ทุกครั้งที่เห็นคนตัวเล็กกินอย่างเอร็ดอร่อย แก้มกลมเคี้ยวตุ้ย ๆ พลันรู้สึกพอใจที่ได้เลี้ยงดูลูกสาว

หลังมื้ออาหารจบลง จู่ ๆ หนานกงสือเยวียนก็ต้องการทดสอบความรู้ที่เขาได้เรียนมา หนานกงฉีเฉินตัวหดลงทันที

เสี่ยวเป่ารีบวิ่งหน้าระรื่นตามหลังท่านพ่อ

“ท่านพ่อทดสอบเสี่ยวเป่าด้วย เสี่ยวเป่าฉลาดมากนะ”

หนานกงฉีเฉิน “…”

เขานับถือน้องสาวผู้อ่อนต่อโลกที่ดูจะไม่รู้จักคำว่ากลัวผู้นี้จริง ๆ

หนานกงฉีเฉินกัดฟันเดินตามไป เพราะประหม่า เขาจึงตอบผิดเล็กน้อย โชคดีที่เขาตั้งใจเรียนอย่างหนัก จึงไม่เป็นปัญหามากมาย

หนานกงสือเยวียนพยักหน้าเบา ๆ “พาเสี่ยวเป่าออกไปเล่นเถอะ”

เสี่ยวเป่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าท่านพ่อยุ่งอีกแล้ว นางจึงเกาะแขนไว้แน่น ดึงฝ่ามือท่านพ่อมาถูไถด้วยใบหน้านุ่มนิ่มนั้น

ทั้งเชื่องฟังและขี้อ้อนขนาดนี้ ผู้ใดจะไม่ชอบ

“ท่านพ่อรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ อย่าทำงานหนักเกินไป”

คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ ชวนให้คนฟังหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้*[1]

ทว่าหนานกงสือเยวียนไม่ได้อึดอัดเหมือนตอนแรกและเริ่มคุ้นชินแล้ว จึงได้พยักหน้าตอบนางอย่างใจเย็น

หนานกงฉีเฉินตกตะลึงจนตาค้างอีกครั้งกับความสนิทสนมของสองพ่อลูก

ต่อให้เขามีความกล้าเต็มเปี่ยมก็ยังไม่กล้าทำเช่นนั้น!

[1] หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ หมายถึง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน