บทที่ 37 หยุดความคิดนั้นซะ! (รีไรท์)
บทที่ 37 หยุดความคิดนั้นซะ! (รีไรท์)
แม้จะกลัวเสด็จพ่อ แต่พวกเขาก็ยังเป็นเด็ก ลึก ๆ ในใจย่อมมีความรักใคร่เทิดทูนเสด็จพ่อของตน
เพียงแต่ความปรารถนาทั้งหลายที่คนเป็นลูกมีต่อบิดา แปรเปลี่ยนเป็นความกลัวทันทีที่ได้เห็นท่าทางเย็นชาน่าเกรงขามของเสด็จพ่อ
พอได้ยินบิดาตรัสว่าผักกาดขาวที่น้องสาวปลูกนั้นอร่อยมาก พี่น้องทั้งสามคนก็เอาตะเกียบคีบเข้าปาก
แม้แต่หนานกงฉีจวินผู้ชื่นชอบการกินเนื้อมากที่สุดก็ยังคีบผักกาดขาวเข้าปาก
ยามที่ได้ลิ้มลองทุกคนต่างตกตะลึง “!!!”
หนานกงฉีจวินคิดว่าเสด็จพ่อเพียงพูดเอาใจน้องสาว แต่แท้จริงแล้วมันอร่อยจริงดังคำชม!
รสชาตินี้ดีกว่าเนื้อสัตว์ที่เขาชอบกินเสียอีก
มื้อค่ำผ่านไป อาหารที่มีผักกาดขาวเป็นวัตถุดิบนั้นหมดเกลี้ยง วันนี้หนานกงฉีจวินแทบไม่ได้แตะเนื้อที่ตนเองชอบเลย
เสี่ยวเป่ากินได้ทีละคำเล็ก ๆ ทว่ากลับดูตะกละตะกลามยิ่งนัก เพราะก่อนจะกลืนสิ่งที่อยู่ในปาก นางก็ยัดอันใหม่เข้าไป แก้มเนียนนุ่มป่องออกมาจนไม่อาจยัดสิ่งใดเข้าไปอีก
นางกินช้าแต่กินได้เยอะ ทำให้เด็กน้อยยังกินต่อได้ในขณะที่พ่อและพี่ชายกินอิ่มแล้ว
คนอื่น ๆ วางตะเกียบนั่งมองนางกินอย่างเพลิดเพลิน
เสี่ยวเป่าเขี่ยข้าวเม็ดสุดท้ายในชามเข้าปากอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางชามและตะเกียบให้เรียบร้อย นางยังอุตส่าห์ยกชามเปล่าให้ท่านพ่อดู
“ท่านพ่อดูสิ วันนี้เสี่ยวเป่าก็กินข้าวหมดเกลี้ยงเลย”
หนานกงสือเยวียนเอื้อมมือไปแตะท้องนาง
เสี่ยวเป่ารีบหายใจเข้าลึก ๆ และกลั้นหายใจไว้
หนานกงสือเยวียน “…”
“ผ่อนคลาย”
เมื่อพ่นลมหายใจออกมา ท้องของเสี่ยวเป่าก็ป่องขึ้นมาทันที
นางมองท่านพ่อด้วยสายตางุนงง
ทันทีที่หนานกงสือเยวียนโบกมือ ฝูไห่กงกงก็นำยาเม็ดสีดำมีรสขมออกมาถวาย
เจ้าก้อนแป้งหน้าเสียทันที จากที่กำลังงุนงงก็เปลี่ยนทำหน้าขมปี๋ราวกับยาเม็ดนั้นเป็นมะระขี้นก
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าไม่กินได้หรือไม่เจ้าคะ? หรือไม่ก็รออีกหน่อยค่อยกินนะ”
เมื่อเห็นยาเม็ดขม ๆ นั่น เจ้าก้อนแป้งพยายามออดอ้อนเพื่อต่อรอง ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดสอนให้นางทำเช่นนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้เป็นบิดาก็ไม่ตกหลุมพรางและใจอ่อนต่อลูกอ้อนของธิดา ซ้ำยังปฏิเสธคำขอของลูกน้อยผู้น่ารักอย่างไร้ความปรานี
ยาเม็ดขมยังคงวางอยู่ตรงหน้านางไม่มีวี่แววว่าจะขยับไปไหน
“กินเถอะ”
เสี่ยวเป่าโอดครวญพร้อมกับบีบจมูกน้อย ๆ พลางจ้องยาเม็ดนั้นด้วยสายตาขยะแขยง
“ท่านพ่อ คราวหน้าท่านต้องสั่งให้ผู้ทำยานี่มากินด้วยกัน มันขมชะมัดเลย!”
เสี่ยวเป่าไม่อาจเป็นศัตรูกับท่านพ่อได้ นางจึงเลือกที่จะแก้แค้นคนต้นเรื่อง ผู้ใดก็ตามที่ทำยาขมนี้ขึ้นมาจะต้องกินมันด้วยกัน!
ส่วนหมอหลวงจางที่อยู่ในสำนักหมอหลวงจามเสียงดังทันที
“ผู้ใดพูดถึงข้า”
สีหน้าขมขื่นของเสี่ยวเป่ายามกินยาช่วยย่อยล้วนอยู่ในสายตาเสด็จพ่อและพี่ชาย จนยามนี้นางเอาแต่ก้มหน้าเพราะยังรู้สึกขมพร้อมเหลือบมองท่านพ่ออย่างไม่พอใจ
หนานกงสือเยวียนนั่งนิ่ง “หากเจ้าไม่อยากกินยานั่นอีก คราวหลังก็กินให้น้อยลงหน่อย”
เสี่ยวเป่าลูบท้องอย่างเศร้า ๆ พลางถอนหายใจเบา ๆ
“แต่เสี่ยวเป่าควบคุมมันไม่ได้ ปากกับท้องของเสี่ยวเป่ามีความคิดเป็นของตัวเอง!”
เห็นนางกล่าวด้วยท่าทางจริงจังเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหลุดหัวเราะพรืด
“ไปเล่นกับพี่ ๆ ของเจ้าก่อนแล้วค่อยกลับมา”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ท่านพ่อไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ?”
สามพี่น้องลอบมองหน้ากันแวบหนึ่ง
หนานกงสือเยวียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ“ไม่ล่ะ ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ”
อีกอย่าง หากเขาอยู่ด้วย เด็กสามคนนั้นจะอึดอัดเอาเปล่า ๆ
แต่เสี่ยวเป่ากลับมองเขาอย่างเป็นห่วง “ท่านพ่ออย่าทำงานหนักเกินไปนะเดี๋ยวผมจะร่วง ยิ่งเอาแต่กินแล้วไม่ออกกำลัง ท่านอาจจะมีพุงป่อง ๆ เหมือนเสี่ยวเป่านะ!”
ในระหว่างที่พูด นางก็ลุกขึ้นยืนหลังตรงท่าทางดุดัน
เด็กน้อยวัยสามขวบมีพุงป่อง แขนขาอวบอิ่ม และก้อนไขมันนุ่มนิ่มบนใบหน้า ล้วนบ่งบอกถึงความน่ารักโดยเฉพาะกับคนตัวเล็กที่มีผิวขาวดุจหิมะอย่างเสี่ยวเป่า
แต่ถ้าทั้งหมดนี้อยู่บนตัวท่านพ่อ…
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเป่าที่จินตนาการเช่นนั้น แต่สามพี่น้องก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการตามคำพูดของเสี่ยวเป่า จนเริ่มเกิดภาพในหัวที่มันช่าง…
เสด็จพ่อที่มีผมบางและพุงย้วย…
“หยุดคิด!”
หนานกงสือเยวียนเห็นสีหน้าของพวกเขาก็พอรู้แล้วว่ากำลังคิดสิ่งใด จึงรีบหยุดพวกเขาด้วยคำสั้น ๆ สองคำนั้นอย่างโมโห
ทว่าเสี่ยวเป่ายังมองเขาตาใสซื่อ
สามพี่น้องก้มหน้าไม่กล้ามอง แต่ไม่รู้ว่าสำนึกผิดเท่าไร
ให้ตายสิ… พวกเขาควบคุมสมองไม่ได้ ไร้หนทางแก้ไขเสียด้วย
หนานกงสือเยวียนลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังคุกรุ่น สามพี่ก็ลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็วราวกับเป็นราชองครักษ์ของเสด็จพ่อ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่านพ่อที่กำลังไม่สบอารมณ์ เสี่ยวเป่าก็หาได้หวาดกลัว นางคว้ามือท่านพ่อไว้แน่นก่อนจะใช้ใบหน้าเนียนนุ่มถูฝ่ามือเขาอย่างออดอ้อน
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
น้ำเสียงออดอ้อนดังออกมาจากปากน้อย ๆ ที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อจะไปที่ใด?”
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองนางโกรธ ๆ เขาไม่รู้จะไปลงที่ใครก็เลยเลือกที่จะระบายอารมณ์กับเจ้าลูกสาวตัวน้อย
“ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกว่าข้าควรไปเดินย่อยสักหน่อย?”
เสี่ยวเป่ากระโดดดึ๋ง ๆ ด้วยความดีใจ กอดแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ท่านพ่อจูงมือเสี่ยวเป่าด้วย อย่าปล่อยให้เสี่ยวเป่าเดินหลงทางนะ”
จากนั้นจึงหันไปกวักมือเรียกพี่ ๆ
“พวกท่านพี่ก็ไปด้วยกันเถอะ”
พี่ชายทั้งสามรีบหันมองเสด็จพ่อ
มือเรียวของหนานกงสือเยวียนบีบมือเล็กนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าเรียบเฉย ส่วนน้ำเสียงก็เย็นชาไร้ความรู้สึก
“ไยต้องมองข้า อยากให้ข้าตัดสินใจแทนหรือ?”
เขาชินชากับสายตาเช่นนี้มานานแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเปลี่ยนมันได้
หนานกงฉีเฉิน “ชะ…เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”
หนานกงฉีจวินเกาะแขนพี่เจ็ดและพยักหน้า ท่าทางขี้ขลาดเอาแต่หวาดกลัวและหลบหลังผู้อื่นเช่นนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นเด็กเหลือขอมีไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ!
เดินเล่นกับหนานกงสือเยวียนเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะโดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ชอบพูด ซ้ำยังรู้สึกกดดันเหมือนเดินกับเจ้านาย ผู้ใดที่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็หลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้คนเย็นชาอย่างเขา
ทว่าก็ยังมีคนตัวเล็กที่กล้าหาญและไม่รู้จักคำว่ากลัวที่ไม่เพียงเอาตัวเองเข้าไปใกล้เขาเท่านั้น แต่ยังเกาะติดตัวเขาแน่นราวกับเงาตามตัว เหมือนกลัวว่าตัวเองหายไปจากสายตาเขา เดินพันแข้งพันขาอย่างกับลูกสุนัข
คนตัวเล็กช่างพูดช่างจา นางมักจะหาเรื่องต่าง ๆ นานามาคุยกับหนานกงสือเยวียนผู้แทบไม่ปริปากพูด
ทว่าบุรุษฐานะสูงส่งผู้นั้นก็เต็มใจฟัง แม้จะทำเพียงพยักหน้าตอบรับ แต่มันก็ทำให้เสี่ยวเป่ามีความสุขมาก
ยามใดมีเสี่ยวเป่าอยู่ข้าง ๆ เขามักจะรู้สึกเหมือนมีดอกไม้ไฟที่ให้ความอบอุ่นแก่กำแพงน้ำแข็งอย่างเขา
หนานกงฉีเฉินและน้องทั้งสองเดินตามหลังเสด็จพ่อสบาย ๆ ไร้อาการเกร็งและประหม่า
เพราะเห็นว่าเสด็จพ่อไม่มีท่าทีว่าจะหันมาพูดคุยกับพวกเขาเลย
มีเพียงน้องสาวเท่านั้นที่ยังคงพูดคุยกับพวกเขาอย่างกระตือรือร้น บางครั้งก็วิ่งมาจูงมือพวกเขาเดินไปด้วยกัน
เจ้าเด็กนี่ยุติธรรมจริง ๆ จับมือพี่ชายสลับกันไปมาให้ครบทั้งสามคน แต่มือข้างที่จับมือเสด็จพ่อนั้นไม่เคยปล่อย
นางช่างเป็นคนที่… เปรียบท่านพ่อดั่งเหล็กกล้า เปรียบพี่ชายดั่งน้ำไหล…