เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 212 ขนแกะ!!!

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 212 ขนแกะ?!!!

บทที่ 212 ขนแกะ?!!!

จำนวนผู้คนที่เดินทางมายังศาลต้าหลี่เพื่อร้องทุกข์เรื่องของคนสกุลหลี่มีมากมาย ซ้ำยังดูน่าสงสารจับใจ

มีทั้งขอทาน ขาพิการ และคนเฒ่าคนแก่ผมขาวโพลน

“ได้ยินว่า… ได้ยินว่าที่นี่รับฟ้องเรื่องสกุลหลี่ใช่หรือไม่? ข้าจะฟ้องพวกเขา พวกเขาเอาหลานสาวของข้าไป มิหนำซ้ำ…มิหนำซ้ำยังยึดที่นาของครอบครัวข้าด้วย…”

ชายชราทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย ผมหงอกสีขาวโพลนทำให้ผู้คนที่พบเห็นยากจะทนรับไหว

“ข้าจะฟ้องสกุลหลี่ พวกมันชิงตัวน้องสาวของข้าไป ทุบตีพ่อแม่ข้าจนตาย ทั้งยังหักขาของข้า ข้าจะฟ้องพวกมัน พวกมันจะต้องไม่ตายดี!!!”

โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว สกุลหลี่ก็ได้สร้างความโกรธแค้นให้ผู้คนมากมายแล้ว

ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีคำตัดสิน หลี่ฮ่าวฉุนที่ก่อกรรมทำชั่วนับไม่ถ้วนอีกทั้งยังมือเปื้อนเลือด จึงถูกตัดสินให้ประหารซึ่งหน้า*[1]

เมื่อหลี่ฮ่าวฉุนที่อยู่ในคุกรู้ข่าวก็เป็นลมล้มพับในทันที ก่อนหน้านี้เคยกำเริบเสิบสานเพียงใด บัดนี้ก็นึกเสียใจเพียงนั้น แต่ว่าโลกนี้หาได้มียาสำนึกผิดให้กินไม่

เดิมทีเสี่ยวเป่าไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังสกุลหลี่ แต่ผู้ใดใช้ให้นางมีท่านอาและอาจารย์ที่ชอบซุบซิบนินทาผู้อื่น นางจึงรู้แม้กระทั่งเรื่องที่สกุลหลี่ถูกฟ้องร้อง

ขณะนั้นเจ้าตัวน้อยกำลังหมักสุรา เสี่ยวเป่านำองุ่นกับลูกพลับที่ล้างสะอาด จากนั้นบดจนละเอียด แบ่งบรรจุไว้ในถังไม้ และรอจนพวกมันเกิดฟอง

“สิ่งนี้ใช้หมักสุราได้หรือ”

หนานกงหลีมองถังไม้ที่ถูกบรรจุไว้เต็ม พลางนึกสงสัย

สุราที่เขาเคยรู้จักล้วนแต่หมักขึ้นจากธัญพืช ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผลไม้ก็ใช้หมักสุราได้ด้วย

แน่สิ เสี่ยวเป่ายังเด็กนัก อย่างไรเสียผลไม้พวกนี้ก็เป็นเพียงผลไม้ป่า ให้นางได้เล่นสนุกเสียหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร

เสี่ยวเป่ายืดอกขึ้นอย่างมั่นใจ “ได้แน่นอนเพคะ!”

หนานกงหลียังมีท่าทีสงสัยในเรื่องนี้

“แล้วหญ้างอกงามของเจ้าเล่า”

หนานกงหลียกพัดในมือขึ้น แสร้งโบกพัดไปมาทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อน

“พี่รองเอาไปป้อนม้าแล้วเพคะ”

หญ้างอกงามเจริญเติบโตเร็วมาก หลังจากที่หนานกงฉีโม่ได้ยินเสี่ยวเป่าพูดถึงระยะเวลาในการเติบโตของหญ้างอกงาม ทั้งยังบอกอีกว่าพวกสัตว์กินพืชชอบกินหญ้าพวกนี้มากเป็นพิเศษ เขาก็นั่งไม่ติดทันที ผลิตผลเพิ่งจะงอกเงย เขาก็ทนรอไม่ไหวสั่งให้คนตัดหญ้าเพื่อนำไปป้อนม้าของเขา

หากว่าม้าชอบกินขึ้นมาจริง ๆ ทั้งยังงอกงามภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนั้นหญ้านี้ก็จะเป็นเหมือนดั่งสมบัติล้ำค่าสำหรับกองทัพที่เมืองหน้าด่าน!

“ไม่นานนัก พวกมันก็จะงอกขึ้นมาอีกแล้ว”

นางมีกวางที่กินหญ้าอยู่แค่ตัวเดียว แล้วก็แพนด้าอีกหนึ่งตัวที่มาเด็ดหญ้ากินเป็นครั้งคราว ทั้งยังเตรียมอาหารไว้ให้พวกมันพร้อมสรรพ การรออีกสักพักเพื่อให้หญ้าโตจึงไม่ใช่ปัญหา

“ท่านอาเจ็ด เสี่ยวเป่าไปหาพี่รองนะเพคะ”

เจ้าเด็กน้อยกอดเสื้อขนสัตว์สีขาวหิมะเอาไว้ในอ้อมแขน เป็นตัวที่ทำขึ้นโดยวัดจากขนาดตัวของพี่รอง

ของท่านพ่อก็มีเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้ท่านพ่อมีงานต้องทำ นางจึงต้องรอให้ถึงกลางคืนแล้วค่อยมอบให้เขา

“นี่คือเสื้ออันใดกัน”

หนานกงหลีคว้าเสื้อขนแกะที่อยู่ในมือของเจ้าตัวเล็กมา จากนั้นก็กางออกเพื่อพินิจดู

จะว่าไปแล้วก็ดูดีทีเดียว

เสี่ยวเป่า “เสื้อขนสัตว์ที่จะให้พี่รองเพคะ สวมแล้วช่วยให้อบอุ่น”

เจี่ยเจินที่ได้ยินก็มองมาเช่นกัน จากนั้นดวงตาก็ลุกวาวเป็นประกาย “นี่คือเสื้อที่เจ้าใช้ขนแกะพวกนั้นทำขึ้นมาหรือ”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่เจ้าค่ะ ดูดีใช่หรือไม่”

หนานกงหลีพยักหน้า “สัมผัสนุ่มมาก เสื้อตัวนี้ดูแปลกตานัก อาเจ็ดขอแล้วกันนะ”

เสี่ยวเป่า “!!!”

“ตะ แต่…แต่ว่าตัวนี้เป็นของพี่รอง”

หนานกงหลียังคงหน้าไม่อายต่อไป “รู้แล้ว ๆ ข้าจะลองสวมดูก่อนว่าอุ่นหรือไม่ จากนั้นค่อยคืนให้เขา หรือไม่พวกเจ้าก็ทำขึ้นอีกตัวเป็นอย่างไร?”

เสี่ยวเป่าแก้มพองด้วยความโกรธ “ขนแกะใกล้จะหมดแล้ว ท่านอาเจ็ดขโมยเสื้อของพี่รอง หน้าไม่อาย”

เจี่ยเจินก็ช่วยผสมโรงอยู่ข้าง ๆ “นั่นสิ อายุปูนนี้แล้วไม่รู้จักอายบ้างเลยหรือ ขโมยได้แม้กระทั่งเสื้อเด็ก”

หนานกงหลีทำเสียงเหอ ๆ “หากเจ้าไม่อยากได้ก็เอามือออกไปเสียสิ”

เจี่ยเจินหัวเราะหึ ๆ “มิต้องพูดถึงสัมผัสของมัน แค่จับดูก็รู้แล้วว่าสวมในฤดูหนาวจะต้องช่วยให้ร่างกายอุ่นอย่างแน่นอน ลูกศิษย์ตัวน้อยของข้า เจ้ายังมีอีกหรือไม่ ขออาจารย์สักตัวสิ”

เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย “นี่เป็นของพี่รอง ไม่มีขนแกะแล้วเจ้าค่ะ”

เจ้าตัวน้อยยังยืนกรานคำเดิม นางไล่ตามหนานกงหลีและแย่งเสื้อกลับคืนมาได้

หนานกงหลีบีบจมูกน้อย ๆ ของนาง “ขี้งกจริงเชียว นึกถึงแต่พี่รองของเจ้า แต่กลับไม่มีให้ข้า อาเจ็ดน้อยใจแล้วนะ”

เสี่ยวเป่ามองเขาตาปริบ ๆ “ท่านอาเจ็ดอย่าเพิ่งใจร้อนสิ พี่รองต้องไปชายแดน ที่นั่นหนาวมาก ต้องให้พี่รองก่อน อีกหน่อยท่านอาเจ็ดก็จะมีเหมือนกันเพคะ”

หนานกงหลีโบกพัดอย่างลอยชาย ไม่หลงเหลือท่วงท่าของคนเป็นอาเลยสักนิด

“ก็ได้ ๆ เช่นนั้นอาเจ็ดจะรอเสื้อขนสัตว์ของเสี่ยวเป่า หากก่อนฤดูหนาวยังไม่มีใส่ อาเจ็ดก็คงได้แต่หนาวตาย”

เขาเริ่มทำตัวน่าสงสารขึ้นมาทันใด

เจ้าก้อนแป้งตบหน้าอกตัวเอง “ไม่ต้องกังวลเพคะ ท่านอาเจ็ดต้องได้ใส่แน่ ๆ!”

เจี่ยเจินหลุดขำจนพ่นน้ำชาออกจากปาก “ดูคำพูดเจ้าสิ เหมือนกับว่าท่านอาเจ็ดไม่ได้สวมเสื้อผ้าอย่างไรอย่างนั้น”

หนานกงหลีทำหน้าขรึม “เจ้าว่าผู้ใดไม่ใส่เสื้อผ้า เจ้าน่ะสิไม่ใส่!”

“ข้าพูดหรือ หลานสาวเจ้าเป็นคนพูดชัด ๆ เหตุใดข้าถึงถูกรังแกอยู่เรื่อย…”

อายุปูนนี้แล้วยังทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้

เสี่ยวเป่ากอดเสื้อเอาไว้ ส่ายหัวพลางถอนหายใจราวกับวางท่าเป็นผู้ใหญ่ พร้อมหันเท้า ๆ น้อยเดินออกไปด้านนอก

“เด็กน้อย นิสัยเด็กน้อยกันจริง ๆ”

นางไปหาพี่รองดีกว่า

เมื่อไปถึงตำหนักของพี่รอง ก็ได้รับรายงานว่าเขาอยู่ที่คอกม้า

เสี่ยวเป่ามุ่งหน้าไปยังคอกม้าโดยไม่ลังเล พร้อมกับกอดเสื้อขนสัตว์ไว้ในอ้อมแขน

“พี่รอง พี่รองอยู่หรือไม่ เสี่ยวเป่าของพี่รองมาหาแล้ว”

เจ้าตัวน้อยตะโกนเรียกเสียงออดอ้อนตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าไป

หนานกงฉีโม่ที่กำลังดูม้าของตนเล็มหญ้าได้ยินดังนั้นก็พลันยิ้มออกมา

“อยู่ตรงนี้”

เสี่ยวเป่ารีบเดินตามเสียงไปทันที

หญ้างอกงามที่เก็บเกี่ยวแล้วถูกวางไว้บนสนามอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บัดนี้ม้าตัวโตสีดำขลับกำลังกินมันอย่างเพลิดเพลิน หญ้าเป็นกำถูกเอาเข้าปาก หางตรงยาวสีดำสนิทพลิ้วไหวไปมาอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเป่า เจ้าไปหาเมล็ดพันธ์ุหญ้ามาจากที่ใดหรือ? เหมาะให้อาหารม้ายิ่งนัก!”

และที่สำคัญคือใช้ระยะเวลาในการเติบโตไม่นาน เพียงสองถึงสามเดือนก็จะงอกงาม ทั้งยังงามสะพรั่งเป็นพิเศษ อีกทั้งเขาค้นพบว่ามันเติบโตอย่างหนาทึบเมื่อตอนที่กำลังตัดหญ้าในสนาม

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือม้าของเขาชอบกินมันมาก เขาไม่เคยเห็นพวกมันกินหญ้าที่ชายแดนอย่างมีความสุขเช่นนี้มาก่อน

ม้าของกองทัพที่เมืองหน้าด่านมีมากมายนัก ต้องจ่ายเงินค่าอาหารม้าเป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน หากว่าพวกเขาปลูกหญ้าชนิดนี้ ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าหญ้าจะไม่เพียงพอเลี้ยงม้าศึก

“เจ้ายังมีเรื่องให้พี่แปลกใจอีกเยอะเท่าใดกันแน่ หืม?”

หนานกงฉีโม่อุ้มเจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะขึ้นมา และหอมแก้มนุ่มนิ่มของนางอย่างรักใคร่

เสี่ยวเป่า: (; ̄ェ ̄)

“แก้มเสี่ยวเป่าเลอะน้ำลายพี่รองหมดแล้ว!”

นางบ่นมุบมิบไปพลาง ก่อนจะยื่นเสื้อที่อยู่ในมือให้เขา

“เสื้อผ้าเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่าให้”

หนานกงฉีโม่ “ให้ข้าหรือ?”

เขารับมันมาและกางออก ทั้งรูปแบบและเนื้อผ้าเป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ให้สัมผัสที่นุ่มยิ่งนัก

“มันทำจากสิ่งใดหรือ?”

เขายกเสื้อขนสัตว์ขึ้นมาสูดดม มีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยออกมา

“ขนแกะเจ้าค่ะ”

หนานกงฉีโม่ “อ้อ ที่แท้ก็ขน…เจ้าว่าอย่างไรนะ ขนแกะ!!!”

[1] การประหารซึ่งหน้า คือ การประหารทันที ไม่มีเวลาให้สำนึกผิด และไม่ให้นักโทษได้อุทธรณ์ เป็นพระบรมราชโองการของฮ่องเต้เพียงผู้เดียว

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท