ตอนที่ 9 ต่างคนต่างอยู่
มัน?
พวกพ่อค้าเร่อึ้งงันก่อน จากนั้นสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไร้เลือดฝาด ทุกคนรู้แล้วว่า ‘มัน’ คืออะไร
จี้หยวนกลัวมากเช่นกัน ความจริงเขากลัวยิ่งกว่าพ่อค้าเร่พวกนี้อีก กลัวจนแม้แต่ลมหายใจยังสะเทือน แต่อย่างน้อยภายนอกเขายังถือว่านิ่งสงบ ดูแล้วยังดีกว่าพ่อค้าเร่พวกนี้มาก
เสียงยามกรงเล็บทั้งสี่กับสองเท้าเดินบนพื้นดินต่างกันชัดเจน จี้หยวนหลับตาซึ่งแห้งปวดลงนานแล้ว ตอนนี้เขาจดจ่อกับการรับรู้ทางเสียงมากขึ้น
เสียงแผ่วเบาแต่กลับมีความหนักแน่น คล้ายเนื้อแนบดินกับกิ่งใบร่วงหล่น เท้าทั้งสี่สลับกันย่ำลงพื้นเหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน
ไม่รู้ว่าเมื่อครู่จี้หยวนคิดไปเองหรือไม่ เสียงลมกับเสียงต้นไม้ส่ายสั่นโดยรอบล้วนแรงกว่าเมื่อครู่อยู่บ้าง ฝูงนกกลางป่าล้วนไม่ร้องอีก ราวถูกทำให้ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง
ใช่เสือหรือไม่ หรือเป็นภูตเสือ
เสื้อเก่าขาดของจี้หยวนชุ่มเหงื่อแล้ว เมื่อเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ นานเข้าจี้หยวนยิ่งสงสัยว่าคนในอารามแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร
คนอื่นในอารามเทพภูเขาล้วนไม่กล้าแม้แต่หายใจ กุมอาวุธในมือแน่นหลบหลังกองไฟมองนอกอาราม
แม้ว่าพวกเขาไม่มีการรับรู้ทางเสียงอย่างฉับไวเหมือนจี้หยวน แต่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสายลม ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบส่ายสั่นไร้ทิศทางไม่หยุด
บรรยากาศกดดันจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก บนหน้าพ่อค้าเร่ทุกคนเปี่ยมหยาดเหงื่อเล็กๆ
โฮก…
เสียงเสือคำรามดุดันดังขึ้นนอกอาราม โดยรอบป่าตื่นนกถลาชั่วพริบตา เหล่านกมากมายร้องตกใจพลางกระพือปีกบินจากไป
แน่นอนว่าคนภายในอารามยิ่งถูกทำให้ตกใจกว่า คนมากมายรู้สึกแข้งขาอ่อนไปหมด
ถึงตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าพวกพี่จินยังโชคดีรอดชีวิตแล้ว
ในใจจี้หยวนอลหม่านเกินทน ไม่ว่าจะเป็นผีชางก่อนหน้านี้หรือเสียงตอนนี้ ล้วนพิสูจน์ว่าข้างนอกไม่ใช่เสือธรรมดาแน่แล้ว
พวกไก่อ่อนด้านข้างบวกกับสวะตาบอดครึ่งหนึ่งซึ่งกลัวแทบตายอย่างตน อย่าว่าแต่เสือร้ายที่เป็นภูต ต่อให้เสือธรรมดามาก็คาดว่าต้องคุกเข่ากันหมด
แต่ยังไม่รอให้จี้หยวนด่าว่าฟ้าดินในใจ ความคิดพลันถูกขัดจังหวะ
“ข้ากับเจ้าต่างคนต่างอยู่ ทั้งไม่เหยียบเข้าอารามเทพภูเขา เหตุใดเจ้าต้องช่วยพวกเขา”
เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นหนึ่งผสานเสียงคำรามแผ่วต่ำของเสือร้ายดังมาจากข้างนอก
หัวใจจี้หยวนพลันกระตุกวูบ แม่งเป็นภูตเสือจริงด้วย!
แต่จี้หยวนกลับตอบสนองทันที ข้อมูลในคำพูดทำให้ความคิดเขาดุจอสนีบาต ใคร่ครวญด้วยความเร็วที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในเวลาอันสั้นแค่ไม่กี่ลมหายใจก็คิดความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน
พวกพ่อค้าเร่ตื่นตระหนกแล้วมองขอทานข้างกายโดยไม่รู้ตัว
‘แม่งดันมาแดนผีสิงเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องตาย ไม่สู้เดิมพันสักตั้ง!’
จี้หยวนกัดฟัน เปลี่ยนความหวั่นหวาดและท่าทางต้อยต่ำก่อนหน้านี้ เปล่งเสียงเปี่ยมกำลังถึงขีดสุด
“ด้วยเจ้ากับข้าต่างคนต่างอยู่ ยามผีบัณฑิตนั่นมาข้าไม่สนใจ แต่จางซื่อหลินคนนี้จิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ข้าดื่มน้ำร้อนเขาชามหนึ่ง ถือว่ารับบุญคุณเล็กน้อยจากเขา ไม่มีทางปล่อยเขาไปตายเช่นนี้”
เมื่อเอ่ยคำพวกนี้จบในคราวเดียว จี้หยวนใจเต้นเร็วจนเหมือนปืนกลไกค้าง เต้นตึกตักจนข่มไม่อยู่
ด้านนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จี้หยวนรู้สึกว่าอีกสักพักหัวใจตนคงกระโดดออกมาจากลำคอแล้ว
ดูเหมือนมีปัญหาอะไรจนต้องใคร่ครวญอยู่นาน เสียงหนักแน่นเจือเสียงแยกเขี้ยวด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง แต่คำพูดที่รอกลับไม่เกี่ยวกับการกินคน
“แม้ข้าไม่เคยพบหน้าเจ้า แต่รู้ว่าหนึ่งเดือนมานี้เจ้าเปี่ยมไอมรณะ เหตุใดตอนนี้กลับมีพลังชีวิตเปี่ยมล้น”
จี้หยวนผ่อนลมหายใจเงียบๆ ไม่เห็นต่างคนละทางจนพุ่งเข้ามาก็ดี
ความคิดของเขาแล่นปราด เค้นสติปัญญาของตนมาใคร่ครวญคำถามของภูตเสือร้ายอย่างเต็มกำลัง
เชื่อมโยงกับคำพูดก่อนหน้านี้ อันดับแรกจี้หยวนยืนยันแล้วว่าวิญญาณตนถือว่าข้ามมิติมาจริงดังคาด หรือกล่าวได้ว่าครองร่างกายของคนอื่น ทั้งคำถามของอีกฝ่ายยังเผยปัจจัยสำคัญสามอย่างให้เห็น
ข้อแรก เสือร้ายอยู่ในป่าลึก ขอทานคนนี้อยู่ในอารามเทพภูเขา ทั้งสองฝ่ายไม่เคยเจอหน้ากัน
ข้อสอง เป็นไปได้ว่าเดิมขอทานคนนี้คงไม่ธรรมดา ภูตเสือร้ายจึงไม่ทำร้ายเขา แน่นอนว่าอาจจะไม่อยากกินคนพิการหรือมีโรครักความสะอาด
ข้อสาม เป็นอย่างที่ภูตเสือร้ายสงสัย เดิมขอทานคนนี้คงใกล้ตายแล้ว แต่เพราะจี้หยวนข้ามมิติมา กระทั่งในสายตาภูตเสือร้ายเห็นว่าขอทานเปลี่ยนเป็นมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม
ตอนนี้จี้หยวนต้องการแค่ผลลัพธ์เดียว ข่มขู่ภูตเสือนี้ รักษาความปลอดภัยของทุกคน สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาความปลอดภัยของตัวเอง
ผ่านมาครู่หนึ่งแล้ว ถ้าตัวข้างนอกรอไม่ไหวคงไม่ดีแน่ จี้หยวนทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน นิทานและเรื่องเพ้อฝันวัยเด็กมากมายที่เคยอ่านก่อนหน้านี้แล่นผ่านสมองอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกภายนอกคือขอทานเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยปาก
เขาตั้งใจพูดช้าลงหน่อย
“ก็ไม่มีอะไรกล่าวไม่ได้ พูดแล้วน่าขัน ตอนนั้นข้ารู้ตัวว่าเหลือเวลาไม่มาก แค่รอความตายอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่กลับหยั่งรู้การเกิดใหม่จากความตายโดยไม่คาดฝัน”
ดวงทั้งสองของเสือร้ายนอกอารามเบิกกว้าง ตื่นเต้นจนกรงเล็บคมกริบจิกพื้น เกิดใหม่จากความตาย! เกิดใหม่จากความตาย! พูดง่ายแต่นัยแฝงภายในนั้นต่อให้เป็นภูตเสือร้ายก็รู้ว่าชวนประหวั่นยิ่ง
สองวันก่อนมันเคยเห็นว่าท้องฟ้าโปร่งมีฟ้าผ่าลงมา กลิ่นอายน่าหวาดกลัวอานุภาพสวรรค์เกินคาดเดา จากที่มันเคยเห็นมาทั้งชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่อสนีบาตทั่วไปเทียบได้แน่ ตอนนั้นภูตเสือร้ายถึงขั้นทรุดอยู่ในถ้ำ
วันนี้ภูตเสือร้ายพลันเข้าใจแล้ว แหล่งกำเนิดอสนีบาตอยู่ที่นี่!
มันคือสัตว์ฝึกตนเป็นภูต ฝึกปราณลำบากยากแค้นเพียงใด!
แต่คนที่เดิมคิดว่าเป็นขอทานธรรมดาในอารามตรงหน้านี้ ไม่เพียงแต่สามารถคืนชีพเกิดใหม่ก่อนตาย คาดว่าระดับปราณคงล้ำลึกมากแน่
พูดตามจริงว่านี่เป็นผู้ฝึกปราณคนแรกที่ภูตเสือร้ายเจอ แต่ต่อให้เคยเจอแค่คนเดียว มันก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเทียบได้แน่
ยามนี้เมื่อรู้ว่าสำหรับเผ่ามนุษย์ตนเป็นอสูรต่างเผ่า รู้ว่าหากอยู่ที่นี่นานกว่านี้แล้วอาจมีอันตราย เสือร้ายถามเจือความร้อนรนและว้าวุ่นใจอย่างอดไม่ได้
“ทะ ท่านเห็นว่าการฝึกปราณของข้าเป็นอย่างไร”
จากนั้นอาจรู้ว่ากะทันหันเกินไป มันกล่าวเสริมประโยคหนึ่งทันที
“ข้าฝึกปราณบนเขาโคเทพนี้มาร้อยกว่าปีโดยไร้วิชา ไร้ที่พึ่ง ตอนนี้ลองทุกวิธีแล้วไม่อาจก้าวหน้าขึ้นอีก ท่านพอ… ชี้แนะหน่อยได้หรือไม่ เจ้าภูเขาลู่จะซาบซึ้งอย่างยิ่ง!”
แม้แต่ชื่อตนยังเอ่ยออกมาแล้ว เห็นชัดว่าตั้งแต่คำเรียกถึงน้ำเสียงล้วนเปลี่ยนไปมาก เรื่องการฝึกปราณเดิมยิ่งใหญ่กว่าฟ้า ภูตเสือเห็นทีจะไม่รอบคอบไม่ได้ การฝึกปราณของมันติดขัดมานานแล้ว
แน่นอนว่าต่อให้เป็นภูตเสือร้ายก็เข้าใจว่าการซักถามเรื่องวิธีฝึกปราณเป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งเช่นกัน พวกเดรัจฉานสัตว์อสูรทั้งหลายยิ่งทำการหยั่งรู้และฝึกปราณด้วยตัวเองอย่างยากลำบากผ่านกาลเวลา ประสบผลสำเร็จเล็กน้อยย่อมยินดีเนิ่นนาน ทั้งไม่ยอมบอกคนอื่นโดยง่าย ดังนั้นยามมันถามขอทานซึ่งมองไม่ออกในอารามคนนี้จึงระมัดระวัง ร้องขอแค่คำชี้แนะเล็กน้อย
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีความแค้นซึ่งไม่อาจคลี่คลายอะไร แน่นอนว่าย่อมฉวยโอกาสลองขอคำชี้แนะดู
โชคดีที่ผีบัณฑิตลู่ทำให้ภูตเสือเรียนรู้มารยาทของคนบนโลกมาบ้าง มันคิดเองว่าน่าจะพอมีมารยาท
แต่ความกระวนกระวายและกระสับกระส่ายทำให้เสือร้ายพูดประโยคนี้จบแล้วเดินไปมาอย่างประหม่า มองเข้าไปในอารามอย่างเฝ้ารอ ขณะเดียวกันยังเตรียมตัวพร้อมสรรพ ถ้าคนในอารามสร้างความลำบาก มันจะโต้กลับหรือวิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุด
เดิมจี้หยวนคิดว่าภูตเสือจะดุร้ายยิ่งกว่านี้ คิดไม่ถึงว่ายังสุภาพบ้าง เขาไม่กล้านึกท่าทางยามเสือยักษ์ข้างนอกท่องตำราอย่างสุภาพชนเลย
หลังสลัดความคิดเชื่อมโยงไร้สาระพวกนี้ทิ้ง จี้หยวนทำให้จิตใจอันป่วนคลั่งสงบลงก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง ครั้งนี้เขาพูดช้าลงมาก
“ขอถามเจ้าภูเขาลู่ว่าฝึกปราณมาถึงตอนนี้กินคนไปเท่าไหร่”
จี้หยวนรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งลนลานยิ่งไม่อาจเผยออกมา กลับต้องกร้าวแกร่งตามความเหมาะสมและสถานการณ์บ้าง
เมื่อฟังคำถามจากภายในอาราม เสือร้ายด้านนอกถึงกับลนลานในใจทันที ร้อนรนจนกรงเล็บคมกริบจิกพื้นดินโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลันคิดอะไรได้ก่อนผ่อนลมหายใจผ่านจมูก
ฮู่ว…
ไอหมอกมายาหนึ่งแผ่ออกมา กลายเป็นเงาร่างคนผู้หนึ่ง เป็นบัณฑิตลู่นั่นเอง
เสือร้ายสอดส่องสายตามองอารามเทพภูเขาที่มีแสงไฟคลุมเครือ กล่าวเสียงเบากับผีบัณฑิต
“เมื่อครู่ได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ ข้าควรตอบอย่างไรจึงจะไม่พลาดโอกาสรู้ความลับ ถ้าครั้งนี้เจ้าช่วยข้าได้ ข้ารับปากว่าจะปล่อยวิญญาณเจ้ากลับถิ่นเกิด!”
แต่เจ้าภูเขาลู่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าความจริงแล้วเสียงกระซิบแผ่วเบาพวกนี้ล้วนถูกจี้หยวนได้ยินทั้งหมด ทั้งทำให้จี้หยวนรู้ระดับความสนใจซึ่งภูตเสือนี้มีต่อสิ่งที่เรียกว่านัยเร้นลับของการฝึกปราณยิ่งขึ้น
บัณฑิตลู่โค้งกายคำนับเจ้าภูเขาลู่เล็กน้อย จากนั้นค่อยมองอารามเทพภูเขา
“ก่อนหน้านี้ข้าไปล่อคนถึงอารามเขาหลับไม่ตื่น ครั้งนี้กลับมาขวางเพราะจางซื่อหลิน คนผู้นี้ทำอะไรตามใจตน คนประเภทนี้เกลียดการพูดปดที่สุด นับประสาอะไรกับยอดฝีมือ เจ้าภูเขาลู่ตอบทุกอย่างตามความจริงจะดีกว่า ไม่อาจกระทำการหลอกลวงด้วยตั้งใจบรรลุเป้าหมาย”
เมื่อฟังคำพูดนี้ใบหน้าเสือร้ายตาดุร่างมหึมากลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ออกอาการดิ้นรนสับสนอยู่บ้าง จากนั้นค่อยส่ายศีรษะกล่าวไปทางอาราม
“ไม่กล้าหลอกลวงท่าน เจ้าภูเขาลู่ฝึกปราณมาถึงวันนี้ไม่ก้าวหน้ามานาน จำเป็นต้องกินคนเพื่อบำรุง กินมาห้าสิบสามคนแล้ว… แต่ข้ากินคนเหมือนคนกินสัตว์ ทั้งไม่มีความคิดสังหารโหด ท้องอิ่มไม่กิน กลางวันไม่รบกวนข้าย่อมไม่กิน กินแค่คนหนุ่มสาวไม่กินคนแก่เด็กเล็กผู้ป่วยคนพิการ!”
แม่เจ้าโว้ย! กินไปห้าสิบสามคนแล้ว!
เมื่อครู่แม้ว่าจี้หยวนแค่สุ่มเอ่ยคำถามเฉียบแหลมเพื่อพูดต่อ แต่ได้ยินคำตอบแล้วแข้งขาอ่อนอยู่บ้าง พวกพ่อค้าเร่ด้านข้างยิ่งเกินทน หลายคนตกใจจนเสียงสั่น