เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 240 สุราที่เสี่ยวเป่าซ่อนไว้

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 240 สุราที่เสี่ยวเป่าซ่อนไว้

บทที่ 240 สุราที่เสี่ยวเป่าซ่อนไว้

หนานกงสือเยวียนมองพวกเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ว่ามาสิ”

หนานกงจ้านมีท่าทีจริงจัง “นางรำของหนานจ้าวผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นศิษย์ของมหาปุโรหิต เชี่ยวชาญการใช้กู่พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อตอนที่พวกหนานจ้าวมายังต้าเซี่ย เขาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำการอยู่ชายแดนทางตอนใต้ ตรวจสอบพวกที่เดินทางมาจนรู้ข้อมูลบางส่วนแล้ว ทว่าเพิ่งได้รับรายงานโดยละเอียดในวันนี้

แต่ต่อให้ไม่ได้รับจดหมาย ใช้แค่หัวแม่เท้าคิดก็รู้แล้วว่าพวกหนานจ้าวต้องมาไม่ดีแน่

แผนส่งหญิงงามเข้าถ้ำ หากเป็นฮ่องเต้ที่หวงศักดิ์ศรีและมักมากในกามก็คงจะติดกับไปแล้ว มิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะตายเช่นไร

“พวกหนานจ้าวมีแผนร้าย เสด็จพี่โปรดระมัดระวังตัวด้วย”

สิ่งที่เขาเป็นกังวลที่สุดคือพิษกู่ที่อยู่ภายในกายหนานกงสือเยวียน แม้ในยามปกติจะควบคุมได้ แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าพวกหนานจ้าวจะไม่มีวิธีทำให้พิษกู่กำเริบขึ้นมาอีก

“ข้ารู้แล้ว”

ประกายอำมหิตปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำสนิท “นำเรื่องนี้ไปบอกเจี่ยเจิน”

แม้ว่างานฉลองวันพระราชสมภพจะจัดขึ้นเพียงแค่หนึ่งวัน แต่วันเวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการพาคณะทูตออกไปล่าสัตว์ ถือเป็นการสำแดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต้าเซี่ยระหว่างการเที่ยวเล่นพักผ่อนไปในตัว

ถึงตอนนั้นคนหนุ่มมากความสามารถของต้าเซี่ยก็จะไปรวมตัวบนภูเขาเพื่อเตรียมออกล่าสัตว์

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…เสด็จพี่ต้องคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าทูตพวกนั้นเกือบจะมีเรื่องกันเพราะสุราของเสี่ยวเป่าแล้ว”

พวกหนานกงหลีและหนานกงฉีโม่เดินเข้ามา

“เอ๋? เสี่ยวเป่ายังไม่ไปนอนอีกหรือ”

หนานกงสือเยวียน “อืม นางไม่ยอมปล่อยมือ”

แม้จะเอ่ยเสียงเรียบ แต่เหตุใดพวกเขารู้สึกว่าน้ำเสียงฟังดูโอ้อวดอย่างบอกไม่ถูก

หนานกงหลีรีบพุ่งตัวเข้าไปทันที “เสด็จพี่ทรงงานเถอะ ข้าจะอุ้มเสี่ยวเป่าให้เอง”

หนานกงสือเยวียน “ไปให้พ้น”

“ก็ได้”

หนานกงหลีที่เกือบจะได้สัมผัสเสี่ยวเป่าย่นคิ้วอย่างน่าสงสาร พลางหันหลังเดินไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วกลับไปยืนข้างพี่สี่อย่างสงบเสงี่ยมมิกล้าวุ่นวายอีก

หนานกงจ้านชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง

“ผู้ใดให้นางดื่มสุรา”

สายตาทุกคู่พุ่งไปที่องค์ชายสามอย่างพร้อมเพรียง

หนานกงฉีอวิ๋น “…”

เขาหดคอด้วยความหวาดหวั่น ปอยผมตั้งขึ้น จากนั้นก็ตอบเสียงแผ่ว “เสี่ยวเป่าแอบดื่มพ่ะย่ะค่ะ”

เขาไม่ได้เอาสุราให้นางดื่มจริง ๆ นะ QAQ

คนอื่น ๆ พยักหน้าตาม

หนานกงฉีโม่ “นางซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเพื่อจะแอบดื่มสุรา”

“จริงสิ เสด็จพี่ สุราพวกนั้น…”

“ไม่ขาย”

หนานกงหลีพูดยังไม่ทันจบ หนานกงสือเยวียนก็ปฏิเสธทันที

หนานกงหลี “…”

“เสด็จพี่ ท่านยังไม่รู้สินะว่าเสี่ยวเป่าซ่อนสุราที่นางหมักเองไว้อีกเยอะเลย”

หนานกงสือเยวียนทอดสายตามอง แม้ไม่ได้เปล่งเสียง แต่ดวงตาบอกความหมายชัดเจน

ว่าต่อสิ

หนานกงหลี: …เห็น ๆ อยู่ว่าเสด็จพี่มิได้ตรัสอันใด แล้วเหตุใดในหัวเขาถึงผุดคำนี้ขึ้นมาได้นะ

“เสี่ยวเป่าพูดตอนที่นางเมาว่าซ่อนไว้ในตำหนักหนิงหัว นางยังบอกด้วยว่ามีอีกเยอะเลย”

ท่านพ่อของใครบางคนก้มมองบุตรสาวที่หลับอยู่ในอ้อมแขน หึ ๆ เจ้าซ่อนสุรามากมายเพียงนั้นไว้ทำอันใด คิดจะเก็บไว้ดื่มเองอย่างนั้นหรือ!

“ข้าจะไปดูเสียหน่อย”

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงยกโขยงตามหลังหนานกงสือเยวียนไปยังตำหนักหนิงหัว

ตำหนักหนิงหัวมีพื้นที่เพียงเท่านี้ ย่อมไม่มีทางที่จะซ่อนสุรามากมายเอาไว้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหาเจอได้ไม่ยาก

ถังไม้ขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงเท่าครึ่งตัวคนจำนวนยี่สิบกว่าถังถูกวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็ลุกวาวเป็นประกาย

“เจ้าตัวดีมีสุราเยอะขนาดนี้เชียวหรือ!”

“เสี่ยวเป่าใช้ลูกพลับและองุ่นป่าหมดภูเขาเลยกระมัง!”

หนานกงฉีซิวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “ก็ใช่น่ะสิ พาคนตั้งมากไปนาหลวงมิรู้ตั้งกี่ครั้ง”

ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าลูกพลับและองุ่นป่าที่ขึ้นทิ้งร้างบนภูเขา จะถูกเสี่ยวเป่านำมาหมักเป็นสุราที่มีรสชาติหอมหวานเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้นพวกทูตยังแย่งกันซื้อสุราพวกนี้ในราคาที่สูงอีกด้วย

“เสด็จพี่ รอให้เสี่ยวเป่าตื่นแล้วพวกเราค่อยถามนางว่าจะยอมแบ่งสุราบางส่วนไปขายได้หรือไม่”

สุราพวกนี้เป็นของเสี่ยวเป่า แม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่ม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องถามความเห็นจากเจ้าตัวก่อน

“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้นางถึงถามพวกเราว่าขายสุราหาเงินได้หรือไม่ หากรู้อย่างนี้ ข้าคงไปขอสุราจากนางเสียตั้งนานแล้ว”

พูดไปพลางก็มองหน้าหนานกงสือเยวียนอย่างคาดหวัง “เสด็จพี่ สุราที่นี่เสี่ยวเป่าต้องตั้งใจซ่อนไว้ให้ท่านเป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้พวกเรามาดื่มสุราที่เหลือของท่านให้หนำใจกันเถอะ”

คนอื่น ๆ ใช้สายตาเป็นประกายมองเขาอย่างมีความหวังเช่นกัน

“ข้าดื่มได้หรือไม่?”

เสี่ยวปายกมือขึ้น

“ไม่ได้!”

หนานกงฉีจวิน “…”

รู้สึกราวกับตนเองถูกทอดทิ้ง อ้อ! จริงสิ เขายังมีพี่น้องร่วมชะตากรรมอีกสองคน

“พี่หก พี่เจ็ด พวกเราสามคนห้ามดื่ม!”

สองพี่น้องกลอกตาใส่หนานกงฉีจวิน

สุดท้ายหนานกงสือเยวียนก็ตอบตกลง เมื่อพวกเขากลับไปถึงก็จัดการเปิดผนึกสุราที่ยังเหลืออยู่ทันที

ขณะที่กำลังจะดื่ม ฝูไห่ก็เดินเข้ามา

“ฝ่าบาท เหล่าอำมาตย์ ท่านเจ้ากรม ท่านกั๋วกง ท่านโหว และท่านแม่ทัพ มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่จำเป็นต้องให้ฝูไห่บอกก็รู้ได้ว่าพวกเขามาเพราะเหตุผลใด

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนฉายแววบูดบึ้งเล็กน้อย

เขาใช้มือบีบคลึงสันจมูก “ให้พวกเขาเข้ามา”

จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างไม่รีรอ เมื่อเห็นจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าท่านอ๋องและเหล่าองค์ชาย กลิ่นหอมหวานอันเข้มข้นและคุ้นเคยก็ลอยมาแตะเข้าที่ปลายจมูก ดวงตาพลันเป็นประกายวิบวับราวกับหมาป่า

“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สุรานี้ แหะ ๆ ๆ…”

รอยยิ้มดูประจบประแจงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่าทางถูฝ่ามือนั่น

“พวกกระหม่อมมาได้จังหวะยิ่งนัก”

“องค์หญิงเจาเสวี่ยช่างใส่พระทัยฝ่าบาท ถึงขั้นคิดค้นสุราชั้นดีนี้ด้วยพระองค์เองเพื่อฉลองวันพระราชสมภพให้ฝ่าบาท พวกกระหม่อมดื่มไปเพียงสองจอก ทว่ารสชาติหอมหวานยังอบอวลในปากอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ประเด็นของเรื่องอยู่ตรงที่พูดว่าดื่มไปแค่สองจอกสินะ

บัดนี้ แม้แต่เซี่ยกั๋วกงผู้เฒ่าที่ค่อนข้างสุขุมเยือกเย็นถึงกับเอ่ยปาก

“ฝ่าบาท มิทราบว่าสุรานี้ยังมีอีกเท่าใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาออกนอกหน้าเพื่อสุราถึงเพียงนี้ มนุษย์เราเมื่อถึงยามแก่เฒ่า สิ่งที่ทำให้สำราญใจก็เหลือเพียงไม่กี่อย่าง

ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ เซี่ยกั๋วกงผู้เฒ่าชื่นชอบการดื่มสุราเป็นอย่างยิ่ง เขามักจะร่ำสุราและกับแกล้มอยู่ที่บ้านยามไม่มีอะไรทำ บางคราก็จะเรียกสหายเก่ามาร่วมดื่มจนกระทั่งเมาหัวราน้ำ

อันที่จริงคนในยุคสมัยนี้ ขุนนางชั้นสูงทั้งหลายล้วนแต่เป็นพวกชื่นชอบการดื่มชาและสุราทั้งสิ้น

สุราจึงถือว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาถึงมารวมตัวกันและเผชิญแรงกดดันของฝ่าบาท เพียงเพื่อจะได้ลิ้มรสสุราชั้นดีเพิ่มอีกหน่อย

บัดนี้หนานกงสือเยวียนรู้แล้วว่าเสี่ยวเป่ายังสุราซ่อนไว้อีกไม่น้อยจึงไม่ตระหนี่กับสุราแค่สี่ถัง เขาสั่งให้คนยกโต๊ะและเก้าอี้เข้ามา

เหล่าขุนนางเห็นท่าทีของฮ่องเต้ก็รู้ได้ในทันทีว่าคำขอเป็นผลสำเร็จ จึงดีอกดีใจกันเสียยกใหญ่

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

ทุกคนค่อย ๆ ลิ้มรสสุรา จากนั้นก็เริ่มกล่าวยกย่ององค์หญิงน้อยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เป็นครั้งที่สอง

พูดอีกอย่างก็คือพวกเขารู้แล้วว่าฝ่าบาทโปรดปรานสิ่งใดมากที่สุด

หากประจบสอพลอฝ่าบาท สิ่งที่ได้ก็มีเพียงความเย็นชาไร้การตอบรับใด ๆ แต่หากพวกเขาสรรเสริญเยินยอองค์หญิงน้อย ฝ่าบาทต้องดีพระทัยเป็นแน่แท้

แน่นอนว่าความดีพระทัยของฝ่าบาทมิใช่การแสดงออกทางสีหน้า แต่แสดงให้เห็นผ่านทางการกระทำ

“เหล้าลูกพลับถังนี้ เชิญพวกท่านดื่มได้เท่าที่ต้องการ”

เขาโปรดปรานเหล้าองุ่นมากกว่า จึงได้สั่งให้คนยกถังเหล้าลูกพลับออกมา

ทุกคนต่างดีใจจนออกนอกหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

แต่ว่าสุรานี้เข้มข้นกว่าที่พวกเขาเคยดื่มเป็นประจำ แม้พวกเขาจะตั้งใจเตรียมท้องมาเพื่อดื่มสุราโดยเฉพาะ แต่ดื่มไปเพียงไม่กี่จอก จากขุนนางบุคลิกงามสง่า กิริยามารยาทเรียบร้อยก็ค่อย ๆ ล้มพับลงกับโต๊ะไปทีละคนสองคน

หนานกงสือเยวียน: …อุจาดตานัก!

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท