ตอนที่ 16 ท่านจี้ยอดบุคคล
เจ้าภูเขาลู่ภูตเสือร้ายไม่กระโดดอีกครั้ง เดินไปหาห้าคนที่เหลือทีละก้าวเช่นนี้ สัตว์ร้ายแสยะยิ้มมุมปาก ทำให้พวกลู่เฉิงเฟิงหายใจลำบากเหมือนหินก้อนใหญ่กดอัดหัวใจ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสู้ได้แต่แรก นึกถึงการเคลื่อนไหวประหลาดของเสือร้ายเมื่อครู่ เทียบกับวิชาติดตัวและวิชาตัวเบาของตนแล้ว ต่อให้รู้ตัวคิดวิ่งหนีก็ยังเป็นปัญหา!
เสียงเจ้าภูเขาลู่ดังขึ้นเรื่อยๆ ปากแสยะเผยเขี้ยวยาว ไออสูรซึ่งแผ่ออกมาพันรอบตัวพวกลู่เฉิงเฟิง ความรู้สึกที่สะท้อนบนตัวพวกเขาก็คือความกดดันมหาศาล
เผชิญหน้ากับแรงกดดันจากภูตเสือร้าย น่ากลัวยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเจนจัดบนยุทธภพใดนัก คนที่เหลือถึงขั้นไม่มีความกล้าลงมืออีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสนใจพวกพ้องสี่คนเลย
ตึกตักๆๆ…
ลู่เฉิงเฟิงหัวใจเต้นแรง หายใจกระชั้นถี่ เหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า เวลานี้สมองว่างเปล่าไปหมด
ผู้อยู่ใกล้เสือร้ายที่สุดก็คือเขา เขาถึงขั้นได้กลิ่นสัตว์ป่ารุนแรงจากตัวเสือร้าย
สวบสาบ…
เห็นภูตเสือมาใกล้เรื่อยๆ ลู่เฉิงเฟิงกำสองหมัดแน่น ตั้งท่ามวยตระกูลลู่ เขาไม่มีทางรอความตายเช่นนี้ ต่อให้รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็จะลองดูสักตั้ง เขาเชื่อว่าพวกพ้องคนอื่นก็เช่นกัน เห็นอีกสี่คนตั้งท่าผ่านแสงจันทร์แล้ว
“โอ้… ข้าเพิ่งเคยเจอคนหนุ่มเช่นนี้เป็นจอมยุทธ์ครั้งแรก ถ้านายท่านไม่สอนก่อน ข้าคงชิมเนื้อพวกเจ้าว่ารสชาติดีหรือไม่จริงๆ”
ยามเข้าใกล้เสือร้ายพูดพลางแลบลิ้นเลียปาก เผยท่าทางน้ำลายแทบหกออกมา
“น่าเสียดาย คงหมดสภาพกลางเขาแล้ว”
เจ้าภูเขาลู่ดูออกว่าตอนนี้ห้าคนแข็งกร้าวแค่ภายนอก ความจริงกลัวแทบตาย สะกิดนิดเดียวก็ล้มแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาลู่ สมองลู่เฉิงเฟิงมีเสียงพูดของขอทานดังขึ้นเหมือนอสนีบาต
โฮก…
เมื่อเสียงเสือคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ลู่เฉิงเฟิงกล่าวประโยคนั้นด้วยความเร็วสูงสุดและแหกปากอย่างดัง
“พวกเรารู้จักท่านจี้!”
เมื่อลู่เฉิงเฟิงตะโกนจบจนได้สติกลับมา พบว่าศีรษะเสือประชิดตนแล้ว จ่อห่างจากหน้าไม่เกินสองหมัด กระทั่งเขารู้สึกถึงลมหายใจออกของเสือร้าย
“ท่านจี้? พวกเจ้าเคยไปอารามเทพภูเขาหรือ”
“ใช่ ใช่แล้ว!”
ลู่เฉิงเฟิงไม่กล้าขยับตัว ปากรีบกล่าวเสริม
“ภะ ภายในอารามมีขอทานอยู่คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาเตือนพวกเราว่าอย่ามาจัดการเสือร้ายกินคน ยะ ยังบอกว่าเสือร้ายในภูเขาเป็นภูตนานแล้ว พวกเราไม่ยอมฟัง… แต่ตอนพวกเราจากมา เขาบอกข้าว่าหากถึงช่วงเวลาวิกฤติ ให้ข้าตะโกนว่ารู้จักท่านจี้!”
ต่อให้ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ลู่เฉิงเฟิงยังกล่าวรวดเร็ว ทั้งบอกมูลเหตุผลลัพธ์โดยคร่าว
ถ้าจี้หยวนอยู่ที่นี่คงด่าลู่เฉิงเฟิงอย่างรุนแรงในใจแน่ ข้าเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าอย่าพูดตรงเช่นนี้ได้หรือไม่
ตอนนี้ห้าคนที่เหลือล้วนรู้สึกว่าความเป็นตายขึ้นอยู่กับความคิดเสือร้าย กลั้นหายใจรอการตอบสนองของภูตเสืออยู่เงียบๆ
ฮูม… ฮูม…
ลมภูเขาพัดแรงสลับแผ่วเบา คล้ายสื่อถึงขั้นตอนการคิดของภูตเสือร้าย เมื่อรอสายตาเหลือบแสงเขียวมองลู่เฉิงเฟิงอีกครั้ง ฝ่ายหลังรู้สึกว่าไอสังหารภายในนั้นลดลงมากอย่างบอกไม่ถูก
“ในเมื่อเป็นคำพูดของท่าน แน่นอนว่าข้าย่อมพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหลอกข้าหรือไม่ พาข้าไปอารามเทพภูเขาเพื่อถามความเห็นต่อหน้าท่านจี้เถอะ!”
ลู่เฉิงเฟิงเป่าปากโล่งอกเล็กน้อย ขอแค่คนในอารามเทพภูเขายังอยู่ตรงนั้นก็คงไม่ใช่ปัญหา
หลังจากภูตเสือร้ายยินยอม ทั้งห้าคนรีบหาพวกพ้องสี่คนที่บาดเจ็บหนัก จากนั้นจึงพาคนเจ็บมุ่งหน้ากลับสู่อารามเทพภูเขาอย่างระวัง แต่ครั้งนี้ด้านหลังพวกเขามีเสือยักษ์ตาดุตามมาด้วย แม้ว่ายามหันหลังแล้วมองไม่เห็น แต่ทุกคนต่างรู้ว่าภูตเสือร้ายต้องอยู่ห่างไปไม่ไกลแน่
พวกเยี่ยนเฟยยังไม่ตาย พื้นฐานร่างกายจากการฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็กนับว่าแข็งแกร่งมาก ถ้าเป็นคนทั่วไปคงตัวเย็นนานแล้ว แม้ว่าพวกเขาถูกแบกอยู่บนตัวของคนอื่น แต่ยังกระอักเลือดเป็นพักๆ ดูเสี่ยงอันตรายยิ่ง แต่กำลังภายในยังประคองได้ ขอแค่รักษาตัวทันเวลาก็มีหวังว่าจะรอดชีวิตสูงมาก
ตอนนี้จี้หยวนกำลังเดาว่าทั้งเก้าคนจะเป็นหรือตาย โชคดีทำสำเร็จหรือไม่ จากนั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกวีรชนล่าเสือกลับมา รวมถึงเสียงเท้าเสือแผ่วเบาด้านหลังด้วย
ในใจราวกับมีลามะแสนตัวห้อตะบึงชั่วพริบตา จี้หยวนทักทายบรรพชนทุกรุ่นของพวกจอมยุทธ์น้อยอย่างสนิทสนมรอบหนึ่งทันที
‘พวกลูกเต่าบัดซบ แม่งพาเจ้าภูเขาลู่กลับมาด้วย!’
จี้หยวนลนลานไหม ลนลาน ลนลานมาก!
แต่จี้หยวนกลับไม่กล้าแสดงท่าทางลนลาน หลังนึกถึงความเป็นไปได้มากมายแล้ว เขาคิดว่าตนควรรักษาบุคลิกผู้สูงส่งไว้
เมื่อพวกลู่เฉิงเฟิงเห็นอารามเทพภูเขาและแสงไฟที่ยังพลิ้วไหวไม่ดับในอาราม ในใจมีความหวังเด่นชัด ทั้งหมดล้วนเร่งฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ แต่เงาดำหนึ่งกลับเร็วกว่าพวกเขาหนึ่งก้าว
ภูตเสือร้ายกระโจนมาจากด้านหลัง กระโดดข้ามพวกจอมยุทธ์น้อยซึ่งหมดสภาพไม่น่าดู มาจนถึงนอกชายคาอารามเทพภูเขา พวกคนด้านหลังไม่กล้าขยับตามใจทันที
ภายในอารามจี้หยวนไม่ดีกว่ากันเท่าไร ครั้งนี้เขาเห็นชัดกว่าคราวก่อน ในสายตาพร่ามัวเห็นว่าบนตัวเสือร้ายมหึมานี้แผ่กลุ่มควันบางเบารางๆ
เวลานี้ในแววตายากจะเชื่อของพวกลู่เฉิงเฟิง ภูตเสือร้ายถึงกับหยัดร่างขึ้น ขาหน้าทำท่าประสานมือ
“เจ้าภูเขาลู่คารวะนายท่าน!”
พวกเขาเบิกตากว้าง ถึงขั้นลืมความกลัวชั่วขณะ ภูตเสือร้ายถึงกับแสดงความเคารพขอทานในอาราม แม้ดูประหลาดตาเพราะรูปร่างเสือร้าย แต่ความนอบน้อมนั้นกลับเหมือนปัญญาชนถ่ายทอดความรู้ยิ่ง
ภายในอารามจี้หยวนกลับเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ดูท่าว่าใช้ปากจัดการได้!
“เจ้าภูเขาลู่ไม่ต้องมากพิธี ข้าคนแซ่จี้บกพร่องทางกาย โปรดอภัยที่ไม่อาจต้อนรับ!”
“ไม่กล้ารบกวนท่าน”
เสือร้ายเหลือบมองพวกลู่เฉิงเฟิงวูบหนึ่ง จากนั้นค่อยวางขาหน้าลง นัยน์ตามองดวงตาพร่ามัวล้ำลึกซึ่งเปิดอยู่ภายในอารามคู่นั้น
“เจ้าภูเขาลู่มาครั้งนี้ด้วยมีข้อสงสัย ท่านโปรดช่วยแถลงไข!”
ภูตเสือร้ายไม่พูดถึงข้อพิสูจน์ว่าโกหกหรือไม่แม้แต่น้อย แน่นอนว่าพวกลู่เฉิงเฟิงไม่กล้าสอดปากเช่นกัน ได้แต่คอยดูสถานการณ์อย่างสงสัยและว้าวุ่นใจ พลางนั่งช่วยพวกพ้องที่บาดเจ็บปรับลมปราณอยู่จุดเดิม
“ว่ามาเถอะ”
จี้หยวนยังทำอย่างไรได้ ไม่ให้มันพูดหรือ เขาไม่กล้าหรอก!
“คำสอนท่านครั้งก่อนทำให้ข้าหยั่งรู้บ้าง ฝึกปราณเหมือนการเป็นคน กายไม่ทำชั่ว มรรคไม่เกียจคร้าน จิตมั่นรู้แจ้งแทงตลอด คืนนี้ทั้งเก้าคนวางแผนล้อมสังหารข้า ถ้าเป็นเสือทั่วไปต้องติดกับแน่ ในเมื่อพวกเขามีใจคิดฆ่าข้า ข้าย่อมสังหารได้โดยไม่ขัดต่อมรรคกายตั้งจิตมั่น เหตุใดท่านกลับทิ้งข้อความเพื่อช่วยพวกเขา”
ให้ตาย ภูตเสือเฒ่าอย่างเจ้าอย่าหยั่งรู้เก่งขนาดนี้ได้หรือไม่…
จี้หยวนรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อวานมีความหมายเชิงนี้จริงๆ แต่แสดงออกไม่ชัดเจนคำพูดจึงคลุมเครืออยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเจ้าภูเขาลู่จะหยั่งรู้ด้วยตัวเองเช่นนี้
ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่ถามตนว่าเพราะอะไรถึงช่วยพวกเขา ไม่อาจพูดว่ากลัวไม่มีคนพาตนลงเขาโดยตรงได้ แต่ต้องให้คำตอบที่เหมาะสม มิฉะนั้นผลลัพธ์คงยากคาดเดา
จี้หยวนซึ่งดูเหมือนเงียบไปครู่หนึ่งความจริงแล้วอยากแหวกสมองออกมา จมปลักขบคิดจนในที่สุดก็มีแผนการตอบคำถาม