ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 370 ผีดิบ

ตอนที่ 370 ผีดิบ

ซุนย่วนซื่ออธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดว่าเป็นความต้านทานต่อความใกล้ชิดผิดปกติแต่กำเนิด

 

 

นางเองได้เปิดหูเปิดตาแล้ว กลับมีโรคเช่นนี้อยู่ด้วย

 

 

จากคำพูดของซุนย่วนซื่อ คนที่มีอาการป่วยเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพราะว่าเคยผ่านประสบการณ์ที่หนักหนาในเรื่องความรู้สึกมาก่อน เมื่อไม่อาจคลี่คลายความเจ็บปวดในจิตใจได้ ร่างกายจึงเกิดปฏิกริยาปกป้องตนเองอย่างสูงขึ้นมาแทน

 

 

ตู๋กูซิงหลันลองคิดๆ ดู ดูเหมือนว่าตนเองไม่เคยมีความรักสักหน่อยนี่?

 

 

แล้วจะไปบาดเจ็บมาจากไหนกัน?

 

 

ดังนั้นคำพูดนี้ของซุนย่วนซื่อจึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร เขาเป็นหมอรักษาร่างกาย อยู่ๆ จะเปลี่ยนเป็นหมอจิตเวทได้อย่างไร?

 

 

“ไทเฮาไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยมากไป หากว่าใต้หล้านี้สามารถเจอคนที่รักท่านมากกว่าตัวของเขาเอง และยินดีอุทิศชีวิตของตนเองให้กับท่าน ไม่แน่ว่าอาการนี้ของท่านก็อาจจะหายขาดได้”

 

 

เรื่องการพูดไปเรื่อยเปื่อย ดูท่าซุนย่วนซื่อจะได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากฮ่องเต้จนหมดสิ้น

 

 

ต่อมาตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้สนใจว่าอาการเจ็บหัวใจนี้จะเป็นเรื่องสำคัญอะไรอีก

 

 

อยากเจ็บก็เจ็บไป แยกสมองกับหัวใจออกจากกันก็สิ้นเรื่อง

 

 

……………..

 

 

แคว้นต้าเหยียน ยามนี้มีดาราสุกสกาวเต็มท้องฟ้า

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูดาวเกลื่อนฟ้า สายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล

 

 

การกำราบแคว้นเหยียนล้วนเป็นไปโดยราบรื่น….คาดว่าอีกไม่ถึงสองเดือนเขาก็คงจะสามารถกลับไปได้แล้ว

 

 

เขาวาดแผนการอยู่ใจ

 

 

ทันใดนั้นก็ทรงได้ยินเสียงร้องโหยหวนมาจากกระโจมในค่าย

 

 

เสียงโหยหวนนั้นทำลายความสงบสุขทั้งหมดในค่ำคืนนี้ไปจนสิ้น

 

 

ตู๋กูจุนมาถึงข้างกายพระองค์เป็นคนแรก …..ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

 

ที่ด้านหลังยังมีเสียงกรีดร้องตะโกนอย่างน่าหวาดผวาออกมาอีก ทั้งยังรุนแรงอย่างโหยหวนกว่าเดิม

 

 

เหล่าแม่ทัพทั้งหมดต่างพากันมาเข้าเฝ้าที่เบื้องหน้ากระโจมของฝ่าบาท แต่ละคนมีสีหน้าหนักอึ้งและตื่นตัว

 

 

“ตรวจสอบให้ชัดเจน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเย็นชาและสงบนิ่ง

 

 

ทันทีที่ตรัสจบ ก็เห็นทหารนายหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับเลือดท่วมตัว ใบหน้าของเขาถูกกัดไปกว่าครึ่ง ลำคอเหวอะหวะเนื้อขาดหายไป

 

 

เขากุมลำคอของตนเองเอาไว้อย่างแน่นหนา สูดลมหายใจทูลด้วยความหวาดผวาว่า “ฝ่าบาท…..ฝ่าบาท…..มีศพคืนชีพ!”

 

 

พูดแล้ว ก็เห็นนายทหารผู้นั้นล้มลงไปบนพื้น คนเริ่มบิดเบี้ยวไปทั้งร่าง เพียงแค่ครู่เดียว เขาประคองร่างที่บิดเบี้ยวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า

 

 

เล็บที่แหลมคมของเขางอกยาวออกมา

 

 

ข้างกายของเขามีแม่ทัพผู้หนึ่งที่ไม่ทันได้ระวังตัว ถูกนายทหารผู้นั้นคว้าข้อเท้าเอาไว้ กัดกินอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา

 

 

ถึงแม้ว่าปฏิกริยาของแม่ทัพผู้นั้นจะรวดเร็ว แต่ก็ยังถูกเขากัดกินเนื้อไปแล้วคำใหญ่

 

 

แม่ทัพผู้นั้นได้รับความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องออกมา ก็สะบัดเท้าออกไปเตะนายทหารผู้นั้นกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร

 

 

“แม่งเอ้ย เล่นบ้าอะไร กัดคนได้เจ็บโคตร” แม่ทัพผู้นั้นมองดูข้อเท้าของตนเองที่ถูกกัดเนื้อออกไปคำโต เจ็บแผลนั้นก็แล้วไปเถอะ ที่สำคัญก็คือเจ็บใจเกินทน เขาสงสัยว่านั่นจะเป็นไส้ศึกที่ศัตรูส่งเข้ามา

 

 

เนื่องเพราะถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นบุรุษหนุ่มที่แข็งแรงบึกบึนผู้หนึ่ง แต่ถูกเขาถีบออกไปเช่นนี้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว

 

 

แต่นายทหารผู้นั้นกลับลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ด้วยร่างกายที่บิดเบี้ยวไปทั้งร่าง

 

 

ที่ด้านหลังของเขา ก็ปรากฏเหล่าทหารที่มีร่างกายบิดเบี้ยวเหมือนกับเขาขึ้นมามากมาย…..

 

 

พวกเขากางเล็บแยกเขี้ยว พุ่งเข้ามาอย่างคลุ้มคลั่งโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

ทั้งหมดบุกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ด้วยความรวดเร็ว!

 

 

“คุ้มครองฝ่าบาท!” เหล่าแม่ทัพและนายทหารต่างก็มิได้หวั่นเกรง แยกย้ายกันถือโล่ คุ้มครองจีเฉวียนเอาไว้ด้านหลัง

 

 

ตู๋กูจุนยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างที่สุด

 

 

ในสมองของเขาเกิดภาพที่เขาฆ่าราชบุตรเขยกับมือซ้อนทับขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

ศึกที่ริวกิวตอนนั้น ตระกูลตู๋กูต้องสูญเสียกองทัพไปนับหมื่น!

 

 

นี่เป็นเงามืดในใจที่เขาไม่อาจลืมได้ลงไปชั่วชีวิต

 

 

ยามนี้พอเห็นพวกมันพากันบุกเข้ามา ดาบใหญ่ของเขาก็โบยบินออกไปในทันที

 

 

“ฝ่าบาท พวกเราเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเข้าแล้ว” ตู๋กูจุนกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา “แคว้นเหยียนตระเตรียมจะใช้วิธีมัจฉาตายตาข่ายขาด [1] ”

 

 

จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง ด้วยสถานการณ์เบื้องหน้านี้ ต่อให้ตู๋กูจุนไม่ได้บอกอะไร พระองค์ก็พอจะเดาได้

 

 

การศึกที่เมืองริวกิว ในตอนนั้น พระองค์ก็ทรงทราบความเป็นไปอย่างถ่องแท้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นเดียวกันในแคว้นต้าเหยียน

 

 

“กองทัพของแคว้นเหยียนในยามนี้ไม่อาจต้านทานการบุกของพวกเราได้ ถึงได้ใช้ฝีมือต่ำช้าเช่นนี้ออกมา” ดวงตาของตู๋กูจุนปรากฏเส้นเลือดสีแดงกระจายขึ้นมา

 

 

เป็นศพคืนชีพนั่นก็แล้วไปเถอะ ตัวประหลาดพวกนั้นจะอย่างไรก็ยังมีความคิดเป็นของตนเอง ยังพอจะควบคุมได้

 

 

แต่ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็คือผีดิบ!

 

 

พวกมันปราศจากชีวิตและจิตใจ ทันทีที่ติดพิษแห่งความตายจากศพเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นผีดิบไปในทันที

 

 

หนึ่งแพร่ไปสิบ สิบกลายเป็นร้อย ร้อยกลายเป็นพัน เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด

 

 

พวกมันไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ทั้งสิ้น รู้จักแต่กัดคน กินคน ถึงแม้เป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ละเว้น

 

 

ตอนนั้นเขาต้องสูญเสียกองทัพตระกูลตู๋กูไป….เรียกว่าเกือบจะสิ้นกองทัพไปภายใต้พิษชนิดนี้

 

 

เขาคิดไม่ถึงว่าราชวงศ์ต้าเหยียน จะยอมเปลี่ยนแคว้นต้าเหยียนทั้งหมดเป็นนรก เพียงเพื่อลากพวกเขาลงไปด้วย

 

 

ตู๋กูจุนพึ่งพูดขาดคำ ก็เห็นว่าแม่ทัพที่เมื่อครู่ถูกกัดมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป หันไปตะครุบคนข้างตัวมากัดกินอย่างคลุ้มคลั่ง

 

 

ทันใดนั้น ทั่วทั้งกองทัพก็ตกอยู่ในความอลหม่าน

 

 

สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ผู้คนจำนวนมากตั้งตัวไม่ทัน พิษแห่งความตายแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งคืน กว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพก็ติดเชื้อกันไปหมดแล้ว

 

 

เหล่าทหารที่ติดเชื้อพากันบุกเข้าไปในเมืองจิงหวา พอพบเห็นผู้คนก็บุกเข้าไปกัดกินอย่างคลุ้มคลั่ง

 

 

เพียงแค่เวลาสั้นๆ คืนเดียว เมืองจิงหวาที่ใหญ่เป็นอันดับสามของแคว้นเหยียนก็กลายเป็นขุมนรกบนดิน

 

 

ความสิ้นหวังปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง

 

 

กองทัพต้าโจวที่หลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ถอนกำลังออกจากเมืองจิงหวาอย่างรวดเร็ว

 

 

น่าเสียดายว่าในกองกำลังของกองทัพที่ถอนออกมานั้นก็มีคนที่ถูกกัดอยู่ด้วย พิษนี้จึงไม่จบสิ้น เกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วขึ้นอีก

 

 

“ขอฝ่าบาททรงมีพระบัญชา ให้เผาเหล่าผู้ที่ติดเชื้อทิ้งให้หมด” ตู๋กูจุนคือแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์จากศึกเมืองริวกิวมาแล้ว ตอนนั้นเขาก็ใช้วิธีเผาเหล่าผู้ติดเชื้อทั้งหมดในครั้งเดียว…..จึงสามารถรักษาขุมกำลังสุดท้ายเอาไว้ได้

 

 

ฮ่องเต้มิทรงแสดงสีพระพักตร์ใดๆ ใครเลยจะคิดว่าเมืองจิงหวาที่เมื่อวานยังคงรุ่งเรืองอยู่แท้ๆ จะแปรเปลี่ยนเป็นนรกไปในคืนเดียว

 

 

ตอนที่พวกเขาถอยทัพออกมานั้นก็ได้ปิดประตูเมืองเอาไว้ด้วย ผีดิบเหล่านั้นจึงออกมาไม่ได้

 

 

บนกำแพงเมืองมีทหารที่กลายเป็นผีดิบอยู่มากมาย ล้วนเป็นเหล่าทหารที่พวกเขานำพามาจากเมืองหลวง

 

 

จีเฉวียนกำหมัดแนบแน่น สายพระเนตรทอประกายสังหารออกมาอย่างลึกล้ำ

 

 

พระองค์ทรงนำพวกเขามา แต่ว่ากลับไม่อาจพากลับไป…..พวกเขาล้วนเป็นสามี เป็นบุตร เป็นที่พึ่งหลักของครอบครัว

 

 

เพื่อเส้นทางการเป็นจักรพรรดิของเขา ทั้งหมดล้วนต้องเสียสละอยู่ที่นี่

 

 

“ขอฝ่าบาททรงมีพระบัญชาโดยเร็ว!” ตู๋กูจุนกวาดดาบยักษ์ในมือ ตวัดเข้าใส่เหล่าคนที่ติดเชื้อไปแล้ว

 

 

เขาเข้าใจความรู้สึกในพระทัยของจีเฉวียนเป็นอย่างดี ตอนนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับกองทัพตระกูลตู๋กู…..เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

 

 

ต่างก็เป็นเหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน …… แล้วจะให้ลงมือไปได้อย่างไร?

 

 

“หากฝ่าบาทยังทรงลังเล ก็จะต้องมีคนตายอีกจำนวนมาก” ตู๋กูจุนแทบจะอยากออกคำสั่งแทนเขาอยู่แล้ว

 

 

พอหันหน้ากลับไปก็เห็นว่ามีกองทัพผีดิบพุ่งเข้ามาหาจีเฉวียน

 

 

 

 

…………………….

 

 

[1] 鱼死网破: ต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย​​​​​​​

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Status: Ongoing

ตู๋กูซิงหลัน ปรมาจารย์ไสยศาสตร์ลับผู้เลอโฉมแห่งต้าโจวต้องกลายเป็นไทเฮาแม่ม่ายด้วยวัยเพียงสิบห้าปี และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยข้อหา ‘งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยตาย’ ด้วยเหตุนี้นางจึงตกเป็นที่รังเกียจของ จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ใหม่และเหล่าสนมทั้งสามพันนางของเขา ขณะกำลังคิดหาหนทางประจบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อให้ชีวิตของนางได้อยู่สุขสบายขึ้นมาบ้าง บรรดาลูกสะใภ้ที่หวั่นใจกลัวว่าแม่เลี้ยงสาวจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนข้างหมอนก็พากันตบเท้าเข้ามาหาเรื่องนางมิขาดสาย ไหนจะอดีตคนรักอย่าง จีเย่ว์ ที่มาขอคืนดีด้วยอีก คราวนี้ตู๋กูซิงหลันจึงต้องรับศึกหนักทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งยังต้องหาทางฟื้นพลังเพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตไปด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางปีนออกนอกกำแพงวังได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท