“น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรไป?” สองพี่ชายตกใจจนกระโดดเข้ามาหา ไหนเลยยังจะมีอารมณ์ไปสนใจจีเฉวียนอยู่อีก
ทั้งสองต่างก็บุกเข้าไปถึงด้านหน้าด้วยความหวั่นเกรงว่าตู๋กูซิงหลันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้สัมผัสตัวตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนก็เขวี้ยงหนังจิ้งจอกในมือทิ้งไป คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น “ไม่สบายหรือ?”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เนื่องเพราะว่านางขาพิการทั้งสองข้าง ไม่แน่ว่าบางทีร่างกายอาจจะมีอาการบาดเจ็บภายในอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกกันอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงซุนเอ๋อร์กล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ว่า “ท่านย่าน้อยกำลังจะมีทารกหรือเจ้าคะ? ตอนที่ท่านแม่ตั้งครรภ์ซุนเอ๋อร์ก็อาเจียนเช่นนี้”
นางเองก็เคยได้ยินพวกหมัวมัวในจวนพูดกัน ท่านแม่ตั้งครรภ์นางอย่างลำบาก อาเจียนอยู่ทุกๆ วัน
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาคนทั้งหมดตกใจจนชะงักค้างไป
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็พากันหันสายตาไปมองดูจีเฉวียน
สองพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็ตาลุกโชนขึ้นมา ตอนนี้เกิดเงื่อนไขที่จะให้พวกเขาก่อกบฏอย่างสมเหตุสมผลขึ้นตรงหน้าแล้ว
พอคิดดูให้ละเอียด ช่วงที่พวกเขาทั้งสองอยู่ในเมืองกู่เย่วนั้น จีเฉวียนก็ทำตัวเหมือนหมาป่าเฒ่าอยู่ตลอด ส่วนน้องเล็กนั้นถูกกล่าวหาจนกลายเป็นนางมารล้มบ้านล้างเมืองที่ทำเอาคนสงสัยกันกลุ่มใหญ่
เจ้าสุนัขเฒ่าจีเฉวียน ไม่รู้ว่าได้แอบทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับน้องเล็กไปหรือไม่?
องค์หญิงใหญ่เองก็ตกใจไปด้วย นางไม่นึกไม่ฝันว่าซุนเอ๋อร์จะพูดอะไรออกมาเช่นนั้น
องค์หญิงใหญ่อับอายจนสีพระพักตร์มีแต่ความขออภัย “เด็กน้อยไม่รู้ความ เด็กน้อยไม่รู้ความ”
ซุนเอ๋อร์ไม่เข้าใจความนัย จึงเอียงศีรษะกล่าวว่า “ซุนเอ๋อร์ไม่ได้พูดจาไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านย่าน้อยมิใช่ว่ากำลังจะมีทารกหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันเดิมทีคิดจะอาเจียนออกมาอีก แต่เพราะได้ยินคำของซุนเอ๋อร์ทำเอานางชะงักจนกลืนทุกอย่างกลับไป
แหวะ…..ยิ่งน่าอ้วกกว่าเดิม
นางยิ่งทียิ่งอาเจียนอย่างหนัก ทั้งแหวะทั้งอาเจียนออกมาใส่จีเฉวียนไปครึ่งตัว
ฮ่องเต้ทรงตระหนกขึ้นมา รีบหันไปรับสั่งกับหลี่กงกง “เรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
ขายังไม่ทันจะรักษาหาย หากว่ายังมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีก มิใช่ว่าเขาต้องปวดใจหนักกว่าเดิมหรอกหรือ!
พระองค์ทางหนึ่งตรัส ทางหนึ่งหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยตู๋กูซิงหลันเช็ดปาก โดยมิได้สนใจความสกปรกบนพระวรกายของพระองค์เอง ทั้งยังคว้าเอาน้ำค้างสาลี่หิมะในมือตู๋กูเจวี๋ยมาป้อนให้นางด้วย
ตู๋กูเจวี๋ย “…..” น้องสาวของเขา เขาไม่มีสิทธิ์ดูแลหรืออย่างไร? ถึงต้องให้ฮ่องเต้มาจัดการ?
ทั้งยังถูกพระองค์ยืมดอกไม้ไหว้พระอีก [1] !
ตู๋กูจุนเองก็แทบจะหันกลับไปคว้าดาบใหญ่ของตนเองขึ้นมาแล้ว
หลังดื่มน้ำค้างสาลี่หิมะลงไปหลายคำ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ค่อยๆ สงบลงได้บ้าง
แต่พอมองเห็นหนังจิ้งจอกที่อยู่ด้านข้าง ตู๋กูซิงหลันก็คิดจะอาเจียนออกมาอีก
แค่คิดว่าจิ้งจอกน้อยที่นางเลี้ยงเอาไว้ถูกคนเอาไปถลกหนัง ในสมองของนางก็เห็นภาพขึ้นมาทันที ทำเอาปวดใจจนอยากจะอาเจียน
“ฝ่าบาทมีพระทัยกตัญญูน่าสรรเสริญ แต่น่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรหม่อมฉันไม่อาจทนใช้หนังหรือขนสัตว์ได้” ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับมา มองดูจีเฉวียน “ต่อไปฝ่าบาทอย่าได้ทรงส่งของพวกนี้มาให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”
จีเฉวียนตะลึงไป หมอหลวงบอกว่านางไม่อาจทนความหนาว ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปยังเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ล่ามาให้นางเป็นกรณีพิเศษ
เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกตัวนี้พระองค์คอยทอดพระเนตรดูชาววังเหล่านั้นเย็บขึ้นมาแต่ละเข็ม หวังเพียงจะให้นางได้อบอุ่น
คิดไม่ถึงว่า สิ่งของพวกนี้กลับทำให้นางเกิดความทรมาน
คำพูดของตู๋กูซิงหลัน ทำให้องค์หญิงใหญ่ หยวนเฟย และหลี่กงกงตระหนกจนแทบจะกระโดดแล้ว
ฝ่าบาทที่ทรงเป็นพ่อไก่ขนเหล็กที่ไม่ยอมเสียทรัพย์แม้สักอีกแปะ กลับเป็นฝ่ายมอบของขวัญให้ผู้อื่น นี่ต้องถือว่าเป็นบุญกุศลที่บรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นได้สั่งสมมาแล้ว
ไทเฮาน้อยกลับปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้?
ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธอย่างแน่นอน พิโรธอย่างรุนแรงเสียด้วย
ทั้งสามต่างก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่หลังจากนั้นพวกนางก็ต้องประหลาดใจด้วยความผิดคาดอย่างแรง
ฝ่าบาทมิได้ทรงพิโรธเลยสักน้อยนิด พระองค์ประทับนั่งข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงพักตร์ที่งดงามไร้ที่ตินั้นกลับมีแต่การตำหนิพระองค์เอง
“เราผิดไปแล้ว ไม่สมควรมอบอะไรให้เจ้าอย่างไม่รอบคอบ”
ท่าทางของพระองค์นั้นเกลียดชังพระองค์เองจนแทบจะตบพระพักตร์สักสองรอบ
ผู้คนทั้งหลาย “???”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เมื่อครู่พวกเขาได้ยินว่าอะไรนะ?
ฮ่องเต้ทรงตรัสขอโทษ!
นอกจากสองพี่ชายตระกูลตู๋กูแล้ว ผู้อื่นต่างพากันสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
สวรรค์ทรงโปรด! ไทเฮาน้อยทรงใช้วิธีการใดถึงได้สามารถจัดการพระองค์จนอยู่หมัดได้ถึงเพียงนี้?
กลายเป็นเชื่องเชื่อจนไม่ธรรมดาแล้ว!
นี่คือเชื่อฟังจนหมอบราบคาบแก้วหรือว่าที่จริงแล้วยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง?
หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกนางต่างก็ไม่ยอมเชื่อ…..
นี่สมควรจะต้องเป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงมีแผนการอื่นอยู่อีก….กำลังทรงดำริจะให้ตระกูลตู๋กูออกไปทำอะไรอีกแล้วใช่ไหม?
แดนเป่ยเจียงก็ตีมาได้แล้ว ก้าวต่อไปสมควรถึงเวลาจัดการกำราบพิชิตแคว้นอื่นแล้ว
ต้าเหยียน
ใช้แล้ว…พิชิตแคว้นเหยียน
ในดินแดนนี้ แคว้นที่ยังพอจะสามารถเทียบเคียงกันได้อย่างมากก็คงจะเป็นแคว้นต้าฉิน
จะต้องเป็นเพราะมีพระดำริจะให้ตระกูลตู๋กูไปตีแคว้นต้าเหยียนเป็นแน่ ดังนั้นคราวนี้ถึงได้รีบเสด็จมาทำท่าลูกกตัญญูที่เชื่อฟัง
พวกองค์หญิงใหญ่ล้วนแล้วแต่คิดเช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น
เนื่องเพราะว่าคนเช่นฮ่องเต้นั้น….แต่ไหนแต่ไรไหนเลยจะเคยมีความจริงพระทัยให้กับใครเขากัน
พอดีกับที่สองพี่ชายตระกูลตู๋กูก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
แดนเป่ยเจียงถึงตอนนี้ก็นับรวมเข้ามาอยู่ในแผนที่ของแคว้นต้าโจวแล้ว ดังนั้นท่านปู่จึงสามารถกลับมาจากเป่ยเจียงได้อย่างวางใจ
ก้าวต่อไป ก็คือแคว้นเหยียนแล้ว
จีเฉวียนต้องการให้ตระกูลตู๋กูขยายดินแดนให้กับพระองค์ จึงได้มาเล่นงิ้วให้พวกเขาดู
ฮึ ฮึ ……ฮ่องเต้สุนัขอย่างไรเสียก็ยังเป็นฮ่องเต้สุนัข แต่ละก้าวล้วนคิดคำนวนมาแล้วอย่างละเอียด เรียกว่าแทบจะอยากให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในแผนการของตน
ที่จริงแล้วยามนี้ฮ่องเต้ไม่ทรงสนพระทัยแล้วว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความกังวลพระทัย “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบหนังจิ้งจอก เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เอาอีกแล้ว นับจากวันนี้ไป ผู้คนในต้าโจวทั้งหมดไม่อาจสวมใส่หนังจิ้งจอกอีก”
พอฝ่าบาททรงตรัสออกมา ก็เสมือนหนึ่งว่ามีราชโองการออกไปแล้ว
ความรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องแปลกใจเป็นรอบที่สาม
ดูเอาสิ……เพราะความร้อนพระทัยที่อยากจะให้คนตระกูลตู๋กูไปออกรบ แม้แต่ราชโองการเช่นนี้ก็ยังมีออกมาได้!
ฝ่าบาท แผนการนี้ของพระองค์มิใช่ว่าแสดงออกมาได้แจ่มแจ้งจนเกินไปแล้วหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป ก่อนหน้านี้จีเฉวียนทรงตรัสอยู่ตลอดเวลาว่าชอบนาง
แต่ว่านี้เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนทรงออกราชโองการเพราะความเคลื่อนไหวของนาง
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองช่างคล้ายกับนางมารที่ล้มชาติล้างเมืองเข้าจริงๆ
หนังจิ้งจอกถูกนำออกไป ตู๋กูซิงหลันก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางกระแอมเล็กน้อย “ฝ่าบาท ขนที่ตัดออกมาจากสัตว์ยังสามารถใช้ได้อยู่…..ขอเพียงมิได้พรากชีวิตของสัตว์ล้วนไม่เป็นปัญหาเพคะ”
“เราจะออกราชโองการอย่างละเอียด ร่างข้อกำหนดว่าอะไรสามารถสวมใส่ได้ อะไรสวมใส่ไม่ได้ ต่อไปภายหน้าในสายตาของเจ้า จะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งของที่ทำให้แสลงเช่นนี้อีก” จีเฉวียนประทับอยู่ข้างกายนาง ดึงมือของนางเข้ามา ตบลงบนหลังมือเบาๆ อย่างปลอบประโลม
ความปวดใจที่สื่อออกมาทางสายตานั้นทำเอาตู๋กูซิงหลันเลี่ยนแทบตายแล้ว
เหล่าพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็คิดว่าการแสดงของฮ่องเต้สุนัขช่างสมบทบาทนัก คำพูดแต่ละคำ ความเคลื่อนไหวแต่ละอย่าง กระทั่งสายตาก็ยังแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน
ช่างกตัญญูเกินไปแล้ว!
หากมิใช่เพราะว่าพวกเขาเข้าใจพระองค์เป็นอย่างดี เกรงว่าตอนนี้คงจะต้องถูกพระองค์หลอกลวงเข้าแล้ว
พอจีเฉวียนตรัสจบ หมอหลวงผู้หนึ่งก็รีบรุดเข้ามา
เมื่อมีหมอหลวงซุนเป็นตัวอย่างมาก่อน ก็แทบจะไม่มีหมอหลวงคนใดกล้ามาจับชีพจรถวายไทเฮาอีก ครั้งนี้ที่มาคือย่วนสื่อ [2] ของสำนักแพทย์หลวง
เขาสูงวัยมากจนใกล้จะมีอายุครบแปดสิบปีแล้ว ทั้งสายตาและหูก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ กระทั่งมือของเขาก็ทั้งเ**่ยวทั้งแข็งจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว
ขณะที่จับชีพจรถวายไทเฮาน้อยด้วยมือที่สั่นเทา ใบหน้าของเขาก็พลันแสดงสีหน้าปิติยินดีออกมา “ฝ่าบาท….นี่พระสนมทรงตั้งพระครรภ์แล้วพะยะค่ะ!”
………………………………………
ไรท์: เป็นเรื่องแล้ว!!!
ตอนต่อไป “ซิงซิงตั้งครรภ์?”
——
[1] 借花献佛: ฉวยสิ่งของของผู้อื่นมามอบให้กับอีกคน
[2] 太医院院使: ขุนนางขั้นห้ามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในทั้งหมดของสำนักแพทย์หลวง