ตอนที่ 5 ผิดปกติ
บางทีเมื่อก่อนเวลาอ่านผลงานวรรณกรรมบางเล่ม คนมากมายล้วนอยากสวมบทตัวละครหลักในเรื่อง และมุ่งหวังว่าตนจะเจอเรื่องอัศจรรย์อะไรบ้าง จี้หยวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่ตอนนี้จี้หยวนกลับค่อนข้างเหมือนเย่กงหลงมังกร[1] เขารู้สึกกระสับกระส่าย กระวนกระวายอย่างยิ่ง
เมื่อมองเห็นทุกอย่างภายในผลงานวรรณกรรมหรือภาพยนตร์บางเรื่องด้วยมุมมองเหมือนยืนบนสวรรค์ ย่อมรู้สึกเปี่ยมความท้าทายและสนุกสนาน แต่พอเปลี่ยนสถานะมาเป็นความจริง ความคิดแรกของจี้หยวนไม่ใช่ความสะใจหรือรู้สึกว่าตนโชคดี สิ่งที่อัดแน่นอยู่เต็มสมองคือเรื่องไม่อาจระบุและความอันตรายทุกอย่าง โรคภัยพิบัติ ธรรมชาติ เคราะห์มนุษย์ โชคร้ายอะไรล้วนรวมอยู่ในนั้น…
นี่อาจเป็นโลกที่กฎหมายและการรักษาล้าหลังแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ความประหม่าและตื่นตระหนกที่ตามมาจึงเด่นชัดจนทำให้จี้หยวนจิตใจปั่นป่วน
มาถึงโลกซึ่งไม่รู้จักแห่งหนึ่ง ถึงขั้นว่าอาจเจอภัยคุกคามกว่าปกติอยู่บ้าง สัตว์ร้ายยังถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปีศาจกลับน่าตกใจเกินไปแล้ว…
หลังผ่านประสบการณ์ชมหมากไม่กี่นาทีแล้วพาตนข้ามมิติเกือบเดือน จี้หยวนไม่คิดว่าโลกที่ตนข้ามมิติมาจะไม่มีภูตผีปีศาจอยู่จริง
สิ่งที่แย่กว่าคือตอนนี้จี้หยวนเป็นคนไร้ประโยชน์ชัดๆ อย่างน้อยปัจจุบันก็เป็นแบบนี้ สภาพร่างกายสู้ไม่ได้แม้แต่คนทั่วไป ไม่มีแรงป้องกันตัวเองสักนิด ถ้ามีหนูมาตัวหนึ่งคงกัดตนตายได้ด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่ทำให้จี้หยวนปลอบใจตัวเองได้หน่อยคือ แม้ว่าทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาไม่อาจขยับเขยื้อน แต่ความรู้สึกทั่วร่างยังอยู่ ใช่ว่าร่างกายไม่อาจขยับจนบางส่วนไม่มีความรู้สึก ดังนั้นตนคงไม่ได้เป็นอัมพาต
ตอนนี้จี้หยวนลนลานอย่างมาก คนแปลกหน้าพวกนี้ดูจิตใจไม่แย่ ไม่รู้ว่าจะพาตนจากไปด้วยหรือไม่ หาหมอของที่นี่มาช่วยตรวจตนที!
หากปล่อยจี้หยวนอยู่ในป่าลึกกลางหุบเขาลำพัง อย่าว่าแต่สภาพขยับไม่ได้ ต่อให้ร่างกายแข็งแรงเปี่ยมพลังก็ไม่กล้า
ที่นี่ไม่ใช่ประเทศจีนปีสองพันสิบเก้า สัตว์อันตรายกลางป่าย่อมมีมากมาย กอปรกับการเจอกระดานหมากแบบไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจมาถึงโลกที่มีปีศาจจริงๆ
ความจริงไม่มีทางเป็นแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ปีศาจยิ่งไม่มีทางน่ารักน่าชัง ปีศาจส่วนใหญ่ภายในนิทานดั้งเดิมต่างก็กินคนเป็นหลัก
หากไม่ใช่ว่าขยับตัวไม่ได้จริงๆ จี้หยวนต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือแน่
…
จางซื่อหลินป้อนน้ำอุ่นให้ขอทานตรงหน้าจนหมดชามแล้ว แม้เห็นว่ามุมปากของเขากระตุกเป็นพักๆ แต่ความจริงยังหมดสติไม่ฟื้น เขาได้แต่ส่ายหัววางขอทานลงเบาๆ จากนั้นค่อยกลับไปอยู่ข้างเพื่อนร่วมทาง
“พี่ซื่อหลิน ทำอย่างไรกับขอทานคนนั้นดี ตอนลงเขาจะพาเขาไปด้วยหรือไม่”
จางซื่อหลินถอนใจส่ายหัว
“เขาอ่อนแอมาก คาดว่าอยู่ได้ไม่นาน คงยากจะรับไหว…”
จางซื่อหลินพูดถึงตรงนี้แล้วไม่กล่าวต่อ ความหมายของสิ่งที่พูดทุกคนล้วนเข้าใจ
ตึกตัก!
ด้านหลังรูปปั้นเทพที่ห่างไปไม่ไกล ในใจจี้หยวนหนาวเยือกไปครึ่งหนึ่ง!
ฝนยังตกไม่หยุด พวกพ่อค้าเร่พูดคุยพักผ่อน ความจริงประเด็นสนทนาไม่ต่างจากกลุ่มเพื่อนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคุยกันนัก ไม่มีอะไรนอกจากนินทาเรื่องแปลก ผู้หญิงที่ไหนสวย สลับเรื่องชวนหัวหยาบโลนเล็กน้อย
แน่นอนว่าจากเนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกัน จี้หยวนพอฟังออกว่าคนกลุ่มนี้ทำอะไร แม้ว่าไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่พ่อค้าเร่นี้ดูคล้ายพ่อค้าหาบเร่ในภาพจำตอนเด็กทั้งต่างกัน เป็นพวกเดินเท้าขนสินค้าทางไกลเพื่อหาเงิน
จี้หยวนฟังอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจด้วยสภาวะจิตเศร้ารันทดอย่างหนึ่ง ฟังเสียงโลกนอกอารามเทพภูเขาผ่านการกระทบของน้ำฝน การทำเช่นนี้ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้
คนพวกนี้เรียกตนว่าขอทาน แสดงว่าจิตวิญญาณของตนมาอยู่ในร่างขอทานคนหนึ่งบนโลกนี้ใช่ไหม
เช่นนั้นตนที่ถูกทีมช่วยเหลือเจอบนเขาหัวโคเล่า ตายแล้วใช่หรือไม่
ก็ถูก ไม่กินไม่ดื่มมาเกือบเดือน น่าจะตายแล้วกระมัง…
พ่อแม่รู้ข่าวแล้วคงเสียใจมากกระมัง คุณปู่คุณย่าอายุมากขนาดนั้น ถ้ารู้เรื่องเข้า…
จี้หยวนคิดเรื่อยเปื่อย บนหน้าสกปรกมอมแมม ตรงหางตามีน้ำตาสองสายไหลออกมา
ก็ไม่รู้ว่าเพราะนิ่งจนไม่เผาผลาญอะไรหรือไม่ จี้หยวนไม่มีความรู้สึกหิวโหยชัดเจนอะไร
ไม่แน่ใจว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ ฝนด้านนอกซาลงแล้ว นี่ทำให้ในใจจี้หยวนสะดุดกึกทันที เขายังจำได้ว่าพวกพ่อค้าเร่คิดจากไปหลังฝนหยุดทันที
“พี่ซื่อหลิน ดูเหมือนว่าฝนจะหยุดแล้ว!”
นี่คือเสียงของชายหนุ่มนามหวังตงคนนั้น
“ใช่ แต่ฟ้าใกล้มืดแล้ว เดินทางกลางคืนในป่าหลังฝนอันตรายเกินไป คืนนี้ทุกคนค้างแรมภายในอารามเทพภูเขาเถอะ”
เสียงของจางซื่อหลินดังตามมา
ในใจจี้หยวนอึ้งงันเล็กน้อย ที่แท้ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว เวลานี้เขากลับยินดีอยู่บ้าง โชคดีที่ฝนหยุดช้ามากพอ อย่างน้อยคืนนี้คนพวกนี้ก็ไม่ทิ้งตนแล้วจากไป
หลังฝนหยุดมีพ่อค้าเร่ออกไปรวบรวมฟืนหมาดบางส่วนใกล้อารามเทพภูเขากลับมา วางผึ่งข้างกองไฟ รับรองว่ากลางดึกจะมีฟืนพอเผา
ส่วนจี้หยวนเหมือนถูกทุกคนลืมเลือน หลังตกดึกก็ไม่มีใครมาดูอาการเขาอีก
ความจริงเขาเฝ้ารอจางซื่อหลินหรือใครมาเปลี่ยนผ้าประคบหน้าผากให้ตน มาช่วยป้อนน้ำตนหน่อย ใช่ว่าตนต้องการเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่การทำเช่นนี้อาจแสดงให้เห็นว่าพวกพ่อค้าเร่จะไม่ทิ้งเขาไว้
แต่ความจริงโหดร้ายอยู่บ้าง ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร เขาเป็นแค่ขอทานป่วยที่ดูเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเท่านั้น
หากอยู่บ้านเกิดช่วงศตวรรษยี่สิบเอ็ด ตนคงถูกช่วยนานแล้วกระมัง จี้หยวนไม่ได้คิดแบบนี้แค่ครั้งเดียว
“โอ๊ะ วัดร้างกลางป่ามีคนมากขนาดนี้เชียว คราวนี้ข้าไม่ต้องกลัวแล้ว!”
เสียงแปลกใหม่เจือความยินดีหนึ่งดังตรงประตูอารามกะทันหัน ทำให้พวกจางซื่อหลินหันมองประตู พ่อค้าเร่บางคนลุกขึ้นมา
ตรงประตูมีคนสวมชุดคลุมยาวท่าทางราวบัณฑิต เมื่อเห็นคนในอารามเขาดูเหมือนดีใจมาก
“เจอพวกท่านแล้วดียิ่งนัก! กลางวันข้าเข้าป่ามาเดินเล่นกับสหายแล้วพลัดหลง ผลคือหลงทางกลางป่า โชคไม่ดียังมีฝนตกหนัก จำต้องหาสถานที่หลบฝน เมื่อฝนหยุดฟ้ากลับมืดแล้ว ภายในใจไม่ต้องพูดถึงว่ากลัวมากแค่ไหน ยังดีที่เห็นแสงไฟทางนี้เข้า!”
ผู้มาเยือนพูดพลางเดินเข้ามาข้างใน
“แม้ว่าพวกท่านเป็นโจรภูเขา ต่อให้ข้าสูญทรัพย์บางส่วนก็หวังว่ายามลงเขาพวกท่านจะพาข้าไปด้วย ข้าไม่กล้าอยู่บนเขาคนเดียว!”
เมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งประหม่าและยินดีของผู้มาเยือน พวกจางซื่อหลินยิ้มพลางเป่าปากโล่งอกเช่นกัน เป็นบัณฑิตผู้โชคร้ายคนหนึ่ง
“เข้ามาผิงไฟเถอะ พวกเราไม่ใช่โจรภูเขา!”
“ฮ่าๆๆๆ บัณฑิตอย่างพวกเจ้าผ่อนคลายด้วยการวิ่งมาท่องกลางป่า! ยังมีเกียรติติดตัวอยู่หรือไม่”
“ไม่เลยๆ… ทุกท่านเห็นเรื่องตลกเสียแล้ว…”
บัณฑิตออกจะสำรวมระวังแต่ท่าทางสงบใจจนใครต่างมองออก พวกพ่อค้าเร่เห็นแล้วขบขันเช่นกัน
ทั้งอารามเทพภูเขามีเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าผิดปกติ
สันหลังจี้หยวนเย็นวาบขนหัวลุกเกรียว ทั้งตัวขนลุกชันขึ้นมาพร้อมกัน
กระทั่งพวกจางซื่อหลินพูดคุยกับบัณฑิต จี้หยวนจึงพบว่าในอารามเทพภูเขามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่ง
เมื่อครู่เขากลับไม่รู้ว่าบัณฑิตคนนี้มาถึงอารามเทพภูเขาอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบัณฑิตแม้แต่น้อย! บัณฑิตคนนี้มีปัญหา!
[1]เย่กงหลงมังกร หมายถึง ปากบอกชอบแต่กลับกลัว นานมาแล้วมีชายนามเย่กง ชอบมังกรมากจนของประดับทั้งบ้านตกแต่งด้วยลายมังกร วันหนึ่งมังกรตัวจริงทราบเรื่องจึงมาเยี่ยมเยือน เมื่อเย่กงเห็นมังกรตัวจริงแล้วกลับวิ่งเตลิด จึงเป็นที่มาของสำนวนนี้