บทที่ 88 พาผึ้งน้อยกลับวังหลวง
บทที่ 88 พาผึ้งน้อยกลับวังหลวง
หลังมื้อเช้าของสองพ่อลูก หนานกงสือเยวียนผู้มีราชกิจมากมายรออยู่ไม่สะดวกที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เขาจึงตั้งใจว่าจะรีบพาเสี่ยวเป่ากลับ
ทว่าในขณะที่กำลังจะจากไปก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เจ้านางพญาผึ้งตัวนั้นบินหึ่ง ๆ วนรอบตัวเสี่ยวเป่าไม่หยุด
“อมิตาพุทธ สีกาน้อยพาพวกมันกลับไปด้วยเถอะ”
เสี่ยวเป่าเกาหัวแกรก ๆ ปากเอ่ยถามเจ้านางพญาผึ้งตัวนั้น
“เจ้าอยากไปกับข้าหรือ?”
เจ้านางพญาผึ้งตัวนั้นทิ้งตัวลงบนมือของนางทันที เป็นอันว่าไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจกันดี
เสี่ยวเป่ายื่นฝ่ามือที่มีเจ้านางพญาผึ้งเข้าไปใกล้ ๆ ท่านพ่อ พร้อมเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าทำเช่นนี้นับว่าเป็นการฉกของไปจากวัดของท่านอาจารย์หรือไม่?”
นางคิดว่าตนเองพูดเสียงเบาสุด ๆ แล้ว แต่ความเป็นจริงทุกคนรอบตัวแทบจะได้ยินทุกคำที่นางเอ่ย
เจ้าอาวาสยกยิ้มมุมปาก “สีกาน้อยไม่ต้องกังวล ผึ้งพวกนี้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราว เจ้านำมันกลับไปด้วยยิ่งดี พวกมันรั้งอยู่ที่นี่มีแต่จะเป็นอันตราย”
ผึ้งฝูงนี้ค่อนข้างฉลาด พวกมันสร้างรังผึ้งไว้บนยอดต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในลานวัด ไม่รู้ว่ากินของดี ๆ จากวัดต้ากั๋วไปเท่าไร ถึงได้ตัวโตกันขนาดนี้
เป็นพระห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พวกเขาจึงไม่สามารถทำอันใดเจ้าพวกตัวน้อยนี้ได้ ทว่าเหตุผลหลักก็คือผึ้งพวกนี้ไม่เคยทำร้ายผู้คน พวกมันจึงยังอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้
ซ้ำยังโชคดีที่มีพวกมันอยู่ ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์เมื่อวานนี้อาจบานปลายไปกันใหญ่
แต่เมื่อวานนี้ได้เห็นความดุร้ายของผึ้งพวกนี้แล้ว เจ้าอาวาสจึงกังวลว่า สักวันหนึ่งพวกมันจะทำร้ายพระภิกษุสามเณรและผู้แสวงบุญในวัดต้ากั๋ว อีกทั้งในวัดยังไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมฝูงผึ้งได้อย่างเสี่ยวเป่า
พอได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวเป่าก็ไม่ปฏิเสธ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์ แต่ต่อจากนี้ท่านไม่ต้องเรียกเสี่ยวเป่าว่าสีกาก็ได้ พบกันคราวหน้าเรียกข้าว่าเสี่ยวเป่าเถอะเจ้าค่ะ”
คนตัวเล็กสนทนากับเจ้าอาวาสอย่างสนิทสนม
สุดท้ายก็ต้องขอให้คนขึ้นไปเอารังผึ้งลงมาให้
ในขณะที่ชายผู้หนึ่งปีนขึ้นไปเก็บรังผึ้ง พอเห็นผึ้งฝูงหนึ่งจ้องเขม็งมา เพียงสบตาก็มือไม้สั่น
หลังจากเดินทางออกจากวัดต้ากั๋ว รังผึ้งก็ถูกวางไว้ในรถม้าที่ว่างเปล่า
มีเพียงเจ้านางพญาผึ้งที่ยังเกาะอยู่บนหัวของเสี่ยวเป่า ส่วนเจ้ากวางน้อยก็นอนอยู่ข้าง ๆ เท้า นางยังคงอุ้มโถดินเผาสองใบที่ท่านอาจารย์มอบให้ไม่วางมือพร้อมเชิดหน้าอย่างผู้มีชัย
ผ่านไปสักพักเด็กเล็กก็เปิดฝาโถดินเผาใบเล็กทั้งสองใบที่ตัวเองถืออยู่ออก
กลิ่นหอมฉุนพุ่งออกมา แม้แต่เสี่ยวไป๋และเฟิงเฟิงยังดูสนอกสนใจ
พรึ่บ!
ชาอวิ๋นอู้ผ่านการคั่วมาอย่างพิถีพิถันจนใบแห้งกรอบและหดลงเหลืออันนิดเดียว บนใบชามีผลึกสีขาวราวเกล็ดหิมะเกาะเต็มไปหมด ทำให้ดูสวยงามมาก
ส่วนเม็ดบัวทองคำขาวเป็นเม็ดบัวแห้งที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นเวลาสองปี ผิวด้านนอกจึงหลุดลอกออกจนหมด เหลือเพียงเนื้อด้านในสีขาวหยกไว้
แม้เนื้อของเม็ดบัวทั่วไปจะมีสีขาวเช่นกัน ทว่ามันมักมีสีเหลืองเจือปนเล็กน้อย ในขณะที่เม็ดบัวของวัดต้ากั๋วเป็นสีหยกขาวบริสุทธิ์ดุจเนื้อหยกล้ำค่า โดยด้านบนเม็ดจะเป็นสีทองเล็กน้อย
ดูสวยงามประดุจหยกแกะสลัก แต่ละเม็ดกลมมนและเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม
เจ้ากวางน้อยเสี่ยวไป๋โน้มตัวเข้าไปใกล้เสี่ยวเป่า ดวงตากลมโตของมันจับจ้องไปยังชาอวิ๋นอู้และเม็ดบัวทองคำขาวด้วยความปรารถนา
นางพญาผึ้งเฟิงเฟิงก็กระพือปีกบินลงมาจากศีรษะของเสี่ยวเป่า ก่อนจะตกลงบนโถเม็ดบัว
เสี่ยวเป่ากำลังจะหยิบเม็ดบัวออกมาสองเม็ด ทว่าหนานกงสือเยวียนกลับหยุดนางไว้เสียก่อน
“อย่าทำเสียของ นำกลับไปแช่น้ำก่อน น้ำที่แช่ก็ใช้ได้ เม็ดบัวที่แช่น้ำก็ใช้ได้”
เสี่ยวเป่านั่งกะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยรับคำท่านพ่อ จากนั้นนางก็เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้ากวางน้อยเป็นการปลอบใจ
“เสี่ยวไป๋กับเฟิงเฟิงอดใจรอก่อนนะ กลับถึงตำหนักแล้วเสี่ยวเป่าจะทำชาเม็ดบัวให้พวกเจ้า”
หากผู้สูงศักดิ์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ที่แทบถวายหัวเพื่อสิ่งของเหล่านี้ ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้เข้าคงโกรธจนกระอักเลือด
กว่าพวกเขาจะได้ชาหรือเม็ดบัวมาสักโถนั้นยากลำบากยิ่ง แต่พวกเขาก็จำต้องอดทนอดกลั้นเก็บมันไว้เพื่ออวดผู้อื่น นาน ๆ ทีถึงจะดื่มมันสักครั้ง
“วี้~”
เสี่ยวไป๋ถูไถหัวน้อย ๆ ออดอ้อนเสี่ยวเป่าราวกับเข้าใจคำพูดของนาง
พอเจ้าพวกตัวน้อยสุดแสนจะน่ารักและเชื่อฟังทั้งสองอยู่ด้วยกัน บรรยากาศรอบ ๆ ตัวพวกเขาพลันพานให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกดีไม่น้อย
เฟิงเฟิงกระพือปีกบินไปเกาะบนศีรษะของเสี่ยวเป่าเหมือนเดิม
ก่อนถึงวังหลวง เสี่ยวเป่าก็แวะซื้อของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไปด้วย
“กินขนมหวานให้น้อยลงหน่อย ไม่ต้องการฟันสวย ๆ แล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่าที่กำลังเคี้ยวถังหูลู่ไม้ที่สองจนแก้มนุ่มนิ่มป่องซ้ายป่องขวา ยื่นถังหูลู่สีแดงสดไปทางท่านพ่อ
“ท่านพ่อกินด้วย”
พยายามติดสินบนกันชัด ๆ
หนานกงสือเยวียนยังคงนิ่งไม่ไหวติง “ไม่กิน”
การติดสินบนล้มเหลว คนตัวเล็กจึงรีบชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “อันนี้อันสุดท้ายเจ้าค่ะ”
เพราะมันคืออันสุดท้าย นางจึงค่อย ๆ แทะกินน้ำตาลที่เคลือบผลไม้ไว้ทีละนิด
จนกระทั่งถึงตำหนักฉินเจิ้ง นางก็ยังกินถังหูลู่ไม่หมด
พอกลับมาถึงก็เป็นเวลาสายมากแล้ว หนานกงสือเยวียนหันมองตะกร้าไม้ไผ่ที่มีลูกท้ออยู่เต็มทุกใบ บรรยากาศรอบ ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นลูกท้อ
“นำไปมอบให้หวงกุ้ยเฟยสามผล ให้เหลียงกุ้ยเฟยสองผล ให้อี๋กุ้ยเฟยหนึ่งผล ส่วนเฟยทั้งสี่ให้คนละหนึ่งผล”
ส่วนคนที่เหลือก็แค่หาของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้ก็พอแล้ว ลูกท้อที่เหลืออยู่มีมากโข เสี่ยวเป่าจะต้องเอาไปมอบให้พี่ ๆ ของนางเป็นแน่
จะว่าเขาเป็นบุรุษนิสัยเสียก็แล้วแต่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว ครานี้ก็เช่นกัน
“ส่วนที่เหลือให้องค์หญิงน้อย”
เสี่ยวเป่ายืนตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเอาไปแบ่งให้พี่ ๆ นะเพคะ”
หนานกงสือเยวียน “ตามใจเจ้า”
ของทุกอย่างถูกนำไปไว้ที่ห้องโถงข้างตำหนักฉินเจิ้ง ส่วนเสี่ยวเป่านั้นกำลังหาที่ที่เหมาะสมสำหรับรังผึ้ง สุดท้ายนางก็เลือกที่จะแขวนมันไว้ใต้ชายคา ก่อนจะกลับไปแช่เม็ดบัวในตำหนัก
หลังจากจัดการเรื่องพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว นางก็ขอให้คนหาตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กมาจำนวนหนึ่ง แต่ละใบมีลูกท้อขนาดใหญ่สามลูก รวมถึงจดหมายที่นางตั้งใจเขียน และของว่างที่นางซื้อมาจากนอกวัง
ทว่ายามนี้เสี่ยวเป่ายังเขียนอักษรได้เพียงไม่กี่คำ ฉะนั้นข้อความทั้งหมดที่นางเขียนจึงแทบอ่านไม่เป็นภาษา และจบลงด้วยการวาดใบหน้ายิ้มในตอนท้าย
ขั้นตอนสุดท้ายนางใส่เม็ดบัวลงในถุงเล็ก ๆ ที่ปักโดยชุนสี่และคนอื่น ๆ ทว่าเม็ดบัวมีเพียงโถเดียว ซ้ำยังมีจำกัด นอกจากพี่ ๆ และท่านอาเจ็ดแล้ว บรรดาญาติผู้พี่จะยังไม่ได้รับเม็ดบัว ต้องรอจนกว่าเสี่ยวเป่าจะมีเม็ดบัวมากกว่านี้ คิก ๆ
หลังจากจัดเตรียมข้าวของเรียบร้อยแล้ว นางก็ขอให้คนนำไปส่งให้พี่ ๆ ที่สำนักศึกษา
รวมทั้งพี่ใหญ่ ท่านอาเจ็ด และบรรดาญาติผู้พี่ด้วย ส่วนสิ่งของที่นางต้องการส่งให้พี่รองนั้นมีไม่น้อย ฉะนั้นนางจะต้องเตรียมไว้ให้พร้อม ก่อนอื่น นางจะต้องใช้พลังวิญญาณเลี้ยงชีพลูกท้อไว้เสียก่อน วันพรุ่งนี้จึงค่อยส่ง
หลังจากเด็กน้อยเตรียมของให้ญาติพี่น้องจนเกือบจะครบทุกคนแล้ว นางถึงได้ลองดื่มชาเม็ดบัวที่ตนเองเพิ่งชง
กลิ่นหอมหวนของเม็ดบัวได้เปลี่ยนชาทั้งจอกให้หวานอร่อย และขมที่ปลายลิ้นเล็กน้อยลงตัวพอดิบพอดี
“หวานหอมกลมกล่อม! อันนี้ให้เสี่ยวไป๋ดื่มด้วย มีของเฟิงเฟิงด้วย”
นางหยิบชามใส่น้ำของเสี่ยวไป๋ออกมาและเทน้ำชาลงไป
เสี่ยวไป๋ตวัดลิ้นลิ้มรสชาอย่างมีความสุขพร้อมกระดิกหางน้อย ๆ ไปมา บางเวลาก็เงยหน้าขึ้นมาร้องใส่เสี่ยวเป่า
นางหยิบชามเล็กอีกใบออกมาเทน้ำชาลงไป เฟิงเฟิงรีบกางปีกบินไปเกาะที่ขอบชามเพื่อลิ้มรสน้ำชา แม้มันจะตัวโตที่สุดในรัง แต่มันก็ยังเป็นเพียงผึ้งตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงดื่มได้ไม่มากนัก แล้วมันก็เรียกเหล่าพี่น้องผองผึ้งออกมาดื่มกินด้วยกัน
ข้ารับใช้ของเสี่ยวเป่าเห็นผึ้งเป็นฝูงก็หน้าซีดขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน
เสี่ยวเป่ารีบพูดให้พวกเขาเบาใจว่า “ไม่ต้องกลัว ๆ พวกมันเชื่องมาก ไม่ต่อยคนมั่วซั่วแน่”