ตอนที่ 10 นับว่ายังไม่ตกใจตาย
เมื่อตอบคำถามนี้เสร็จ เสือร้ายนอกอารามกับผีชางด้านข้างล้วนกระวนกระวายยิ่ง คนในอารามตกใจจนอึ้งงันครู่หนึ่ง จึงเงียบไปชั่วขณะ
จี้หยวนสงบอารมณ์อีกครั้ง คิดหนักว่าควรเจรจาปรองดองกับอสูรเสือกินคนไม่กะพริบตาอย่างไร
เมื่อเสือร้ายนอกอารามเริ่มร้อนรน ในที่สุดเสียงเนิบช้าก็ดังออกมาจากอาราม
“เจ้าภูเขาลู่องอาจนัก หากเป็นอสูรตนอื่นคงหลอกว่ากินไปไม่กี่คน ถือว่าไม่ทำให้ข้าดูแคลนเจ้า!”
ผีบัณฑิตกำหมัดในแขนเสื้ออย่างอดไม่ได้ เจ้าภูเขาลู่ภูตเสือร้ายไม่วายยินดีเช่นกัน
“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง อาจมีอสูรคิดว่าการกินคนเป็นสิ่งบำรุงที่สุด เจ้าภูเขาลู่คิดว่าอย่างไร”
จี้หยวนไม่รอให้ภูตเสือร้ายพูดต่อ เขาเอ่ยถามอีกครั้งทันที
นอกจากทำให้ตัวข้างนอกล้มเลิกความคิดกินคนแล้ว ความจริงเขายังถ่วงเวลาด้วย ทำให้ตนคิดคำพูดรับมือได้เหมาะสม ถึงอย่างไรถ้าสุดท้ายหลอกมันไม่ได้ อีกฝ่ายบันดาลโทสะขึ้นมาก็จบเห่แล้ว
แต่คำถามเรียบง่ายกลับทำให้เสือร้ายกับผีชางข้างนอกลนลานอีกครั้ง
ศีรษะมหึมาของเจ้าภูเขาลู่จ้องมองผีชาง ตัวมันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร หากบอกว่า ‘ใช่’ ต้องผิดแน่ บอกว่า ‘ไม่ใช่’ ก็ง่ายไปอีก ถ้าคนในอารามนั่นถามอีกว่า ‘เหตุใดถึงไม่ใช่’ เล่าจะทำอย่างไร
ผีบัณฑิตลนลานจนเดินไปมา มีความรู้สึกเหมือนตอนสอบวิชาความรู้โดยมีอาจารย์ผู้เข้มงวดคอยอยู่ข้างกายยามเล่าเรียนอยู่บ้าง
“คิดออกหรือยัง คิดออกแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าภูเขาอย่ารีบร้อนๆ… คิดออกแล้ว!”
“รีบบอกมาๆ!”
บัณฑิตยกแขนเสื้อขึ้นมาด้วยคิดเช็ดเหงื่อซึ่งไม่มีอยู่ตามจิตใต้สำนึกพลางตอบเสียงเบา
“แน่นอนว่าคำตอบของคำถามนี้ไม่มีทางเห็นด้วยกับคำพูดก่อนหน้า สิ่งสำคัญคือการแสดงทัศนคติว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร ทั้งไม่อาจค้านคำพูดก่อนหน้าของเจ้าภูเขา ถึงอย่างไรเจ้าภูเขาก็กินมาห้าสิบสามคน… เจ้าภูเขาต้องกล่าวเช่นนี้…”
ความรู้สึกบนหน้าเจ้าภูเขาลู่เปลี่ยนจากหงุดหงิดจนมุ่นคิ้วเป็นผ่อนคลาย
“เจ้าจะบอกว่าพวกเราตอบอย่างไรย่อมผิดแน่ ขอแค่สอดคล้องไม่ขัดเจตนารมณ์ก็พอแล้วหรือ”
“ถูกต้อง เจ้าภูเขาเชื่อข้าเถอะ!”
เสือร้ายพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าวไปทางอาราม
“คำถามของท่านข้าน้อยใคร่ครวญอยู่นาน ข้าเจ้าภูเขาลู่ตั้งแต่มีปัญญาแล้วอยู่บนเขาโคเทพมานาน พบเจออสูรตนอื่นน้อยมาก ไม่ทราบความคิดของพวกเขา สำหรับข้าจริงอยู่ว่าการกินคนเป็นของบำรุง แต่คำถามนี้ของท่านทำให้ข้าพลันรู้สึกว่าไม่เหมาะ ท่านโปรดสอนข้าด้วย!”
ถึงขั้นโยนคำถามกลับมาแล้ว
แต่แบบนี้ตรงกับความคิดของจี้หยวนพอดี ในฐานะคนหนุ่มซึ่งเคยผ่านยุคอินเทอร์เน็ตเกินพิกัดมาก่อน หาความรู้และข้อมูลนานัปการที่ไม่อาจบรรยายได้มากมาย ขอเพียงไม่ลนลานจนสับสน การสื่อความลึกซึ้งมีเหตุผลนั้นไม่ยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นแค่บทความสร้างแรงบันดาลใจก็มีลูกเล่นมากมายแล้ว
ครั้งนี้ไม่ให้เจ้าภูเขาลู่และผีชางรอนานนัก คนภายในอารามตอบคำถามทันที
“มีคำกล่าวว่ามนุษย์คือวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง สารพลังของสิ่งมีชีวิตต้นไม้ใบหญ้าล้วนถูกมนุษย์ดูดซับ แต่มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีความรู้สึกซับซ้อนที่สุดบนโลกเช่นกัน เคียดแค้นผูกกรรมพัวพันไม่หยุดหย่อน อสูรกินคนนานเข้าจึงเสพติดโดยง่าย คิดว่าบำรุงการฝึกปราณแต่กลับมีกลิ่นอายเหี้ยมโหดรัดตัวก่อน พากเพียรมานานแต่ไม่อาจเลื่อนระดับ สิ่งที่เพิ่มพูนคือนิสัยดุร้ายล่อลวงจิตวิญญาณ จนกระทั่งคลุ้มคลั่ง… นี่คือการรนหาหนทางสู่ความพินาศ”
เสือร้ายอย่างเจ้าภูเขาลู่ฟังแล้วกลืนน้ำลาย เส้นขนทั่วร่างล้วนตั้งชัน
ไม่มีใครพูดเรื่องพวกนี้มาก่อน ผีบัณฑิตและตำราบางเล่มที่เขาเอ่ยถึงแม้มีเนื้อหาชวนคนทำดีบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นคำกล่าวคร่ำครึน่าขัน ตอนนี้คำพูดของคนในอารามฟังแล้วทำให้มันเหงื่อตกจริงๆ
ด้วยมันเจ้าภูเขาลู่มีความรู้สึกว่ายิ่งกินยิ่งอยากกินคน ทั้งติดขัดอยู่กับการฝึกปราณมานานมากจริงๆ จุดนี้คนในอารามน่าจะไม่รู้แน่ชัด ดังนั้นข้อพิสูจน์สองอย่างย่อมทำให้มันเชื่อหลักการนี้มากเป็นธรรมดา
ยามนี้เจ้าภูเขาลู่ถึงขั้นลืมปัญหาที่ตนถามตอนแรกแล้ว หากแต่รีบร้อนถามคนในอาราม
“ท่าน มะ มีวิธีช่วยหรือไม่”
จี้หยวนฟังคำพูดนี้แล้วผ่อนลมหายใจอย่างระวัง หินก้อนใหญ่ในใจหายไปกว่าครึ่ง ถูกหลอกง่ายจริง!
“ข้าคนแซ่จี้ฟังสิ่งที่เจ้าภูเขาลู่กล่าวก่อนหน้านี้แล้ว กินคนเหมือนคนกินสัตว์ ไม่มีความคิดสังหารโหด ท้องอิ่มไม่กิน กลางวันไม่กิน คนแก่เด็กเล็กผู้ป่วยคนพิการไม่กิน ในหมู่อสูรถือเป็นเรื่องทำยากน่าชื่นชม หึๆๆ ไม่แน่ว่าตอนนั้นเจ้าภูเขาลู่ไม่ทำร้ายขอทานเน่าอย่างข้าก็ด้วยยึดอุดมการณ์นี้!”
“ไม่กล้าๆ! ท่านผู้สูงส่ง เจ้าภูเขาลู่ไม่กล้าล่วงเกิน!”
ในใจเจ้าภูเขาลู่พลันลนลาน รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว ความจริงตอนแรกสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ต่อมาค่อยรู้สึกว่าขอทานคนนี้อาจไม่ธรรมดา แต่ก็แค่สงสัย วันนี้กลับแน่ใจแล้ว
จี้หยวนไม่กล้าได้คืบเอาศอก แต่กล่าวต่อด้วยเสียงเนิบช้า
“วิธีช่วยว่าง่ายก็ง่าย พูดว่ายากก็ยาก แค่ประโยคเดียวคือไม่กินคน หลักการพื้นฐานของมันไม่ลึกล้ำ ฝึกปราณเหมือนการเป็นคน กายตั้งจิตมั่นมรรคเป็นหลัก เรื่องนี้คือพื้นฐาน”
จี้หยวนเว้นช่วงไปสักพัก รู้สึกว่าคำพูดนี้อาจยังไม่ถึงขั้นกำราบภูตเสือร้ายได้ จากนั้นจึงกล่าวเสริมประโยคหนึ่งทันที
“มรรคสวรรค์เสื่อมสูญมากล้นเพิ่มเสริมไม่พอ มรรคมนุษย์เสื่อมสูญไม่พอยังคอยประจบเอาใจผู้มั่งคั่ง ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่าเหตุใดจึงหยั่งถึง ภายหลังเจ้าถามข้าว่าควรแก้ไขอย่างไร ล้วนตรงกับหลักการนี้… เจ้าภูเขาลู่ เจ้ากับข้าคนแซ่จี้ไม่ได้มีวาสนาต่อกันแค่ผิวเผิน วันนี้พูดมามากพอแล้ว!”
จี้หยวนกล่าวประโยคนี้จบก็รอการตอบสนองจากข้างนอกอย่างตื่นเต้น
เสือร้ายข้างนอกหน้านิ่วคิ้วขมวดสลับผ่อนคลาย พิจารณาแล้วเหมือนหยั่งถึงทั้งรู้สึกว่ามรรคมีนัยลึกซึ้ง แต่ในใจกลับนิ่งสงบขึ้นมาก
ความเงียบนอกในอารามสืบเนื่องอยู่หลายนาที ช่วงเวลานี้ทรมานจี้หยวนแทบแย่ แต่ไม่ลนลานเกินไปจนน่าประหลาดใจ
ซ่าๆๆ… ซ่าๆๆ…
ฮูม… ฮูม…
ท่ามกลางเสียงลมพัดผ่าน เจ้าภูเขาลู่ใคร่ครวญแล้ว เท้าทั้งสี่เริ่มก้าวเนิบช้า เดินไปทางอารามเทพภูเขา
ทุกเสียงฝีเท้าล้วนเหมือนกรงเล็บเหยียบหัวใจของจี้หยวน เหงื่อเย็นซึมหลังออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ในใจร้องว่าตายแน่ๆๆ! ดูเหมือนตนจะเล่นใหญ่เกินไป คราวนี้หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้!
ยามนี้จางซื่อหลินกับพวกพ่อค้าเร่กลับใจชื้นขึ้นบ้าง แม้ว่าตื่นตระหนกเกินทน แต่อย่างแรกคือพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเท้าเสือ สองคือเชื่อว่าข้างกายมียอดฝีมือ ทำให้สงบใจลงมาก
เวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ เจ้าภูเขาลู่มาถึงประตูอารามแล้ว
จากนั้นยามจี้หยวนกับพวกพ่อค้าเร่ยังตื่นตระหนก เสือร้ายตาดุศีรษะใหญ่มหึมาลำตัวยาวเกือบสี่เมตร ก้าวเข้าประตูอารามมาช้าๆ ข้างกายยังมีบัณฑิตลู่คนนั้นตามมาด้วย
ขนเหลืองลายดำ หน้าผากเป็นตัวอักษรหวัง (王) นัยน์ตาฉายแววดุดัน น่าครั่นคร้ามอยู่ครามครัน
พวกพ่อค้าเร่ล้วนกุมอาวุธในมือไม่อยู่ พากันตกใจจนล้มพับ จี้หยวนไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
นัยน์ตาของเสือร้ายไม่มองคนอื่นโดยสิ้นเชิง หากแต่มองขอทานที่นั่งข้างรูปปั้นเทพภูเขาแตกหักคนนั้น แม้ว่าผมเผ้ารุงรัง แต่ดวงตาพร่ามัวคู่นั้นกลับมองตรงมาทางประตู
“เจ้าภูเขาลู่รับบุญคุณจากการชี้แนะของท่าน ไม่ลืมตลอดชีวิต!”
เสือร้ายถึงขั้นหยัดร่างขึ้น ไขว้ขาหน้า สองกรงเล็บทำท่าประสานมือ คารวะจี้หยวนสามครั้ง
จากนั้นค่อยลดตัววางสี่เท้ากลับสู่พื้น นัยน์ตาพยัคฆ์หันมองผีชางพลางสูดหายใจ ไอขาวจากตัวผีชางถูกดูดกลับเข้าร่างเสือร้าย
“ข้าเคยรับปากเจ้า หากช่วยข้าได้จะปล่อยเจ้าไป เจ้าไปเถอะ!”
ผีบัณฑิตไม่วายตื่นเต้น คารวะเจ้าภูเขาลู่ จากนั้นค่อยหันมองจี้หยวนพลางคุกเข่า โขกศีรษะหลายครั้ง ทั้งหันมองพวกพ่อค้าเร่แล้วโขกหัวหลายที ไม่พูดอะไรมากความ กลายเป็นกลุ่มควันลอยไปทั้งอย่างนั้น กลุ่มควันยังไม่พ้นประตูอารามก็สลายหายไปแล้ว
หลังจากผีบัณฑิตจากไป เจ้าภูเขาลู่มองพ่อค้าเร่พวกนั้น ท่ามกลางแววตาซึ่งกลัวแทบตายของพวกเขา มันคายผีหวังตงออกมา ปลดปล่อยเขาไปเช่นกัน
จี้หยวนเห็นสถานการณ์แล้วยิ้มแข็งทื่ออยู่บ้าง นับว่าตนยังไม่ตกใจตาย
“ไม่กล้ารบกวนท่านพักผ่อน เจ้าภูเขาลู่ขอลา!”
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลังจากกล่าวประโยคนี้ เสือร้ายชวนประหวั่นตัวนี้จากอารามเทพภูเขาไปช้าๆ เสียงลมโดยรอบค่อยสงบลงเช่นกัน