ตอนที่ 12 จิ้งจอกแดง
ในใจจี้หยวนทักทายบรรพชนของพวกจางซื่อหลินครบสิบแปดรุ่นแล้ว แม้ว่าคิดทำเพื่อชีวิตของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรตนก็ช่วยพวกเขาไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไปโดยไม่พาตนไปด้วย ไม่แม้แต่จะเรียกด้วยซ้ำ!
เรื่องน่าโมโหที่สุดคือตอนนี้จี้หยวนอยากด่าแต่ไม่กล้าตะโกนออกมา ได้แค่ข่มกลั้นจนหน้าแดงก่ำแล้ว
ผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ของจี้หยวนจึงสงบลง
“ฮู่ว… ฮู่ว…”
หลังจากปรับลมหายใจตัวเอง จี้หยวนนั่งข้างรูปปั้นเทพภูเขาอย่างหดหู่
‘มารดามันเถอะ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี เสี่ยงอันตรายลงเขาไปดีไหม’
จี้หยวนมองอาหารและน้ำข้างรูปปั้นเทพภูเขา นับว่าเจ้าพวกนั้นยังมีสำนึก เหลือของกินไว้ให้ตนบ้าง
หลังจากสงบสติลงหน่อย จี้หยวนนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่ตอนหลับเหมือนจะได้ยินจางซื่อหลินเรียกเขา แต่ตอนนั้นตนกำลังหลับสนิท บางทีอาจไม่ได้สนใจอะไร
“ชั่วดีอย่างไรก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต พวกเจ้าไม่อาจรอข้าตื่นแล้วกล่าวขอบคุณต่อหน้าค่อยไปหรือ ไม่อย่างนั้นปลุกข้าตื่นก่อนก็ดี…”
จี้หยวนยังถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ พวกพ่อค้าเร่จากไปเช่นนี้ ทำเขาเสียแผนหมดแล้ว
ถึงอย่างไรก็มาถึงโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง เดิมจี้หยวนคิดลงเขาไปพร้อมพ่อค้าเร่ ทางที่ดีคืออาศัยฐานะผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ให้พวกเขาช่วยหาที่พัก จากนั้นค่อยวางแผนต่อ
ในเมื่อโลกนี้มีภูตเสือร้าย เช่นนั้นต้องมียอดฝีมือที่แท้จริง ไม่แน่ว่าอาจมีผู้ฝึกเซียนหรือเซียนด้วย ดวงตาของตนคงไม่ถึงขั้นรักษาไม่ได้แล้ว ถ้าโชคดีจี้หยวนอาจก้าวสู่หนทางฝึกปราณได้
เรื่องอย่างการข้ามมิติเกิดขึ้นแล้ว ทั้งพอมาถึงก็ปะทะภูตเสือร้ายซึ่งหน้า นับว่าจี้หยวนเจอเรื่องราวที่ความน่าจะเป็นต่ำติดต่อกัน พูดตามหลักการความน่าจะเป็นถือว่าโชคดีมาก
เมื่อคิดแบบนี้จี้หยวนค่อยตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย
เขาหยิบถุงผ้าป่านใส่ของกินใบเล็กขึ้นมาจากพื้น ถือโอกาสหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งออกมาคาบคาปาก คาดเชือกป่านแขวนกระบอกไม้ไผ่ไว้ข้างตัว จี้หยวนมุ่งไปนอกอารามเทพภูเขาเพื่อสำรวจอย่างระวังเช่นนี้
การมองเห็นของเขาถ้าไม่พูดถึงรายละเอียดอะไรถือว่าฝืนใช้ได้ อย่างน้อยก็มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบ แค่ตอนย่ำเท้าต้องระวังเป็นพิเศษ
โฮก…
เพิ่งถึงประตูอาราม เสียงเสือคำรามกลางป่าลึกดังมาแต่ไกล
จี้หยวนพลันตัวสั่น ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นถูกความตกใจเข้ามาแทนทันที เขากระโดดถอยหลังโหยงเหยง จากนั้นฝ่าเท้าพลันเหยียบถูกของอะไรมนๆ ร่างกายเสียการทรงตัวชั่วพริบตา
ฮูม…
เคร้ง…
ตึง…
“โอ๊ย…”
เท้าจี้หยวนเหยียบโดนเทียนไขเล่มหนึ่ง หลังจากหงายหลังล้มชนโต๊ะบูชาของอารามเทพภูเขาแล้วยังหกคะเมนกลิ้งจนหน้ามืดตามัว
“ซี้ด… โอ๊ย… แม่ง… คนมันจะซวย ย่อมซวยซ้ำซวยซ้อน!”
จี้หยวนดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง หาจุดปวดโดยลูบหลังหัวตัวเองอย่างระวัง ก่อนพบว่ากระแทกจนหัวบวมปูด ลูบครั้งหนึ่งก็เจ็บที โชคดีว่ารู้สึกปวดแค่ผิวเผิน สมองน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
จี้หยวนพักสักหน่อยแล้วค่อยยังชั่ว มองถุงผ้าป่านใบเล็กกับกระบอกไม้ไผ่ข้างมืออย่างเหม่อลอย
การล้มนี้ทำให้ความอยากลงเขาของจี้หยวนคลายลงบ้าง ถ้าต้องไต่เนินลงเนินทั้งไม่ระวังจนเป็นแบบนี้ เขาคนแซ่จี้จะไม่มีโอกาสพิการหรอกหรือ
จี้หยวนเป็นคนเสียดายชีวิตเรื่อยมา ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเป็นคนกลัวเจ็บคนหนึ่ง ชาติก่อนเสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าชาตินี้เปิดฉากไม่สวย แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง
โครม ครืน…
เสียงอสนีบาตดังขึ้น ตรงขอบฟ้ามีอสรพิษเงินร่ายรำอีกครั้ง ครั้งนี้จี้หยวนไม่ถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง แต่เมื่อเห็นพายุฝนตั้งเค้า คราวนี้คนตาบอดครึ่งหนึ่งอย่างเขาลงเขาคงยิ่งไม่เหมาะแล้ว
สุภาษิตว่าขึ้นเขาง่ายลงเขายาก ช่างเหมาะกับสถานการณ์ยิ่งนัก!
‘หรือ… อีกสักพักก็หยุด’
ซ่า…
ผ่านไปไม่นานหยาดน้ำฝนหนาแน่นขึ้น อากาศบนเขาแปรปรวนจริงๆ คราวนี้จี้หยวนไม่ต้องสับสนอีก ออกไปตอนนี้ต้องซวยแน่
จี้หยวนนั่งลงหน้าโต๊ะบูชา หลับตารวมสมาธิ ทำให้ตนสงบลง
เมื่อจิตใจนิ่งสงบภาพงามไร้สีสันในใจนั้นปรากฏตามเสียงฝนช้าๆ ทิวทัศน์งามมีชีวิตชีวาอาบไล้ด้วยฝนบนเขาเปิดฉากเนิบช้าดังคาด
ท่ามกลางฝนกระหน่ำ สิ่งที่จี้หยวนชอบฟังที่สุดคือเสียงวิ่งไปวิ่งมาของสัตว์พวกนั้น ภาพนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเปี่ยมพลัง ถึงขั้นทำให้จี้หยวนนึกถึงกลิ่นปิ้งย่าง
ทันใดนั้นจี้หยวนได้ยินเสียงสัตว์น้อยตัวหนึ่งรีบหนีไม่ดูทางกลางฝน ดูเหมือนวิ่งมาทางอารามเทพภูเขา วิ่งเหยาะๆ แล้วพุ่งเข้าชายคาอาราม
บนตัวสัตว์น้อยยังมีหยดน้ำร่วงหล่น ในการรับรู้ของจี้หยวนมันกำลังเดินเข้าอารามเทพภูเขาอย่างระวัง แต่เพิ่งก้าวเข้าประตูอารามก็หยุดเท้า ดูเหมือนว่าพบจี้หยวนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชาแล้ว
จี้หยวนลืมตาขึ้น เบื้องหน้าคือเงาแสงเลือนรางแถบหนึ่ง ลักษณะของสัตว์น้อยตัวนี้ก็เป็นภาพเลือนราง ตัวเล็กกว่าหมาบ้านเล็กน้อย
จากการสังเกตผ่านสายฝนเมื่อครู่ จี้หยวนรู้ว่าน่าจะเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง
สัตว์ประเภทนี้ค่อนข้างใจเสาะ ยิ่งไม่มีทางจู่โจมมนุษย์ จี้หยวนจึงค่อนข้างสบายใจ
พูดให้ถูกคือส่วนใหญ่อารามเทพภูเขาร้างนี้เป็นของพวกสัตว์ จากมูลสัตว์บางส่วนในอารามก็มองออก จี้หยวนกับพวกพ่อค้าเร่เป็นแค่คนผ่านทางเท่านั้น
ล้วนหลบฝนเหมือนกัน จี้หยวนไม่มีความคิดจะไล่จิ้งจอกตัวนี้ไป ตัวคนเดียวน่าเบื่อพอแล้ว
นี่คือจิ้งจอกแดงสีขนฉูดฉาดตัวหนึ่ง นั่งตรงประตูอารามจ้องจี้หยวนตลอด เห็นว่าผ่านไปนานแล้วคนข้างในไม่ตอบสนองจึงผ่อนคลายลงบ้าง มันลังเลครู่หนึ่งก่อนก้าวเข้าประตูอาราม ยืนติดกำแพงด้านหน้า จากนั้นค่อยเริ่มสะบัดตัว
พึ่บพั่บๆๆๆ…
น้ำฝนบนขนจิ้งจอกแดงถูกสลัดตามความเร็วของการขยับร่างกาย ส่วนมากล้วนลอยมาโดนตัวจี้หยวนที่อยู่ห่างมาสองสามหมี่[1] ทำให้จี้หยวนต้องใช้มือบังหน้าอย่างอดไม่ได้
แต่ยามจิ้งจอกสะบัดน้ำ จี้หยวนกลับรู้รายละเอียดของจิ้งจอกชัดขึ้น ขนอ่อนนุ่มปรากฏอย่างชัดเจน เห็นชัดว่านี่เป็นจิ้งจอกน้อยรูปงามตัวหนึ่ง
จิ้งจอกนี้นับว่าน่ารักยิ่ง สะบัดน้ำเสร็จก็หมอบพักพิงกำแพงข้างประตูอาราม สังเกตการตอบสนองของจี้หยวนอย่างระวังเป็นพักๆ
หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอก ฝ่ายหนึ่งไม่อาจเดินทาง ฝ่ายหนึ่งหลบฝนในอาราม ไม่พูดจาแต่อยู่กันอย่างสันติ
เวลานี้จี้หยวนรู้สึกหิวบ้างแล้ว คิดจะกินของดีแน่นอนว่าไม่มี แต่อย่างน้อยยังมีถุงอาหารแห้งใบน้อย สามารถเติมเต็มท้องบ้าง
เขาเปิดถุงออกดู ใช้มือลองบีบ ขนมเปี๊ยะแข็งจนเหมือนก้อนหิน หมั่นโถวไม่ถือว่าอ่อนนุ่มแต่เทียบกับขนมเปี๊ยะแล้วดีกว่ามาก ดังนั้นเขาหยิบหมั่นโถวออกมาลูกหนึ่ง
ฉีกส่วนหนึ่งมาดมข้างจมูกแล้วไม่มีกลิ่นราเน่าอะไร จึงยัดเข้าปากแล้วกิน แต่ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกหิว หมั่นโถวลูกหนึ่งอยู่ไม่ถึงสิบกว่าวินาทีก็ถูกกินเกลี้ยง
จี้หยวนอดหยิบหมั่นโถวอีกลูกออกมาไม่ได้ กินอย่างตะกละตะกลามจนหมด จากนั้นค่อยข่มความรู้สึกอยากกินอีกลูกเอาไว้
ถุงอาหารไม่ใหญ่มาก กินหมั่นโถวสองลูกแล้วพร่องไปส่วนหนึ่ง ยื่นมือนับโดยละเอียดพบว่ายังเหลือหมั่นโถวสองลูกกับขนมเปี๊ยะสามอัน
ในฐานะชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอยู่ช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มีงานมั่นคง แม้ทุกคนบอกว่ากลุ้มเรื่องค่าครองชีพ แต่ไม่เคยเป็นห่วงว่าจะหิวตายหรือไม่ ดังนั้นแต่ก่อนการตอบสนองด้านนี้จึงช้าอยู่บ้าง เวลานี้จี้หยวนเพิ่งตระหนักทันใด เสบียงอาหารของตนไม่สมบูรณ์นัก!
ต่อให้ลงเขาไปก็น่าจะไม่มีญาติมิตรให้พึ่งพากระมัง ทำอะไรหาเลี้ยงชีพเล่า ตอนนี้ตนทำอะไรได้บ้าง ขอทานหรือ
“หงุดหงิดโว้ย!”
จี้หยวนตะโกนเหมือนคนบ้าอย่างอดไม่ได้
จิ้งจอกด้านนอกตกใจจนลุกขึ้นระวังตัว
ดึงดูดความสนใจของจี้หยวนกลับมา
“แหะๆ เจ้าจิ้งจอกน้อย คนตาบอดอย่างข้าไม่ได้พกอะไรมาเลี้ยงเจ้า หมั่นโถวขนมเปี๊ยะล้วนมีนิดหน่อย แต่หนึ่งคือเจ้าไม่กิน สองคือข้าเองไม่อยากให้ ถ้าเจ้ามาเป็นอาหารของข้า ย่อมทำให้ข้ากลุ้มน้อยลงหน่อย”
ฟ่อ…
จิ้งจอกพองขนเล็กน้อย เท้าทั้งสี่เหยียดเกร็ง แยกเขี้ยวข่มขู่จี้หยวน
“ล้อเล่นๆ! เจ้าจับหนูนาหรือกระต่ายมาก็ไม่เลวแล้ว…”
จี้หยวนกล่าวเสียงอ่อนโยน เขาคิดว่าเสียงและการกระทำของตนเมื่อครู่ต้องกระตุ้นเจ้าจิ้งจอกแน่ กระต่ายลนลานยังกัดคน อย่าเห็นว่าจิ้งจอกไม่ใช่สัตว์ป่า!
ครู่ใหญ่คนและจิ้งจอกทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีการเคลื่อนไหวอีก จิ้งจอกตัวนั้นระวังจนหมอบอยู่มุมกำแพง จี้หยวนถอนใจโล่งอกพิงโต๊ะบูชาเหม่อลอยต่อไป
[1] หมี่ หมายถึง เมตร