บทที่ 46 นางก็มิได้อยากแอบฟัง
บทที่ 46 นางก็มิได้อยากแอบฟัง
หนานกงฉีโม่ขบขันขณะดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ดวงตาเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกมองจ้องนาง
“ข้าจะเอะอะ ตัวน้อยอย่างเจ้าจะทำอันใดได้”
เสี่ยวเป่าเอ่ยอย่างมั่นใจ “บอกท่านพ่อ!”
หนานกงฉีโม่หันมองพระที่นั่งด้วยสัญชาตญาณ สบเข้ากับสายพระเนตรที่เจือแววข่มขู่จาง ๆ ของเสด็จพ่อ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ที่เขาหยิกแก้มเจ้าตัวน้อย เสด็จพ่อทรงเห็นแล้ว
หนานกงฉีโม่ “…”
ฟ้องเสด็จพ่อหรือ ล้อกันเล่นแล้ว
แต่สุดท้ายเขาก็มิได้หาญกล้าเช่นเดิมอีกต่อไป
แหม…เสด็จพ่อลำเอียงเจ้าตัวน้อยนี่นัก แค่หยิกแก้มไปทีเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องเฝ้าไม่ห่างตาเพียงนี้เชียวหรือ
แม้หนานกงสือเยวียนจะคอยจับตาดูเสี่ยวเป่าอยู่ตลอด ทว่าก็มิได้รบกวนช่วงเวลาระหว่างนางและเหล่าพระโอรส
เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก ดื่มสุราเพียงสองจอกเสร็จก็ออกไป ผู้ที่ติดตามออกไปด้วยยังมีแม่ทัพน้อยเซี่ยที่เสี่ยวเป่าเคยพบเมื่อวันก่อน
เมื่อหนานกงสือเยวียนจากไปแล้ว เสี่ยวเป่าที่ทันได้เห็นก็ทำท่าจะตามไปด้วย ทว่าถูกหนานกงฉีซิวรั้งไว้ก่อน
“เสด็จพ่อคงมีราชกิจสำคัญ เสี่ยวเป่าอยู่กับพี่ชายก่อนดีหรือไม่”
เสียงของเขาดูน่าเชื่อถือ จนเด็กน้อยยอมพยักหน้าแต่โดยดี
พอดีกับนางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาในเวลานั้น เสี่ยวเป่ารู้จักนาง นี่คือพี่นางกำนัลซึ่งคอยถวายการรับใช้อยู่ข้างกายท่านพ่อ
“องค์หญิง ฝ่าบาทต้องไปทรงงานราชกิจ จึงมีรับสั่งให้ท่านอยู่เล่นกับเหล่าองค์ชายเพคะ”
เสี่ยวเป่านั่งขัดสมาธิด้วยแข้งขาเล็กป้อมนั้น นางพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ก็ได้ ข้าจะเป็นเด็กดี”
หลังจากฮ่องเต้เสด็จออกไป งานเลี้ยงพลันคึกคักขึ้นทันตาเห็น
ที่เห็นชัดสุดคือบางคนในงานเลี้ยงถึงขั้นลุกจากที่นั่ง เดินกันขวักไขว่
ทว่าเป็นการชวนดื่มสุราเป็นส่วนใหญ่
หนานกงหลีแทบพุ่งปราดเข้ามาหาเสี่ยวเป่าในทันที แน่นอนว่าไม่ลืมลากโอรสทั้งสองของตนมาด้วย
แม้ว่าเขาจะมีโอรสมากมาย แต่ในงานเลี้ยงพระราชวังเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะพาเพียงโอรสสายหลักสองคนมาด้วย
“เสี่ยวเป่าคิดถึงเสด็จอาเจ็ดบ้างหรือไม่ เสด็จอาเจ็ดคิดถึงเจ้ามากเลย~”
พูดจบก็กอดพลางถูไถเจ้าก้อนนุ่มนิ่มไปมา ไม่เหลือเค้าสุขุมอย่างผู้ใหญ่สักนิด!
ตัวเขามีกลิ่นหอมสุราอ่อน ๆ โผเข้ามาประดุจผีเสื้อลวดลายงดงาม
หนานกงฉีซิวพยักหน้าทักทายผู้มาใหม่ด้วยท่าทีเรียบเฉย “เสด็จอาเจ็ด”
หนานกงหลีอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมากอด ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ
“เสี่ยวซิวเอ๋ย อาเจ็ดนั่งตรงนี้ เจ้าไม่ว่าใช่หรือไม่”
ผู้เป็นอาบางคนก็หน้าหนายิ่งนัก นั่งลงแล้วแท้ ๆ กลับทำทีเสแสร้งแกล้งถาม
ทว่าหนานกงฉีซิวรู้จักเสด็จอาเจ็ดผู้เอาแน่เอานอนมิได้ดีอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าจึงหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่
พระโอรสองค์อื่นพากันทักทายผู้มาใหม่อย่างมีมารยาท
“มา ๆ เสี่ยวเป่า นี่คือของขวัญจากอาเจ็ด”
พูดจบ เขาก็ล้วงเอาไข่มุกกลมกลึงเม็ดโตออกจากอกเสื้อ ดูก็รู้ว่าหายากยิ่ง
“อาเจ็ดของเจ้าซื้อจากพ่อค้าต่างแคว้น งดงามใช่หรือไม่”
ท่าทางรอคำชมนั้นราวกับเด็กน้อยก็มิปาน
โอรสสองคนข้างกายมีสีหน้าอัดอั้นตันใจมาก ท่านพ่อหน้าไม่อายเกินไปแล้ว พวกเขาซื้อมาเมื่อคราวออกท่องเที่ยวไปเจอพอดีแท้ ๆ!
หลังซื้อมา บิดาผู้บังเกิดเกล้าของพวกเขายังด่าพวกเขาว่าถลุงเงินอยู่เลยมิใช่หรือ พริบตาเดียวก็ริบไปเป็นของขวัญให้ญาติผู้น้องเสียแล้ว
ผู้เป็นพ่อแย่งของของพวกเขาไปยังไม่เท่าไหร่ นี่ยังหน้าไม่อายขอความดีความชอบอีกหรือ!
บิดาผู้บังเกิดเกล้านี่ช่างไม่เอาไหนจริง ๆ!
เสี่ยวเป่าอุ้มไข่มุกราตรีส่องประกายวาววับด้วยมือทั้งสองข้าง งดงามมากจริง ๆ
“ขอบคุณเสด็จอาเจ็ด~”
เสี่ยวเป่ากล่าวขอบคุณเสียงอ่อน เจ้าตัวน้อยผู้รับของขวัญไปเริ่มใคร่ครวญแล้วว่าควรตอบแทนอย่างไรดี
“เสด็จอาเจ็ด ท่านชอบสิ่งใดที่สุดหรือ”
หนานกงหลีคลี่พัดออก โบกไปมาด้วยท่าทางที่ทึกทักเอาเองว่าสง่างาม
“มากมายนัก อาเจ็ดของเจ้าชอบกินชอบเที่ยว ชอบพัดงามเล่มนี้ และชอบเรือนร่างวิไล…”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดจาเลอะเทอะขึ้นเรื่อย ๆ หนานกงฉีซิวกระตุกมุมปาก ขัดขึ้นว่า
“เสด็จอาเจ็ด!”
เสี่ยวเป่าเพิ่งสามขวบเท่านั้น เอ่ยเรื่องเช่นนี้กับนางได้อย่างไร
หนานกงหลีหัวเราะร่วน หุบพัดพลางจิ้มหน้าผากนวลเนียนของเสี่ยวเป่า
“ทว่าสิ่งที่อาเจ็ดของเจ้าชอบที่สุด ก็คือเสี่ยวเป่าอย่างไรเล่า”
เสี่ยวเป่าตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “เสี่ยวเป่ามีเพียงคนเดียว เป็นลูกหญิงแสนดีของท่านพ่อ ยกให้เสด็จอาเจ็ดไม่ได้”
เจ้าตัวน้อยนี่หลงตัวเองไม่เบา ยามเอ่ยวาจาไม่ลืมกล่าวชมตนเอง
ผู้คนรอบ ๆ ต่างอดหัวเราะออกมามิได้
หนานกงหลีแสร้งทำทีเศร้าโศก “เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว”
เสี่ยวเป่าตบบ่าเขา ปลอบเสียงหวานรื่นหู
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม้ว่าเสี่ยวเป่าไม่อาจเป็นลูกหญิงให้เสด็จอาเจ็ด แต่ยังเป็นหลานสาวตัวน้อยของเสด็จอาเจ็ดนะเพคะ”
วาจานี้ทำเอาพวกหนานกงหลีผงะกันหมด
คล้ายว่านางได้เอื้อนเอ่ยบางอย่าง แต่ก็คล้ายว่านางไม่ได้บอกอะไรเลย
เนื่องจากพระโอรสและท่านอ๋องพากันมากระจุกอยู่ที่นี่ ต่อมา ยามเหล่าขุนนางดื่มจนได้ที่และต้องการยกสุราด้วยจึงมุ่งหน้ามาที่นี่
ขุนนางผู้หนึ่งถึงขั้นยกจอกสุราเข้ามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ท่าทางเมามาย หมายจะขอดื่มกับเสี่ยวเป่า
“มาเถิดองค์หญิง ดื่มสุราจอกนี้ให้หมด จากนี้ไป เราสองคือพี่น้องกันแล้ว!”
จากรูปร่างและนิสัยโผงผางของเขา ดูออกไม่ยากว่าเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊
เสี่ยวเป่าซึ่งยกสุราขึ้นลอบชิมไปจิบหนึ่ง “…”
เหล่าเสด็จอาและเสด็จพี่ของเสี่ยวเป่า “…”
เจ้านี่มันยอดคนจริง ๆ!
สุดท้าย พี่ชายท่านนี้ก็ถูกฝาแฝดญาติผู้พี่ทั้งสองคนพาออกไป ท่าคล้องไหล่กอดคอยามลากออกไปนั้นดูคล่องแคล่วเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าต้องรับหน้าที่เช่นนี้อยู่บ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ
โอรสของท่านอ๋องเจ้าสำราญอย่างหนานกงหลี…ก็เป็นท่านชายน้อยเจ้าสำราญผู้เลื่องชื่อในเมืองหลวง
ว่ากันว่า คานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเบี้ยวตาม มีบิดาเช่นไร บุตรชายย่อมเป็นเช่นนั้น
เสี่ยวเป่าไม่ชินกับสถานการณ์ที่ถูกผู้คนมากมายห้อมล้อมเช่นนี้นัก จึงสั่งให้ชุนสี่พาตนเองออกไปสูดอากาศ
หนานกงฉีซิวสั่งให้องครักษ์ส่วนพระองค์ตามไปคุ้มกันเสี่ยวเป่าอย่างลับ ๆ
เด็กน้อยก็ไม่รู้ว่าตนเองอยากไปที่ใด สุดท้ายจึงไปโผล่อยู่ที่ป่าท้อแห่งหนึ่ง
เมื่อได้เห็นดอกท้องดงามบานสะพรั่งเหล่านั้นแล้ว เสี่ยวเป่าพลันคันไม้คันมืออยากก่อเรื่องเสียหน่อย
นางหมักสุราเป็น ดอกไม้ก็นำมาหมักสุราได้เช่นกัน!
ผืนป่าตั้งใหญ่ พรุ่งนี้นางจะมาเด็ดดอกท้อที่นี่ นำไปหมักสุราให้ท่านพ่อดื่ม!
เสี่ยวเป่าคิดไปทั้งที่แก้มแดงระเรื่อ ตัวนางเองก็ชิมด้วยนิดหน่อย เมื่อคราวนางท่องอยู่ในป่าก่อนหน้านี้ เคยแอบดื่มสุราลิงจ๋อที่พวกลิงหมักไว้ด้วย
“องค์หญิงของเราประเสริฐยิ่งนัก”
ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงสนทนา ซ้ำกำลังกล่าวถึงตนเอง เสี่ยวเป่ากับชุนสี่ซึ่งติดตามนางมาต่างชะงักฝีเท้า
นางก็มิได้อยากแอบฟัง แต่คล้ายว่าพวกนางกำลังกล่าวถึงตนเองอยู่
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ คิดอย่างงงงวย
สีหน้าของชุนสี่ไม่สู้ดีเท่าใด ประโยคนั้นฟังแล้วหาได้มีความหมายอื่น คลับคล้ายกำลังชื่นชม ทว่าเมื่อประกอบกับน้ำเสียงกระแนะกระแหนนั่น ก็ดูจะมิใช่เช่นนั้น
เหมือนเป็นการถากถางเสียมากกว่า
พวกเสี่ยวเป่ายืนอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองลูกหนึ่ง เบื้องหน้าภูเขาจำลองคือศาลาชมทิวทัศน์ ลำพังจากเสียง ผู้กำลังสนทนากันอยู่นี้เป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม อายุอานามไม่เท่าไร
“ใช่น่ะสิ พวกเจ้าไม่เห็นยามนางรับประทานอาหาร ท่าทางตะกละมาก ให้อะไรไปนางกินทุกอย่าง มีความสำรวมอย่างที่สตรีสูงศักดิ์พึงมีที่ไหนกัน”