เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 176 ปากเป็นพิษ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 176 ปากเป็นพิษ

บทที่ 176 ปากเป็นพิษ

องค์ชายสี่บีบแขนของเขา “อ่อนแอถึงเพียงนี้แล้วจะปกป้องเสี่ยวเป่าได้อย่างไร เจ้าควรออกกำลังกายให้มากขึ้นนะ”

องค์ชายสี่กล่าวออกมาทันที อย่างไรเสียในสายตาของหนานกงฉีอิง น้องหญิงของเขานุ่มนิ่มบอบบางเป็นอย่างยิ่ง จำต้องได้รับการปกป้อง ตัวเขาในฐานะพี่ชายจะต้องปกป้องนาง ส่วนสหายนั้นก็ต้องมีความสามารถที่จะปกป้องนางได้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจวางใจ

องค์ชายหกหนานกงฉีเฉินส่งเสียงร้องเหอะออกมา เชิดหน้าไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงแค่เดินไปแทรกกลางระหว่างน้องหญิงกับเขา

โจวเหยียน “…”

หนานกงฉีเฉิน “เจ้ามีข้อโต้แย้งหรือ?”

หนุ่มน้อยแสดงท่าทางเผด็จการออกมา

โจวเหยียน “…ไม่มี…พ่ะย่ะค่ะ…”

เสียงของหนานกงฉีซิวดูอ่อนโยน ท่วงท่าของเขาสงบนิ่งทว่าก็ยังเคลื่อนกายไปแทรก สร้างระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง

“มาถึงที่นี่แล้ว ก็ลองไปดูปลาเถิด”

สีหน้าของโจวเหยียนสับสนงุนงง ปลาทั้งหมดนี้ก็เหมือนกันมิใช่หรือ?

หนานกงฉีซิวลูบหัวน้องหญิงด้วยความกังวลอยู่บ้าง หากโจวเหยียนและเสี่ยวเป่าเติบโตมาด้วยกันอาจกลายเป็นคู่รักที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก

ไม่ได้การ น้องหญิงของเขายังเล็กถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฐานะและความสามารถของนาง ไม่ควรถูกผูกโยงไว้ด้วยความสัมพันธ์วัยเด็กแต่อย่างใด ในวันข้างหน้าจะต้องให้เสี่ยวเป่าได้เห็นเด็กคนอื่น ๆ ที่มีความโดดเด่น เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างไกลยิ่งขึ้น

ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่หนานกงฉีซิวจะคิดมากถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียเด็กในยุคสมัยนี้ก็เติบโตเร็วเป็นอย่างยิ่ง สตรีอายุห้าปีก็ต้องทำสัญญาหมั้นวางแผนเรื่องแต่งงานแล้ว บางคนอาจเริ่มมองหาเร็วกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นอย่ามองว่า ตอนนี้เสี่ยวเป่าเพิ่งจะอายุสามขวบ เพียงแค่ใช้เวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้นก็จะเติบโตแล้ว

แน่นอนว่าหนานกงฉีซิวไม่ต้องการให้น้องหญิงของตนแต่งงานออกไปเร็วถึงเพียงนั้น อย่างไรเสียก็ต้องให้นางเติบโตให้ดีเสียก่อน

ทำเช่นนี้นางจึงจะไม่ถูกจำกัดมุมมองให้คับแคบ มองเห็นเพียงแต่คนรอบตัว ไม่เช่นนั้นพอเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะเริ่มเกิดความผูกพันขึ้นมา

โจวเหยียนผู้น่าสงสารยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่า ตนเองถูกจัดเข้าไปอยู่ในรายชื่อที่ต้องเฝ้าระวังเสียแล้ว ประหนึ่งแกะน้อยน่าเวทนาที่หลงเข้ามาในถ้ำหมาป่าโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้อยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา เสี่ยวเป่ารีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!

น่าเสียดายที่เสี่ยวเป่านั้นจดจ่อแต่เพียงเหล่าพี่ชาย ดังนั้นจึงไม่รับรู้สายตาขอความช่วยเหลือจากโจวเหยียนแม้แต่น้อย

“เจ้าเด็กน้อย ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่รู้ว่าข้าเป็นอาจารย์ ข้ารับลูกศิษย์ตัวปลอมมาใช่หรือไม่?”

มวยผมน้อย ๆ ของเสี่ยวเป่าถูกดึงเอาไว้ ผู้ที่อยู่ด้านหลังและดึงผมของนางเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาที่ไม่เคยพบมาก่อน

แต่เหตุใดฟังเสียงแล้วช่างคุ้นเคยยิ่งนัก!

เจี่ยเจินลูบคางเกลี้ยงเกลาของตนเอง รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างเล็กน้อย

“อาจารย์?”

เสี่ยวเป่าเบิกตากว้างพร้อมร้องเรียกออกมาอย่างไม่มั่นใจ

เจี่ยเจินเอามือไพล่หลังแล้วพยักหน้า

“เป็นเช่นไรบ้าง ข้าดูดีกว่าท่านอาเจ็ดของเจ้ามากหรือไม่”

หนานกงหลีที่กำลังเดินมาหาหลานสาวตัวน้อยได้ยินเข้าพอดี พัดในมือถูกหุบลงทันทีด้วยความไม่พอใจ สายตากวาดมองขึ้นลงบนร่างของชายที่ปากเสมือนเคลือบยาพิษ

“คนน่าเกลียดนี่ดูดีกว่าข้าตรงไหนกัน? ดวงตาก็เล็กเกินไปจนดูอัปลักษณ์ จมูกใหญ่แต่กลับแบนไปบ้าง ริมฝีปากก็หนาเกิน ข้ามองแล้วยังคิดว่าเจ้าถูกผึ้งต่อยมา เส้นผมก็ยาวถึงขนาดนี้แต่กลับไร้คุณภาพ ดูแห้งกรอบเป็นอย่างยิ่ง ไปถอนหญ้าออกมาสักกำมือยังจะดูดีกว่าผมทั้งหัวของเจ้าเสียอีก”

เขาใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมของเจี่ยเจินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง

เจี่ยเจินโกรธจนชี้นิ้วไปที่เขา “เจ้า…”

หนานกงหลีใช้พัดปัดนิ้วของเขาออก จากนั้นก็เดินวนรอบตัวเข้าพร้อมชี้กลับด้วยความรังเกียจ

“เจ้าใส่เสื้อผ้าอันใดกัน มอมแมมเปื้อนฝุ่นไปหมด ข้าอดสงสัยไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นมุสิกจำแลงกายมาหรือไม่”

เจี่ยเจินบันดาลโทสะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ราวกับใกล้จะสามารถพ่นควันออกมาได้แล้ว

หนานกงหลีถอยตัวออกห่าง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ว่า “ไอ้หยา คนผู้นี้ไม่มีเสื้อผ้าแล้วยังไม่มีปากอีกด้วย เช่นนี้แล้วยังคิดจะเปรียบเทียบความงามกับข้าอยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงตาบอดเช่นนี้กัน?”

ฝีปากของเขามีพลังทำลายล้างสูงยิ่งนัก เหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างจับจ้องมองมาที่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ที่แท้ท่านอาเจ็ดจะเป็นคนเช่นนี้

“เอ๋? เหตุใดจู่ ๆ บนร่างข้าก็รู้สึกคันคะเยอขึ้นมากัน?”

หนานกงหลีเอ่ยวาจาปากคอเราะร้ายจบไปไม่ทันจะถึงชั่วอึดใจ ก็พลันรู้สึกราวกับมีแมลงตัวเล็กเกาะอยู่บนร่าง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตา

ครานี้เป็นคราวเจี่ยเจินยืดอกขึ้นมาบ้าง

“ฮ่าฮ่า เจ้าต้องได้รู้ซึ้งถึงผลของการล่วงเกินหมอปีศาจ!”

สีหน้าของหนานกงหลีเปลี่ยนไปอีกหน จับจ้องมาทางเขาเขม็งโดยไม่อาจรักษาท่าทีเช่นเดิมเอาไว้ได้

“เจ้าคือชายชราเจี่ยเจินจอมมอมแมมนั่น เจ้าไปเปลี่ยนหน้าของตนเองมา!” หนานกงหลีถึงกับลืมเรื่องอาการคันตามตัวไปชั่วคราว

เจี่ยเจินกระทืบเท้า “ไร้สาระ! นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของข้า หล่อเหลาสง่างามและยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด! เสียทีที่ข้าร่วมดื่มสุรากับเจ้าไปตั้งมากมาย เพียงแค่โกนหนวดเคราเจ้าก็ไม่รู้จักกันเสียแล้ว ยังจะนับว่าเป็นพี่น้องกันได้อีกหรือ ความเป็นพี่น้องกับเจ้าสิ้นสุดกันลงเพียงนี้!”

หนานกงหลีเการ่างกายด้วยความรู้สึกคับข้องใจ “นั่นเจ้าเรียกว่าแค่โกนหนวดเคราอย่างนั้นหรือ? เจ้าเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ คนที่ดูออกก็มีเพียงผีเท่านั้นแหละ โอ๊ย…นี่เจ้าวางยาข้าอย่างนั้นหรือ? รีบนำยาแก้พิษออกมาเสีย!”

เจี่ยเจินเดินถือขวดยาแก้พิษไปรอบ ๆ ตัวเขา แต่ไม่ยอมมอบยาแก้พิษให้ หลังจากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็เริ่มออกวิ่งไล่ต่อสู้กันราวกับเป็นเด็กน้อย

เสี่ยวเป่าส่ายหัวแสร้งวางมาดเหมือนตนเป็นผู้อาวุโส แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับนุ่มนิ่มเป็นอย่างยิ่ง “เด็กน้อย!”

ทุกคนมองมาทางนางด้วยความขบขัน

พวกโจวเหิงมาที่นี่ จุดประสงค์หลักก็เพื่อปลาเหล่านั้น

แม้ว่าตระกูลโจวจะทำการค้าขายเกี่ยวกับยาและสมุนไพรเป็นหลัก แต่ก็มีกิจการด้านอื่นอยู่ด้วย

หนึ่งในนั้นมีกิจการเหลาอาหาร แต่เหล่าอาหารของตระกูลโจวนั้นผลประกอบการไม่ค่อยดี บางครั้งก็ถึงกับขาดทุน ดังนั้นเหลาอาหารที่ทำจึงไม่ได้ใหญ่อันใดมากมาย

เหลาอาหารเจินซิวจำเป็นต้องใช้ปลาก็จริง แต่เหลาอาหารเจินซิวเพียงแห่งเดียวย่อมใช้ไม่หมดอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาคนเข้าร่วมด้วย

หนานกงสือเยวียนพิจารณาความสัมพันธ์ของเสี่ยวเป่ากับตระกูลโจว โดยไม่นับโจวเหยียนและเจี่ยเจินเข้าไปด้วย จากนั้นเขาก็สั่งให้ใครสักคนตรวจสอบดู ก่อนจะพบว่าตระกูลโจวนั้นเปิดเหลาอาหารด้วย จึงส่งจดหมายไปเชิญ

นี่เป็นเหตุผลที่คนจากตระกูลโจวมาปรากฏตัวขึ้นที่นาหลวง

แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่หนานกงสือเยวียนที่เจรจาธุรกิจกับโจวเหิง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของหัวหน้าผู้ดูแลนาหลวง

สุดท้ายแล้ว ปลาที่ถูกจับได้จากนาหลวงมีมากกว่าสามพันตัว รวมแล้วประมาณสามพันกว่าจิน ปลาเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกขายให้กับตระกูลโจว อีกทั้งยังเป็นสัญญาซื้อขายอย่างต่อเนื่อง ปลาในนายังมีอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ได้มีเพียงแค่ในที่นาสามไร่นี้เท่านั้น ในนาอื่น ๆ ก็ยังเลี้ยงปลาเอาไว้ด้วย

ตระกูลโจวจึงตัดสินใจร่วมมือกับฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากกลับไปพวกเขาย่อมต้องลงมือปรับปรุงเหล่าอาหารของตนเองอย่างแน่นอน

ทุกวันนี้มีคนจำนวนน้อยเป็นอย่างยิ่งที่เลี้ยงฝูงปลาขนาดใหญ่ ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่มีแหล่งซื้อปลาประจำ ทว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะขาดแคลนเนื้อปลา หากอยากให้กิจการรุ่งเรืองก็ควรจะต้องเริ่มต้นด้วยการลงมือกับปลา

เมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องช่องทางการขายปลาเรียบร้อยแล้ว เงินที่ได้รับมาก็นับเป็นเงินก้อนใหญ่ หลังจากหักค่าจ้างคนงาน ค่าดูแลรักษานาหลวง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เงินที่เหลือจะถูกส่งเข้าไปยังท้องพระคลังส่วนตัวขององค์จักรพรรดิ

ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ท้องพระคลังส่วนตัวของฮ่องเต้มั่งคั่งมากเพียงใดในปีนี้

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปยังทิศตะวันตก ในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

ข้าวเปลือกที่ถูกนำมาตากแดดจะแห้งจนสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้นานยิ่งขึ้น

ส่วนเมื่อยามต้องเก็บข้าวมาตากนั้น เหล่าพี่น้องตระกูลหนานกงก็ไม่ต้องการจะสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองเสียเท่าไหร่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท