ตอนที่ 8 ช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย
ยามจี้หยวนอยู่ในความรู้สึกมึนงงและหมดแรงจากการนั่งขึ้นมา นอกอารามพลันมีเสียงดังมาแต่ไกล
“พี่ซื่อหลิน พี่ซื่อหลิน!”
คนในอารามตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เป็นเสี่ยวตง! เสี่ยวตงกลับมาแล้ว!”
ไม่นานเงาร่างหวังตงวิ่งก็เข้ามาในอารามเทพภูเขาจากข้างนอกดังคาด ถูกพวกจางซื่อหลินที่หน้าตาตึงเครียดล้อมกรอบทันที
“เสี่ยวตง เหตุใดมีเจ้าคนเดียว พวกพี่จินไม่เป็นไรกระมัง บัณฑิตคนนั้นเล่า เสียงคำรามของเสือเมื่อครู่พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่”
จางซื่อหลินรัวคำถามออกมาติดต่อกัน รีบร้อนอยากได้คำตอบจากปากหวังตง
หวังตงแค่ทำท่าหอบหายใจหนัก สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง ไม่รับถ้วยน้ำที่คนด้านข้างส่งมาให้ มองจางซื่อหลินวูบหนึ่งแล้วหลบสายตา ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนเริ่มตอบคำถาม
“พวกพี่จินกับบัณฑิตลู่อยู่ด้วยกัน เรื่องขุดโสมราชันภูเขาราบรื่นมาก แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร โธ่เอ๊ย เสี่ยวตงปกติเจ้าพูดเก่งที่สุดไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงอ้ำๆ อึ้งๆ!”
“อย่าขัดจังหวะ!”
จางซื่อหลินตวาดคราหนึ่ง มองหวังตงซึ่งสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
“เสี่ยวตงเจ้าพูดต่อสิ”
“อืม โสมราชันภูเขาอยู่บนทางลาดแห่งหนึ่ง พวกเราเพิ่งขุดโสมราชันภูเขาออกมา ผลคือได้ยินเสียงเสือคำรามอยู่ห่างไกล น่ากลัวเกินไปแล้ว ผลคือพี่จินกับบัณฑิตลู่รวมถึงหลิวฉวนจึงถูกทำให้ตกใจด้วยเหตุนี้ เท้ายืนไม่มั่นกระทั่งลื่นตกลงไป!”
เมื่อฟังหวังตงซึ่งค่อนก้มหน้าพูดเช่นนี้ พวกจางซื่อหลินร้อนรนมาก
“อะไรนะ ลื่นตกลงไปหรือ”
“พี่จินกับหลิวฉวนเป็นอย่างไรบ้าง”
“สูงหรือไม่”
“เสี่ยวตงเจ้าพูดสิ!”
จางซื่อหลินร้อนรนแล้ว จับแขนหวังตงแล้วถามเขา
การสั่นคลอนนี้เหมือนปลุกหวังตงให้ได้สติ พูดจาแคล่วคล่องขึ้นมาหน่อย
“ทางลาดนั้นไม่สูง ทั้งไม่ถือว่าชันนัก พวกพี่จินไม่เป็นไรมาก แค่เท้าแพลงอย่างหนัก พี่จินให้ข้ากลับมาตามคนสองสามคนไปช่วย แบกพวกเขากลับมาด้วยกัน หลี่กุ้ยคอยดูแลพวกเขาอยู่ตรงนั้น”
“เช่นนั้นยังรออะไรเล่า พวกเรารีบไปเร็ว!”
“ใช่ๆๆ!”
“นับรวมข้าด้วยคน!”
ในเมื่อไม่เจอเสือทุกคนก็สงบใจลงไม่น้อย พากันแสดงออกว่าต้องการไปช่วยเหลือ
จางซื่อหลินก็เช่นกัน
“ครั้งนี้ข้าจะพาเสี่ยวตู้และอาฮว่ากลับไปช่วยพร้อมเสี่ยวตง คนอื่นคอยเฝ้าของอยู่ในอารามเทพภูเขา”
ขณะกล่าวจางซื่อหลินกับคนข้างกายหยิบคบเพลิงสองสามอันออกมาแล้วจุดไฟ
จี้หยวนมือเท้าเย็นเยียบ ความหนาวเหน็บแล่นปราดถึงหนังหัวเป็นระลอก
เขาจำเสียงพ่อค้าเร่หนุ่มคนนี้ได้ แต่นอกจากเสียงพูดเขาแล้ว จี้หยวนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้ายามเขามาเลย
ทั้งตอนจี้หยวนใช้นัยน์ตาเทาอ่อนของตนมองไปทางนั้น ในทัศนวิสัยรางเลือนหวังตงมีสองร่างซ้อนกัน ร่างหนึ่งปกติมาก แต่คอของอีกร่างกลับหักเบี้ยวอยู่ด้านข้างอย่างน่าประหลาด ทั้งยังกระตุกเป็นพักๆ
ภาพนี้ทำให้จี้หยวนขนลุกชันจนเอาไม่ลง
พวกจางซื่อหลินที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด
นี่มันไม่ใช่คนแล้ว!
หวนนึกถึงเสียงเสือคำรามก่อนหน้านี้ จี้หยวนพลันเข้าใจอะไรได้
แน่นอนว่าเขากลัวแทบตาย แต่เมื่อได้ยินว่าจางซื่อหลินคิดจะพาคนตามผีชาง[1]ตนนี้ออกไปพร้อมกัน ในใจก็ร้อนรนทั้งไม่สนอะไรแล้ว นอกจากไม่อยากให้จางซื่อหลินตาย เขายังรู้สึกว่าหากในอารามเหลือแค่ห้าคนก็อันตรายแล้ว
ฝ่ายพวกจางซื่อหลินจุดคบเพลิงเสร็จก็เร่งรีบจะวิ่งออกไปข้างนอก
“ไปๆๆ เสี่ยวตงเจ้ามานำทางข้างหน้า พวกเรา…”
“ช้าก่อน!”
จู่ๆ เสียงที่ไม่คุ้นเคยสายหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง มองตามหาเสียงอย่างประหม่าจึงพบว่าเป็นขอทานคนนั้น ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ข้างรูปปั้นเทพภูเขาเมื่อไหร่ พิงรูปปั้นเทพมองมาทางประตูอาราม
ตอนนี้เสียงของจี้หยวนกลับต่างจากสภาพร่างกาย เสียงดังฟังชัด ทั้งเรียบง่ายทรงพลัง
“จางซื่อหลิน หวังตงมีปัญหา พวกเจ้าอย่าตามเขาไป!”
ในสายตาจี้หยวนเสียงของตนทำให้หวังตงหันหน้ามาอย่างแข็งทื่อ กระตุ้นจนหลังหัวจี้หยวนชาไปหมด
“ขอทานนั่น เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร พี่ซื่อหลิน พวกเรารีบไปเถอะ พวกพี่จินยังรออยู่!”
“อืม ได้”
เชื่อพวกพ้องของตนหรือเชื่อขอทานเน่าคนหนึ่งนั้นไม่ต้องคิดมาก จางซื่อหลินก้าวเท้าข้างหนึ่งออกนอกประตูอารามแล้ว
“หยุด!! หวังตงตายแล้ว!”
เสียงคำรามนี้ทำให้พวกจางซื่อหลินหยุดทันที มองไปทางหวังตงตามจิตใต้สำนึก ฝ่ายหลังยืนมองพวกเขาอยู่นอกอาราม เงามืดแห่งรัตติกาลมืดมิดปกคลุมใบหน้าของเขา
“พี่ซื่อหลิน รีบไปเถอะ พวกพี่จินรอพวกเราอยู่ อย่าฟังขอทานเน่าคนนี้พูดเพ้อเจ้อ ข้ายังอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
หวังตงเดินเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง แสงไฟของคบเพลิงสาดส่องใบหน้าเขาครึ่งหนึ่ง เห็นรอยยิ้มซึ่งพยายามแสยะภายใต้ผิวซีดเผือด…
ไม่เนียนเลย ผิดปกติมาก!
พ่อค้าเร่ทุกคนพลันรู้สึกหนาวเยือก พวกคนที่อยากออกไปหดเท้ากลับมาโดยไม่รู้ตัว
จางซื่อหลินกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง มองหวังตงทั้งมองขอทาน
“เสี่ยวตง เจ้า เจ้าไม่เป็นไรจริงหรือ”
แต่หวังตงยังไม่พูด จี้หยวนที่นั่งอยู่ในอารามกล่าวเสียงเย็นทันที
“ช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย ช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย หวังตงเป็นผีชางตนหนึ่งแล้ว เหมือนบัณฑิตลู่คนก่อนหน้านี้ เตรียมพาพวกเจ้าไปให้เสือร้ายกิน!! ถ้าพวกเจ้าตามเขาไปก็กลับมาไม่ได้แล้ว!”
“ผีชาง!”
พวกจางซื่อหลินถูกทำให้ตกใจจนถอยหลังติดกันหลายก้าว หวนนึกถึงเสียงเสือคำรามก่อนหน้านี้ พร้อมความผิดปกติบางอย่างของหวังตงหลังกลับมา พ่อค้าเร่พากันขนพองสยองเกล้า
“พี่ซื่อหลิน อย่าเชื่อเขานะ พวกพี่จินยังรออยู่เลย”
หวังตงก้าวมาทางประตูอาราม แต่เสียงกลับไม่มีคลื่นความรู้สึกอะไร
“เสี่ยวตง เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามา!”
จางซื่อหลินถือคบเพลิงไว้หน้าตัว หวังตงหยุดฝีเท้าแล้ว
เขามองผู้คนตรงประตูอาราม ผู้คนตรงประตูอารามจ้องเขาเขม็งเช่นกัน หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ภาพต่อมาทำให้ทุกคนตกใจจนเกือบหายใจไม่ออก เห็นแค่หวังตงดูเลือนรางกะทันหัน เพียงชั่วลมหายใจก็กลายเป็นกลุ่มควันลอยออกไปนอกอาราม
เคร้ง…
มีดพร้าเล่มหนึ่งตกลงบนพื้น มีพ่อค้าเร่สองคนตกใจจนทรุด
“ผี ผีโว้ย!”
“อ๊าก!”
“แม่เจ้าโว้ย!”
“เข้าอาราม! เข้าอาราม!”
“ใช่ๆๆ รีบเข้าอาราม สวรรค์! สวรรค์!”
พ่อค้าเร่อีกแปดคนแตกตื่นหนีกลับเข้าอารามเทพภูเขากันกระเจิง ทั้งหมดล้วนเข้าใกล้รูปปั้นเทพภูเขากับขอทานตามสัญชาตญาณ
ลมหายใจจางซื่อหลินยังปั่นป่วนอยู่บ้าง มองยามราตรีมืดมิดนอกอารามทั้งมองจี้หยวน
“ผะ ผู้สูงส่งท่านนี้ ท่าน…”
ไม่รอให้จางซื่อหลินพูดจบ จี้หยวนยกมือห้ามเขา สีหน้าจี้หยวนตอนนี้ไม่ดีนัก ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย เพียงแค่สภาพแวดล้อมมืดสลัวคนด้านข้างจึงเห็นไม่ถนัด
ซ่าๆๆ… ซ่าๆๆ…
ลมเปลี่ยนเป็นแรงขึ้นเล็กน้อย ต้นไม้ใบหญ้ากลางป่าส่ายไหว
ในหูพลันมีเสียงฝีเท้ามั่นคงทรงพลังไม่ธรรมดาดังมาแต่ไกล เสียงสัตว์ป่าชนิดหนึ่งแยกเขี้ยวขู่เสียงต่ำดังมาจากนอกอาราม บ้างสลับกับเสียงคำรามต่ำลึก
จี้หยวนกลืนน้ำลายดังอึก จ้องมองนอกอารามอย่างตึงเครียด เวลาแค่ไม่กี่วินาทีนี้ทำเอาหลังเปียกชุ่ม
“หยุดพูด… มันมาแล้ว…”
[1]ผีชาง หมายถึง วิญญาณของผู้ถูกเสือกัดตาย กลายเป็นผู้รับใช้เสือช่วยหาเหยื่อรายต่อไป