ตอนที่ 18 จี้หยวนผู้เหนื่อยใจ
ผ่านเขาหิน ข้ามลำธาร หลังจากก้าวผ่านเนินหินแตกจนเจอทางภูเขาที่คนเดินป่าสัญจรก็เร่งความเร็ว
เหนือศีรษะมีกิ่งไม้ติดใบแฉลบโดนตลอด บนทางภูเขาลมเย็นพัดเป็นระลอก ด้วยมีเงาต้นไม้บดบังมาก สภาพแวดล้อมจึงดูมืดมิด
เจอเรื่องลำบากยามวิกาลกอปรกับถูกทำให้ตกใจไม่น้อย ความจริงทั้งห้าคนเสียพลังกายไปมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังแบกคนอีก แต่ด้วยความตึงเครียดและหวาดกลัวที่ยังไม่เสื่อมถอยทำให้พวกเขากลั้นใจไม่กล้าชะลอจังหวะการเดิน
ลู่เฉิงเฟิงรู้สึกว่าท่านจี้ซึ่งตนแบกตัวเบามาก เหมือนแบกผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ท่านจี้กลับทำให้ในใจเขากดดันหนักยิ่งกว่าแบกหินผา
หลังจากผ่านยอดเขารอบนอกสุด มาถึงริมธารซึ่งรายล้อมด้วยหินใหญ่มากมายสายหนึ่ง ในที่สุดทุกคนก็เป่าปากโล่งอก เมื่อทอดมองจากเนินเขาตรงนี้จะเห็นตำบลสุ่ยเซียนได้รางๆ
“ท่านจี้ พวกเราพักตรงนี้สักครู่เป็นอย่างไร อาการบาดเจ็บของพวกศิษย์น้องลั่วทนต่อการเร่งเดินทางติดต่อกันเช่นนี้ไม่ไหว”
ลู่เฉิงเฟิงถามคนบนหลังอย่างระวัง
เขาวิ่งจนเหนื่อย จี้หยวนที่เกาะอยู่บนหลังก็ไม่สบาย ปวดตัวจนทนไม่ไหว อยากพักสักครู่อย่างยิ่ง
“ก็ดี พวกเราพักที่นี่สักหน่อย”
ได้ยินคำตอบของจี้หยวน ทุกคนต่างเป่าปากโล่งอก ท่านจี้บอกว่าไม่เป็นไรก็ปลอบใจพวกเขาอยู่บ้าง
“ทุกคนพักผ่อนสักครู่ ยามวางคนลงต้องระวังหน่อย!”
“ได้!”
พวกเขาวางคนเจ็บลงอย่างเบามือเบาเท้า
ความจริงผู้บาดเจ็บแทบทนไม่ไหวนานแล้ว ทุกครั้งที่กระโดดล้วนกระเทือนจนพวกเขารู้สึกเจ็บทบทวี เพียงแต่ข่มกลั้นอยู่เท่านั้น
จี้หยวนนอนลงบนหินยักษ์ลาดเอียงเพื่อหรี่ตาพักผ่อน ความจริงกำลังสังเกตคนเจ็บโดยรอบอย่างระวัง
เขาพลันพบว่าเทียบกับกลางวันแล้ว ตอนนี้การมองเห็นน่าอนาถเกินทนของเขากลับไม่มีผลกระทบนัก กลางวันมองไม่ชัดมากกว่า แต่ตอนกลางคืนกลับเห็นไม่ชัดน้อยกว่า น่าแปลกนัก เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนยังไม่ใช่แบบนี้
“แค่กๆๆ… อ่อก…”
จ้าวหลงตัวสั่นยันหินริมลำธาร ก่อนกระอักเลือดคั่งออกมา
“จ้าวหลง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ข้าไปตักน้ำให้เจ้า!”
“ไม่ ไม่เป็นไร…”
ลั่วหนิงซวงลมหายใจปั่นป่วน นิ้วสัมผัสไหล่ซ้ายของตนอย่างสั่นไหวเล็กน้อย ตรงนั้นมีรอยกรงเล็บเสือสองสายราวกับดาบตัด
รอยกรงเล็บบนตัวเยี่ยนเฟยลึกและสาหัสกว่าลั่วหนิงซวง ต้องกดจุดพันแผลกว่าจะพอฝืนห้ามเลือดได้ แต่กลับไม่กล้าขยับเขยื้อน สีหน้าซีดเผือดไปหมด
ผู้สาหัสที่สุดคือมือดาบนามว่าตู้เหิงคนนั้น แขนขวาบิดเบี้ยวแทบหลุด ตอนนี้เขาซึ่งข่มความเจ็บปวดเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อไปครึ่งตัวแล้ว
จี้หยวนไม่อาจทนมองมือดาบหนุ่มคนนี้โดยตรงอยู่บ้าง บาดแผลเช่นนี้อาจไม่ถึงชีวิต แต่คาดว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ย่อมยากจะรับยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตาย ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็ไม่ใช่หยางกั้ว[1] ชีวิตนี้อาจใช้ดาบไม่ได้แล้ว
ในความรางเลือนเห็นเขากุมแขนเงียบไม่พูดจา คาดว่าหน้าหม่นแสงแล้วกระมัง
“ดื่มน้ำหน่อยเถอะตู้เหิง”
ลู่เฉิงเฟิงส่งถุงน้ำให้เขา มือดาบฝืนยิ้ม รับถุงน้ำมากระหน่ำซดเหมือนดื่มเหล้า
“เฮ้อ…”
จี้หยวนถอนใจเบาๆ คนพวกนี้กำลังใจดีเหลือเกิน
“ท่านจี้ พวกเราล้วนไม่มีปัญหาอะไร แต่… ท่านมีวิธีช่วยตู้เหิงหรือไม่”
เยี่ยนเฟยนอนบนก้อนหิน กำหมัดถามจี้หยวนเสียงเบา ด้วยกระเทือนบาดแผลจนเลือดทะลักออกมา
ทุกคนล้วนมองมาทางจี้หยวนทันที นัยน์ตาตู้เหิงยิ่งมีความหวังขึ้นมา พวกเขาตระหนักรู้กะทันหัน ขอทานตรงหน้าเป็นถึงผู้สูงส่งที่แม้แต่ภูตเสือร้ายยังยำเกรง
‘ให้ตาย ข้ามีวิธีบ้าอะไร ข้าไม่ใช่หมอ!’
เวลาแบบนี้จี้หยวนคิดไปมามากมาย ซาบซึ้งข้าวหนึ่งถุงเคียดแค้นข้าวกระสอบ[2] ตนช่วยพวกเขาแต่ไม่นำโอสถวิเศษอะไรออกมา กลับกลายเป็นว่าถูกผูกพยาบาทแทนหรือไม่
“หึๆ ก่อนหน้านี้ในอารามข้าคนแซ่จี้เคยพูดแล้ว ในป่าคือเสือร้ายที่เป็นภูต พวกเจ้ายังดูหมิ่นถิ่นแคลน!”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วเว้นช่วงไป เห็นพวกเขาอักอ่วนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่บ้างจึงกล่าวต่อ
“เฮ้อ น่าเสียดายข้าคนแซ่จี้ไม่ถนัดทางแพทย์ ดวงตาตนยังหวังหาหมอรักษา ยังจะสนคนอื่นได้อย่างไร แต่บนโลกไม่ขาดยอดบุคคลสายแพทย์ บางทีอาจมีหนทางช่วยให้พ้นอันตราย”
ตู้เหิงใช้มือซ้ายกุมแขนขวา กัดฟันทนเจ็บ เหงื่อไหลลงมาตามคางทีละหยด
“ท่านจี้ ตู้เหิงไม่ใช่คนไม่รู้ดีชั่ว ก่อนหน้านี้ท่านโน้มน้าวครั้งหนึ่งช่วยครั้งหนึ่ง สำหรับพวกเราถือเป็นบุญคุณมอบชีวิตใหม่ ผลอันน่าขมขื่นพวกนี้… คือสิ่งที่พวกเราสมควรโดน!”
คนอื่นได้ยินดังนี้แล้วเงียบไป จี้หยวนมองมือดาบคนนี้อย่างผิดคาดนัก
เป็นไปได้ว่ากลัวเขาสิ้นหวัง หลังจากทุกคนเงียบสักพัก จี้หยวนพลันกล่าวเสริมประโยคหนึ่งอย่างลุ่มลึก
“หากข้ามเคราะห์นี้ไปได้ หนทางข้างหน้าของจอมยุทธ์น้อยตู้ย่อมไม่อาจประมาณ!”
ตู้เหิงกับทุกคนมองจี้หยวนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าเขาหลับตาบำรุงจิต ไม่กล่าวอะไรอีกแล้ว
ความรู้สึกของจี้หยวนตอนนี้ก็คือเสแสร้งจบก็แกล้งหลับ น่าตื่นเต้นจริง!
ลู่เฉิงเฟิงลังเลครู่หนึ่ง มองจี้หยวนพลางเอ่ยถาม
“ท่านจี้ พวกเราต้องบอกความจริงกับคนล่างภูเขาไหม… สุดท้ายหนังเสือขาวนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราได้มาจากการล่าเสือ…”
แม้ว่าเสือร้ายนั่นมอบหนังเสือขาวหายากที่ดูเหมือนเพิ่งถลกมาผืนหนึ่ง ทั้งบอกพวกเขาว่าสามารถพูดตามตรงว่าล่าเสือสำเร็จแล้ว แต่ดูท่าทางอนาถของพวกเขาสิ คำพูดเช่นนี้กล่าวไม่ออกอยู่บ้าง
ประโยคนี้ทำให้จี้หยวนตกใจสะดุ้งโหยง
‘หากพวกเจ้าบอกความจริง ถ้ามีคนใจกล้าไปล่าอสูรเล่า ถ้าสำเร็จยังพูดง่าย ถ้าไม่สำเร็จเจ้าภูเขาลู่ไม่มาตามคิดบัญชีทุกคนหรือ’
จี้หยวนลุกขึ้นนั่งบนหินอย่างจริงจัง เปิดดวงตาสีเทาครึ่งหนึ่ง
“ในป่ามีอสูรเสือ นามว่าเจ้าภูเขาลู่ อาศัยอยู่บนเขาโคเทพ ทุกคืนเฝ้ากินคน หยั่งรู้ในอรุณรุ่งเดียว จากนั้นจึงกลับใจ…”
“จอมยุทธ์น้อยทุกท่าน เจ้าภูเขาลู่เคยกล่าว หลังจากลงเขาให้พวกเจ้าบอกคนล่างภูเขาว่าเสือร้ายกินคนในป่าถูกฆ่าแล้ว ไม่ถือเป็นการพูดปด ทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเจ้า ดังนั้นการบอกคนอื่นว่าพวกเจ้ากำจัดเสือร้ายกินคนจึงไม่ต้องละอาย”
“แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านจี้…”
ประโยคนี้ของลู่เฉิงเฟิงยังกล่าวไม่จบก็ถูกจี้หยวนยื่นมือห้าม
“เรื่องของข้าก็อย่าพูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ทั้งขอพูดตามตรง ใต้หล้านี้มีคนกล้าบ้าเลือดรับภารกิจเข้าป่าเหมือนจอมยุทธ์น้อยทุกท่านเท่าไหร่!”
นี่ถือเป็นคำพูดจากใจจี้หยวนครึ่งหนึ่ง แต่กลับทำให้พวกจอมยุทธ์น้อยซึ่งเปี่ยมความท้อแท้อบอุ่นในใจ
เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงเฟิงยังอยากพูดอะไรต่อ จี้หยวนทิ้งตัวนอนหลับตาแกล้งพักผ่อน ไม่คิดจะสนใจแล้ว
‘เจ้าหมอนี่เรื่องมากจริง!’
จี้หยวนรู้สึกว่าตนแทบจะตวาดใส่พวกเขาว่าทำตัวเป็นวีรบุรุษล่าเสืออย่างสบายใจเถอะ!
ต่อจากนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรพวกเขาก็หวังได้การยอมรับ จ่ายค่าตอบแทนหนักขนาดนี้ ถ้าถึงตอนท้ายยังถูกคนหัวเราะเยาะก็พังทลายอยู่บ้างแล้ว
จี้หยวนเป่าปากโล่งอกเล็กน้อย รู้สึกว่าตนเป็นแบบที่เหยียนซีซาน[3]เคยกล่าวว่าต้องคอยพูดเอาตัวรอด แม่งเหนื่อยใจจริงๆ ยังดีที่เขาคนแซ่จี้พอมีฝีปากจึงผ่านมาได้ ไม่อย่างนั้นคงตายนานแล้ว
หากว่ามีโอกาสกลับไป เมื่อเห็นนิยายเล่มไหนหรือนิทานเรื่องใดบอกว่าคนข้ามมิติอยู่อย่างสบายอีก เขาจะค้นอินเทอร์เน็ตหาผู้แต่งแล้วเคาะหัวให้หนัก!
[1] หยางกั้ว หมายถึง เอี้ยก้วยจอมยุทธ์อินทรีผู้มีแขนเดียว
[2] ซาบซึ้งข้าวหนึ่งถุงเคียดแค้นข้าวกระสอบ หมายถึง การให้มากเกินไป กระทั่งเกิดความเคยชินจนส่งผลทางลบ
[3] เหยียนซีซาน คือ บุคคลสำคัญทางการเมืองของไต้หวันสมัยเจียงไคเชก