“ฝ่าบาท พระองค์อย่าพึ่งทรงเสียพระทัย…” นางรีบปลอบประโลมต่อไป “ผ่านวันยาวนานค่อยเห็นน้ำใจ หอสูงใกล้น้ำได้รับแสงจันทร์ก่อน ขอเพียงพระองค์จริงใจ สตรีผู้นั้นต่อให้ใจแข็งเป็นหินผาก็ต้องอบอุ่นขึ้นมาอย่างแน่นอน”
“ลองคิดในทางที่ดีสิเพคะ จากที่นางเคยต่อต้านพระองค์ ยามนี้ก็เปลี่ยนเป็นไม่ปฏิเสธพระองค์แล้วมิใช่หรือเพคะ? อีกเพียงก้าวเดียวนางจะต้องยอมรับพระองค์อย่างแน่นอน”
อู๋เหนียงจื่อทางหนึ่งกราบทูล ทางหนึ่งก็ล้วงสมุดเล่มเล็กออกมาจากในอกเสื้อ ภายในสมุดนั้นบันทึกเรื่องราวความสำเร็จในการจับคู่ที่มีความลำบากเอาไว้
มีทั้งเรื่องของบุรษที่ตามจีบสตรี และเรื่องที่สตรีไล่ตามบุุรุษ ทั้งหมดล้วนถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดยิบ
“ฝ่าบาท ขนาดหวังหม่าจื่อแห่งโรงถลุงเหล็กทางตะวันตกของเมืองไปชอบพอดาวเด่นของหอบุปผา คนเขายังต้องใช้เวลานานถึงสิบปีจึงได้มาครอบครอง นี่ชี้ให้เห็นว่าไม่มีเรื่องใดยากไปกว่าความพยายามของคนเรา”
“พระองค์ยังมีเงื่อนไขดีกว่าหวังหม่าจื่อผู้นั้นตั้งหลายพันหลายหมื่นเท่านะเพคะ!”
“เราไม่ได้เรียกเจ้ามาปลอบใจ” จีเฉวียนทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งเท้าคาง “เราเรียกเจ้ามาวางแผนการ”
มิเช่นนั้นดึกดื่นค่อนคืนแล้วเขาจะเรียกแม่สื่อมาที่ห้องทรงอักษรทำไม
“ใช่แล้วเพคะๆ หม่อมฉันกล่าวมากความไปเอง” อู๋เหนียงจื่อยิ้มละไมอยู่ในหน้า
ว่ากันตามจริงนั้น…..นางก็เคยมอบแผนการไปมากมายแล้ว ในช่วงสั้นๆ จะให้คิดขึ้นมาอีกก็ออกจะติดขัดอยู่บ้าง
นางกวาดตาไปทางโต๊ะทรงงานของจีเฉวียนแวบหนึ่ง บังเอิญเหลือบไปเห็นชื่อ ‘ตู๋กูถิง’ สามตัวที่อยู่บนฏีกาบนโต๊ะหนังสือ
อู๋เหนียงจื่อตบหน้าผาก เกิดแผนการขึ้นมาในทันที
“ฝ่าบาทเพคะ ที่พระองค์ทรงไล่ตามนางอย่างยากลำบาก ล้วนเป็นเพราะว่าทรงออกศึกอย่างเพียงลำพังเพคะ”
จีเฉวียน “หมายความเช่นไร?”
“ทรงลองคิดดูนะเพคะ หากว่ามีคนช่วยเหลือฝ่าบาทตามจีบสตรีผู้นี้ นั้นมิเท่ากับว่าออกแรงเพียงครึ่งเดียวก็สำเร็จงานแล้วหรอกหรือเพคะ?”
จีเฉวียน “เจ้าก็ช่วยเราอยู่มิใช่หรือ?”
อู๋เหนียงจื่อ “……”
“นี่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันนะเพคะ ฝ่าบาท”
อู๋เหนียงจื่อเก็บสมุดของตนเองลงไป จากนั้นก็กราบทูลอย่างเป็นการเป็นงานกับพระองค์ว่า “หากว่าคนในครอบครัวของแม่นางผู้นั้นชื่นชมพระองค์ นอกจากพระองค์แล้ว พวกเขาจะไปสนใจผู้อื่นผู้ใดอีก ต่างพากันร่ำร้องอ้อนวอนให้แม่นางผู้นั้นแต่งกับฝ่าบาท ทรงคิดสิเพคะ….นี่ไม่เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งหรอกหรือ?”
“ความหมายของเจ้าก็คือเราสมควรจะเริ่มลงมือจากครอบครัวของนางก่อนรึ?”
ในที่สุดจีเฉวียนก็ทรงพบหนทางแล้ว
“ถูกแล้วเพคะ!” อู๋เหนียงจื่อสายตาเป็นประกาย “จะเกลี้ยกล่อมสตรีผู้หนึ่ง สมควรค่อยๆ เริ่มจากครอบครัวของนางก่อน โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโส ขอเพียงพี่และผู้อาวุโสของนางชื่นชมฝ่าบาท พระองค์ไหนเลยจะยังไล่ตามนางไม่สำเร็จ?”
คำพูดของอู๋เหนียงจื่อ จีเฉวียนได้ทรงฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
นี่ก็เช่นเดียวกับการวางกลยุทธ์ คิดจะกำจัดคนผู้หนึ่ง สมควรเก็บคนข้างกายของเขาทิ้งไปเสียก่อน
ในทำนองเดียวกัน คิดจะได้คนผู้หนึ่งมา ย่อมต้องเริ่มจากญาติสนิทมิตรสหายของนางก่อน
ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ “เราเข้าใจแล้ว”
พระองค์หรี่พระเนตรลง ทอดพระเนตรมองดูอักษรตัวใหญ่หลายตัวที่อยู่บนฏีกานั้น พระขนงขมวดมุ่น
เกรงแต่ว่าตอนนั้นลงมือหนักไปหน่อย อาจทำให้คนในตระกูลตู๋กูทั้งบนล่างล้วนไม่พอใจในตัวของพระองค์น่ะสิ
แต่เพื่อซิงซิงแล้ว พระองค์จะต้องทรงทำให้พวกเขาชื่นชมพระองค์ให้จงได้
สำหรับจีเฉวียนแล้ว นี่นับเป็นความท้าทายที่ไม่เล็กเลย
เนื่องเพราะก่อนหน้านี้ พระองค์ไม่เคยต้องสนใจความรู้สึกของผู้ใดมาก่อนเลย
ยิ่งไม่มีทางยอมเสียแรงไปเพื่อการเอาอกเอาใจผู้ใดมาก่อน
ตอนนี้เพียงแค่สองพี่ชายตระกูลตู๋กูก็เพียงพอจะทำให้พระเศียรพองโตขึ้นมาแล้ว …..แต่ครั้งนี้ท่านปู่ของนางก็จะกลับมาแล้ว……คงจะยิ่งหนักหนากว่าเดิม
ปลายพระดัชนีที่เคาะลงไปบนโต๊ะทรงงานยิ่งระรัวกว่าเดิม
“ฝ่าบาท กับผู้อาวุโสพระองค์ยิ่งสมควรจะแย้มสรวลให้มากๆ เข้าไว้ หากทำพระพักตร์เคร่งขรึมเหมือนสะสมความแค้นมาย่อมไม่มีผู้ใดชื่นชม” อู๋เหนียงจื่อสละชีวิตเข้าแลกไปหลายครั้งแล้ว
จึงทูลประโยคนี้ออกไปอย่างไม่กลัวถูกตัดหัว
ก่อนหน้านี้นางเคยแนะนำให้ฝ่าบาททรงแย้มสรวลอย่างอบอุ่น ไม่รู้ว่าได้ผลเช่นไรบ้าง จะถามดูก็ไม่กล้า
ฝ่าบาททรงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็แย้มสรวลออกมาอย่างลึกลับชั่วร้าย “แบบนี้?”
อู๋เหนียงจื่อเกือบจะวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
………………………………
เมื่อย่างเข้าสู่วันที่สามของต้นฤดูหนาว [1] ประมุขของตระกูลตู๋กูก็กลับมาถึงในที่สุด
เมื่ออยู่ภายใต้บัญชาการของท่านผู้นำตระกูล ใช้เวลาเพียงสองปีก็สามารถยึดเอาแดนเป่ยเจียงมาไว้ได้ทั้งหมด
เดิมทีฮ่องเต้ทรงตระเตรียมจะพระราชทานงานเลี้ยงเสมือนงานเลี้ยงของราชวงศ์ให้ ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับที่กลับมาจากแดนไกล แต่ว่าตู๋กูถิงกลับปฏิเสธไป
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบความครึกครื้น อยู่ในสมรภูมิมานาน กลับบ้านเพียงคิดแต่จะอยู่รวมกับคนในครอบครัวอย่างอบอุ่นเท่านั้น
เจียงเหม่ยหยู่วุ่นวายตั้งแต่เช้า
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องเสียท่าให้กับตู๋กูซิงหลันไปหลายครั้งหลายหน นางก็เปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมขึ้นมากแล้ว
เดิมทีนึกว่าสวรรค์มีตา ในที่สุดก็กำจัดนังสวะตู๋กูซิงหลันทิ้งไป แต่ใครจะไปนึกว่านางจะกลับมาได้อีก
ทั้งยังสร้างผลงานยิ่งใหญ่เอาไว้ในเมืองกู่เย่ว แม้แต่ขุนนางทั้งเล็กและใหญ่ในราชสำนักต่างก็พากันสนับสนุนนาง
ยังดีนะ….ที่นังสวะนั่นมันขาพิการไปแล้ว นับว่าสวรรค์ยังเมตตาสงสารตนเองอยู่บ้าง
หันมาดูเหลียนเอ๋อร์ที่เคยรู้จักต่อสู้เพื่อตนเองของนางสิ ตอนนี้วันๆ เอาแต่ทำตนเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง แม้แต่ความกล้าหาญที่จะไปต่อสู้แย่งชิงอะไรกับตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่มี
นางที่เป็นถึงท่านย่ากลับไม่มีตำแหน่งใดๆ ในบ้านเลยสักนิด
ยังดี นายท่านกลับมาแล้ว นางก็ถือได้ว่ามีที่พึ่งพิง
………………………..
ฤดูหนาวของทุกปี ต้นไม้ทั่วเมืองหลวงล้วนถูกปกคลุมไปด้วยด้วยหิมะและน้ำแข็งจนเป็นสีขาวเงินเปล่งประกาย
คนในจวนตระกูลตู๋กูต่างก็พากันวุ่นวายเป็นการใหญ่ หิมะภายในจวนถูกกวาดเสียจนสะอาดเกลี้ยงเกลา
ต้นไห่ถางภายในจวนต่างก็โรยจนหมดแล้ว บนต้นมีแต่เกล็ดน้ำแข็ง งดงามอย่างยิ่ง
วันนี้นายท่านกลับมาถึงจวนเป็นวันที่สาม ตระกูลตู๋กูจัดงานเลี้ยงฉลองภายในครอบครัว มีผู้สูงศักดิ์และขุนนางไม่น้อยส่งของขวัญมา แต่ทั้งหมดล้วนถูกนายท่านปฏิเสธไป
เขาก็เป็นคนเช่นนี้ตรงไปตรงมามากเกินไป นับตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่แล้ว คนในราชสำนักต่างก็รับทราบนิสัยของเขาดี ถึงจะถูกปฏิเสธที่หน้าประตูต่างก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรอีก
ดูเอาเถอะ…..ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา เกรงว่าอีกเพียงไม่กี่วันคงจะต้องมีเรื่องขัดแย้งกับฮ่องเต้เป็นแน่
วันคืนของตระกูลตู๋กูเพิ่งจะดีขึ้นได้เพียงไม่กี่วัน เกรงว่าก็คงจะพังทลายลงไปในมือของตู๋กูถิงเสียแล้ว
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าตู๋กูถิงนั้นแข็งกระด้างและเถรตรงเสียจนกระทั่งงานเลี้ยงที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ด้วยพระองค์เองก็ยังกล้าปฏิเสธ
จุ๊ จุ๊….ด้วยพระอุปนิสัยของฝ่าบาท ที่จริงแล้วก็คงจะชังน้ำหน้าของเขาตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน
ถนนตงต้าเจีย [2] ก็มิได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้วผู้คนไม่น้อยต่างก็ชุมนุมอยู่ในระแวกใกล้ๆ กับจวนตระกูลตู๋กู
ต่างก็อยากจะรอชมดูเสียหน่อยว่า ในวันที่เลี้ยงฉลองกันภายในบ้านเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงลงแส้กับตู๋กูถิงเป็นการตัดไม้ข่มนามเขาหรือไม่
เนื่องเพราะการปฏิเสธพระเมตตาของฝ่าบาทอย่างชัดแจ้งเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าดวงตาของเขานั้นเย่อหยิ่งเพียงไร ทำเช่นนี้มิเท่ากับถือว่าตนมีผลงานเหนือล้ำกว่าเจ้าแผ่นดินหรอกหรือ?
ภายในจวนตระกูลตู๋กู ตู๋กูถิงถอดชุดเกราะออกแล้ว เขาสวมใส่ชุดสีเขียวที่เรียบหรูยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่เย็นจนมีน้ำแข็งเกาะพราว
คนอายุได้หกสิบกว่าแล้ว เส้นผมแซมด้วยสีขาว แต่มองดูแล้วสุขภายร่างกายก็ยังคงแข็งแกร่ง หากมองดูเฉพาะเงาหลังยังต้องเข้าใจว่าเป็นคนหนุ่มแน่นผู้หนึ่ง
เส้นผมของเขาขมวดเป็นมวยเอาไว้ บนมวยนั้นปักปิ่นไม้อยู่ชิ้นหนึ่่ง ตลอดทั้งร่างเปล่งประกายสูงส่ง
“นายท่าน ท่านกลับมาช้าไปเสียหน่อยแล้ว จึงไม่ทันได้เห็นวันที่ดอกไม้ผลิบาน” ในตอนนั้นเอง เจียงเหม่ยหยู่ก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า ในมือของนางมีเสื้อคลุมกันหนาวตัวหนึ่ง มาถึงก็คลุมลงไปบนร่างของเขา
——
ตอนต่อไป “ทุกเรื่องให้คำนึงถึงน้องสาวเป็นหลัก”
[1] 冬月初三: วันที่สามของฤดูหนาวในปีนั้นๆ โดยนับตามปฏิทินจันทรคติตกประมาณปลายเดือน11หรือต้นเดือน12
[2] 东大街: ถนนสายตะวันออก