เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 19 ความจริงและความเลือนราง

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 19 ความจริงและความเลือนราง

ตอนนี้จี้หยวนกำลังคิด ภายใต้สถานการณ์ที่ลงเขาแล้วรักษาชีวิตไว้ได้ ต้องคิดหาวิธีรับประกันชีวิตตน จากนั้นค่อยลองดูว่ารักษาดวงตาได้หรือไม่ หรือกราบเป็นศิษย์ในสถานที่บำเพ็ญเซียนได้ไหม

แน่นอนว่าเขาอยากรู้แน่ชัดว่าตอนเจ้าภูเขาลู่เพิ่งจากไปก่อนหน้านี้ บนตัวพลันเกิดความเปลี่ยนแปลง รวมถึงภาพเหมือนตัวหมากที่วาบผ่านนั้นคืออะไรกันแน่

จี้หยวนคิดว่าแปดเก้าส่วนย่อมเกี่ยวข้องกับกระดานหมากขวานผุก่อนหน้านี้ ถึงขั้นไม่แน่ว่าอาจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ตนมาอยู่โลกนี้

ลมภูเขาพัดผ่าน ความผ่อนคลายเล็กน้อยทำให้จี้หยวนเซื่องซึมอยู่บ้าง

ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนไม่รู้ตัวหรือหลังมาถึงโลกนี้แล้วเพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จี้หยวนรู้สึกว่าความสามารถในการรับแรงกดดันของตนถึงกับเพิ่มขึ้นกะทันหัน

พวกเขาพักผ่อนริมธารนี้ประมาณสิบห้านาที หลังจากฟื้นฟูพลังกายบ้างแล้วก็มีคนช่วยปรับลมปราณให้ผู้บาดเจ็บสี่คนอีกครั้งก่อนเดินทางต่อ

ครั้งนี้พวกเขามุ่งลงเขารวดเดียว

ณ เมืองสุ่ยเซียน ผู้เฝ้ายามคนหนึ่งกับผู้สวมชุดทางการสองคนกำลังลัดเลาะผ่านตรอกถนนเงียบสงัด พวกเขาคนหนึ่งถือเกราะบอกยาม คนหนึ่งถือฆ้องทองแดง ยังมีอีกคนถือโคมไฟ

ป๊อก… ป๊อกๆๆ

เสียงเกราะไผ่ดังช้าหนึ่งเร็วสาม

“ยามสี่แล้ว…”

ป๊อก… ป๊อกๆๆ

“ยามสี่แล้ว…”

หลังจากเดินวนรอบหนึ่ง มองท้องถนนเงียบสงัด สามคนสวมเสื้อรัดกุม คิดเดินกลับจึงถือโอกาสพูดคุย

“เมื่อวานตอนกลางวัน ข้าได้ยินว่ามีจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งขึ้นเขาไปแล้ว”

“ไปทำอะไร”

“ดูเหมือนว่ารับภารกิจจากที่ว่าการอำเภอ ขึ้นเขาโคเทพไปฆ่าเสือ!”

“หา?”

ยามถือเกราะบอกเวลาตื่นเต้นอยู่บ้าง

“พวกเขากล้าขึ้นเขาเวลานี้หรือ ข้าเคยฟังนายพรานขายของพูดกัน สิ่งที่อยู่ในป่าไม่ใช่เสือร้ายธรรมดา แปดส่วนบอกว่าเป็นภูตแล้ว แม้แต่นายพรานพวกนั้นก็ไม่กล้าค้างบนเขาตอนกลางคืน”

“หือ พูดเกินจริงกระมัง”

“ยอมเชื่อว่ามีแล้วกัน!”

ยามพวกเขาพูดถึงประเด็นนี้ รู้สึกว่าอากาศเย็นลงไม่น้อยทันที ฝีเท้าไวขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเดินถึงสุดถนนเตรียมเลี้ยว หนึ่งในนั้นพลันเห็นว่าห่างออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้ เป็นพวกลู่เฉิงเฟิงที่กลับมานั่นเอง

“ตรงนั้นมีคน!”

เมื่อเข้าไปใกล้อีกหน่อย หนังเสือขาวผืนใหญ่นั้นทำให้พวกเขาเห็นแล้วหน้าผากเย็นวาบ

วันที่สองยามฟ้าสว่าง ข่าวว่าเสือร้ายบนเขาโคเทพถูกฆ่าแพร่ออกไปโดยมีเมืองสุ่ยเซียนเป็นศูนย์กลาง ที่ว่าการอำเภอหนิงอันส่งมือปราบทางการมาเมืองสุ่ยเซียนเพื่อตรวจสอบทันที

สมัยนี้ไม่ใช่ยุคประมวลผลด้วยเทคโนโลยีซึ่งจี้หยวนอยู่ คนมีเงินแต่งเมียน้อยยังเป็นเรื่องซุบซิบนินทา นึกไม่ถึงว่ามีจอมยุทธ์เข้าป่ากำจัดเสือร้ายกินคน หรือว่าเป็นเสือกินคนบนเขาโคเทพที่อาจเป็นภูตเสือซึ่งบอกต่อกันมาก่อนหน้านี้ ประเด็นร้อนนั้นไม่นิยมแย่หรือ

อำเภอหนิงอันซึ่งผู้คนอยู่อย่างเรียบง่าย ประชากรประกอบด้วยคนยี่สิบสองหมู่บ้านกับเมืองตรงเชิงเขา ทั้งหมดล้วนรู้ว่ามีพวกจอมยุทธ์ขึ้นเขาปราบเสือสำเร็จทันที คนไม่น้อยถึงขั้นรีบไปเมืองสุ่ยเซียนดูเรื่องสนุก น่าเสียดายว่าส่วนใหญ่คว้าน้ำเหลว ด้วยคนรีบเร่งมุ่งไปยังอำเภอหนิงอันแล้ว

สุดท้ายหนังเสือขาวเปื้อนเลือดผืนหนึ่งก็ถูกจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เก้าคนส่งมอบให้ที่ว่าการอำเภอหนิงอัน นายอำเภอหนิงอันสมเป็นขุนนางดีที่ประชาชนกล่าวถึง การกระทำซื่อตรง นอกจากมอบเงินรางวัลแปดสิบตำลึงเงิน[1]ตามประกาศแก่พวกจอมยุทธ์แล้ว ยังมอบเงินเจ็ดสิบตำลึงเงินเป็นค่าซื้อหนังเสือขาวล้ำค่าด้วย

วันที่สองหลังจากจอมยุทธ์เก้าคนกลับมา หรือก็คือวันแรกที่หนังเสือมาถึงที่ว่าการอำเภอหนิงอัน

ศาลาที่ว่าการอำเภอ หนังเสือขาวผืนใหญ่ที่รอยเลือดแห้งแล้วแต่ยังมีกลิ่นสาบเป็นระลอกวางอยู่บนโต๊ะแปดเซียน[2]ตัวหนึ่ง

หนังเสือนี้ถูกถลกด้วยทักษะชั้นสูง หัวกรงเล็บตัวหางล้วนไม่ตกหล่น

“เฮ้ย… ฟันยังอยู่ครบ!”

“โอ้ๆๆ เจ้าดูปากเสือตัวนี้สิ ใหญ่กว่าหัวข้าอีก!”

“เจ้าตัวนี้กินคนไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย!”

“แม่เจ้าโว้ย น่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าได้ยินว่าเสือร้ายตัวนี้เกือบเป็นภูตด้วย!”

“นั่นก็จริง ยังดีที่ตอนนี้ถูกฆ่าแล้ว มิฉะนั้นก็ไม่แน่!”

“จุ๊ๆๆ… จอมยุทธ์พวกนั้นไม่เพียงวิชายุทธ์สูงยังร้ายกาจด้วย!”

“ใช่แล้ว คนเจ็บสี่คนนั่นแต่ละคนล้วนบาดเจ็บหนัก เห็นแล้วน่ากลัวนัก! หมอถงซึ่งฝีมือการรักษาดีที่สุดในอำเภอบอกว่าโชคดีที่เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ ไม่อย่างนั้นคงตายนานแล้ว!”

มือปราบประจำที่ว่าการและนายทะเบียนพลเรือนบางคนล้วนล้อมหนังเสือพลางเอ่ยปากชม

นายอำเภอเฉินเซิงกับนายกองจูเหยียนซวี่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ฮ่าๆๆๆๆ ใต้เท้า ครานี้เสือร้ายถูกกำจัดแล้ว นับเป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่ของพวกเราอำเภอหนิงอัน”

“ไม่ผิด! ลำบากนายกองจูหาพวกพรานฝีมือดีแล้ว นำหนังเสือผืนนี้ไปฟอกดีๆ ข้าจะเตรียมแสดงมันตรงประตูที่ว่าการอำเภอหนิงอันสิบวันเพื่อเรียกขวัญประชาชน!”

“ใต้เท้าช่างหลักแหลม!”

อำเภอหนิงอันหากินกับภูเขา นอกจากพื้นที่เพาะปลูกตามธรรมชาติโดยพื้นฐานแล้ว เขาโคเทพซึ่งมีผลผลิตมากมายก็เป็นสมบัติของอำเภอหนิงอัน การกำจัดเสือร้ายไม่นับเป็นเรื่องเล็ก เศรษฐีท้องถิ่นยังถือโอกาสดีนี้จัดงานศาลเจ้าด้วย

อาการบาดเจ็บของคนเจ็บสี่คนทรงตัวแล้ว

หลังจากเย็บบาดแผลเยี่ยนเฟยกับลั่วหนิงซวงแล้วค่อยทายาจินชวง[3] ทานยาปรับเลือดลมอีกสองเทียบ ร่วมกับการปรับลมปราณดั้งเดิม ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว

จ้าวหลงซึ่งถูกหางเสือตวัดใส่บาดเจ็บภายในเป็นหลัก แต่ตัวเขามีพื้นฐานศิลปะการป้องกันตัวไม่เลว จึงไม่มีอันตรายนัก

ทว่าแขนของตู้เหิงแม้ลองจัดกระดูกแล้ว แต่ความจริงกล้ามเนื้อและกระดูกภายในล้วนแหลกละอียด ยึดตามคำพูดหมอถงคือโชคดีที่ถือตะเกียบกินข้าวไหว แต่คิดถือดาบคงเป็นไปไม่ได้แล้ว

ระหว่างนี้จี้หยวนทำอะไรอยู่

นอกจากลองขยับตัวว่ามีความสามารถพิเศษอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการอาบน้ำ!

ก็ไม่รู้ว่าขอทานเน่าเจ้าของร่างเดิมไม่อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ว ถึงกับต้องให้คนในโรงเตี๊ยมเปลี่ยนน้ำสำหรับอาบสามถังเต็มๆ ขัดขี้ไคลบนตัวหลุดออกไปหลายรอบ อาบเสร็จไม่เพียงรู้สึกว่าตัวเบาไม่น้อย แม้แต่สีผิวยังเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นมาหน่อย น่ากลัวจริงๆ!

วันที่สามของการเข้าพักโรงเตี๊ยม สุดท้ายจี้หยวนซึ่งจัดการตัวเองเรียบร้อยและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รู้สึกว่าตนไปเจอผู้คนได้แล้ว

เช้าวันนี้ลู่เฉิงเฟิงเดินเล่นในอำเภอหนิงอันเป็นเพื่อนจี้หยวน เตรียมไปเสาะหาบ้านเงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งจี้หยวนพักอย่างปลอดภัยที่นี่ได้

เช่าหรือซื้อค่อยว่ากัน

ตอนนี้จี้หยวนคิดว่าความเข้าใจของตนที่มีต่อโลกนี้ยังห่างไกลจากคำว่าพอ อย่าเพิ่งพรวดพราดดีกว่า

สำหรับเงินนี้มาจากไหน ที่ว่าการอำเภอหนิงอันให้มาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงินไม่ใช่หรือ จอมยุทธ์น้อยเก้าคนพูดว่าอย่างไรก็ต้องมอบเงินนี้ให้ผู้สมควรได้ที่แท้จริง หรือก็คือจี้หยวน

เรื่องแบบนี้จี้หยวนปฏิเสธแค่สองครั้งแล้วรับไว้ เขาสมควรได้รับจริงดังว่าไม่ใช่หรือ!

เมื่อรู้ว่าค่าใช้จ่ายหนึ่งปีของคนทั่วไปคือสองสามตำลึงเงิน ถ้าอยากซื้อบ้านอยู่อาศัยก็แค่หลักสิบตำลึง จี้หยวนยิ่งอยากซื้อบ้านหลังหนึ่งในอำเภอหนิงอันที่ว่ากันว่าผู้คนอยู่อย่างเรียบง่ายนายอำเภอไม่เลว

เขาตัวคนเดียว ข้อเรียกร้องไม่มาก ใช้ห้องเยอะแยะไม่หมด ขอแค่สถานที่เงียบสงบ มีลานบ้านส่วนตัว มีห้องครัวห้องนอนห้องส้วมก็พอแล้ว

จี้หยวนหลังเปลี่ยนชุดขอทานและตัวสะอาดแล้วท่าทางสุภาพเรียบร้อย ออกจะผอมซูบแต่ตัวสูงอยู่บ้าง ศีรษะประดับแพรพรรณ แม้ว่าตัวจี้หยวนเองมองไม่ชัด แต่รู้สึกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของตนน่าจะพอใช้ได้

ลู่เฉิงเฟิงก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น ติดตามท่านจี้เป็นหน้าที่ซึ่งพึงกระทำ แต่การหาบ้านต้องมีอสรพิษเจ้าถิ่น ข้างกายทั้งสองจึงมีชายวัยกลางคนตามมาด้วย เป็นนายหน้าคนหนึ่ง

สองสามวันนี้ในอำเภอคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยคนมากมายมาที่นี่เพื่อดูหนังเสือกินคนซึ่งทางการแสดง เนื่องจากเป็นหนังเสือขาวหายากจึงยิ่งทำให้ผู้คนแห่กันมา กอปรกับมีงานศาลเจ้า กระทั่งอำเภอใกล้เคียงไม่ขาดคนว่างงาน

จี้หยวนไม่ได้มาซื้อบ้านอย่างเดียว ยังคิดฉวยโอกาสนี้เรียนรู้ความคิดของคนที่นี่

บนท้องถนนยามนี้คนสัญจรขวักไขว่คับคั่ง ทำให้ทั้งอำเภอคึกคักเหมือนฉลองปีใหม่

ความรู้สึกของจี้หยวนตอนนี้แปลกใหม่อย่างยิ่ง ต่อให้ดวงตาไม่ปกติ แต่ทักษะการแยกแยะเสียงขั้นสูง ทำให้เขาได้ยินทุกเสียงพูดคุย เสียงหยอกล้อ ต่อรองราคาบนถนนจากทั่วทิศทาง ถึงขั้นมีเสียงวิวาทด้วย

“ผลไม้เคลือบน้ำตาล… ผลไม้เคลือบน้ำตาล…”

“ผ้าลายชั้นเลิศแพรไหมชั้นดี!!”

“แป้งแดงชาด ขายแป้งแดงชาดจ้า!”

“กระบอกพู่กันแกะสลัก ไม้จันทน์หอม ไม้กฤษณา ไม้ดอกสาลี่ล้วนมีหมด สี่สมบัติประจำห้องหนังสือ[4]เชิญมาลองดู!”

ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านถาวรหรือแผงลอยข้างทางล้วนมีคนขายของส่งเสียงตะโกนดังเป็นระยะๆ ถึงอย่างไรสองวันนี้ในเมืองก็คึกคักมาก

เดิมคิดว่าจะเอะอะอึกทึกจนหูรับไม่ไหว คิดไม่ถึงจี้หยวนค้นพบว่าตัวเองไม่รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่น้อย กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่าเดิม

จี้หยวนลืมตาแค่เล็กน้อยอยู่ตลอด เวลาลืมตานานจะปวดแสบมาก แต่สิ่งอัศจรรย์คือต่อให้การมองเห็นเป็นเช่นนี้ เขากลับเดินได้ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป

พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ก่อนหยุดตรงหน้าร้านสี่สมบัติประจำห้องหนังสือ นอกร้านยังตั้งโต๊ะอีกสองตัว ด้านบนมีของใช้ประจำโต๊ะหนังสือนานัปการวางอยู่ มีลูกจ้างคนหนึ่งยืนทักทายแขกนอกร้านโดยเฉพาะ

“ลูกค้าท่านนี้ ท่านดูกระบอกพู่กันนี้สิ เป็นเครื่องใช้ประจำห้องหนังสือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของพวกเราอำเภอหนิงอัน ทำจากไม้พะยูงชั้นเลิศ ฝีมือปรมาจารย์ ลายสลักประณีต ขุนนางผู้สูงศักดิ์ล้วนชื่นชอบ!”

ชุดรัดรูปของลู่เฉิงเฟิงค่อนข้างจริงจัง แม้ว่าจี้หยวนแต่งกายเรียบง่ายแต่ดูแล้วมีมาดมาก ไม่ค่อยเหมือนพวกขาดเงิน ส่วนนายหน้าคงถูกมองเป็นข้ารับใช้แล้ว

ดวงตาจี้หยวนมองกระบอกพู่กันแล้วเห็นแค่สีเหลืองเข้มเลือนรางแถบหนึ่ง เบิกตาอีกหน่อยก็ไม่เป็นผล ได้แค่ย่อตัวยื่นมือสัมผัสอย่างระวัง แตะโดนกระบอกพู่กันแล้วจึงหยิบขึ้นมา เอียงหน้ามองทุกกระเบียด สัมผัสลวดลายขึ้นลงผ่านนิ้วมือ ทั้งพยายามฟังเสียงลายนิ้วมือกระทบกระบอกพู่กันโดยละเอียด

กระบวนการนี้ทำให้กระบอกพู่กันชิ้นนี้ปรากฏในสมองอย่างชัดเจน

‘แม่งฝีมือยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!’

บนกระบอกพู่กันชิ้นนี้มีภูเขาแม่น้ำมีผู้คน ภาพแน่นขนัดคนเหมือนมีชีวิต ถึงขั้นทำให้เขานึกถึงบทเรียนเรื่องบันทึกเรือสลัก[5]

จี้หยวนแค่นึกสงสัยอยากลองดูงานฝีมือของที่นี่ แต่กลับถูกทำให้ตกตะลึง

พ่อค้าดาษดื่น คนสัญจรเตร็ดเตร่ เสียงอึกทึกโดยรอบ รวมถึงความประณีตของงานฝีมือชิ้นเล็กพวกนี้ ทำให้จี้หยวนรู้สึกถึงความรุ่งเรืองและสมจริง ได้กลิ่นอายของชีวิตอย่างหนึ่ง ทักษะการฟังอันโดดเด่นช่วยเขาสัมผัสความรู้สึกของคนทุกอาชีพเพียงพริบตา

จี้หยวนลืมตาซึ่งปวดแสบอยู่บ้างขึ้นช้าๆ ภาพเลือนรางเล็กน้อย จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งยอมรับความจริง ตนไม่ได้อยู่ในโลกมิติเดิมแล้วจริงๆ

[1] ตำลึงเงิน คือ หน่วยเงินจีนโบราณ สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง

[2] โต๊ะแปดเซียน หมายถึง โต๊ะซึ่งมีม้านั่งยาวสี่ด้าน นั่งได้ข้างละสองคน รวมมากสุดแปดคน

[3] ยาจินชวง คือยาขนานโบราณ มีฤทธิ์ห้ามเลือด

[4] สี่สมบัติประจำห้องหนังสือ หมายถึง สิ่งสำคัญประจำห้องหนังสือได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก

[5] บันทึกเรือสลัก คือ บทประพันธ์ช่วงราชวงศ์หมิง กล่าวถึงงานฝีมือซึ่งแกะสลักบนของขนาดเล็กเป็นรูปเรือ สะท้อนความเป็นเลิศด้านศิลปะการแกะสลักแบบจีนสมัยโบราณ

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท