ตอนที่ 21 ควบคุมมือรับปราณวิญญาณเขียว
ต่อให้ลู่เฉิงเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง แต่ตอนนี้รู้สึกสันหลังเย็นวาบอยู่บ้าง เขาหันมองไปทางนายหน้าคนนั้นอย่างเหี้ยมเกรียม ในเมื่อเจ้าหมอนี่เป็นอสรพิษเจ้าถิ่นด้านนี้ ไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“เอ่อ ระ เรื่องนี้ข้าลืมไป… ข้า…”
“หึ!”
นายทะเบียนเหลือบมองเขาก่อนเอ่ยปากกล่าว
“ความจริงพวกเราศาลาว่าการเคยตามผู้ล่าสิ่งชั่วร้ายมาตรวจสอบบ้านนี้โดยเฉพาะ ทว่าคว้าน้ำเหลว ถึงขั้นเคยเชิญภิกษุนักพรตยอดฝีมือมาทำพิธีทางศาสนา ส่วนเรือนนี้เป็นอย่างไรก็ต่างคนต่างไม่อาจเข้าใจ ข้านายทะเบียนตัวเล็กๆ แค่เตือนท่านด้วยความรับผิดชอบเท่านั้น!”
เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบ นายทะเบียนลูบเครามองลู่เฉิงเฟิง
“จอมยุทธ์น้อยลู่ ยังอยากซื้อเรือนหลังนี้อยู่หรือไม่”
ลู่เฉิงเฟิงลังเลอยู่บ้าง ในเมื่อเรือนนี้คล้ายบ้านผีสิงมาก แน่นอนว่าไม่อาจซื้อ แม้แต่บันทึกของทางการยังเขียนเรื่องพวกนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริงซื้อไปไม่ทำร้ายท่านจี้หรือ!
“เฮ้อ ในเมื่อเป็นบ้านผีสิง เช่นนั้นข้า…”
เดี๋ยวก่อน!
ลู่เฉิงเฟิงพูดถึงครึ่งทางแล้วอึ้งงันครู่หนึ่ง เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าตนช่วยใครซื้อบ้านอยู่
นั่นเป็นถึงท่านจี้ ผู้สูงส่งที่ทำให้อสูรเสือบนเขาโคเทพคุกเข่ากราบไหว้ขอคำชี้แนะเหมือนศิษย์! ยอดบุคคล! ผู้ร้ายกาจ!
จากนั้นเขาหวนนึกถึงคำพูดท่านจี้ยามตัดสินใจซื้อบ้านก่อนหน้านี้ บ้านลานซึ่งทั้งถูกทั้งสง่างามขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ซื้อ ต่อให้มีเศษฝุ่นอยู่บ้าง เก็บกวาดหน่อยก็พอแล้ว
มีเศษฝุ่นอยู่บ้าง? เก็บกวาดหน่อย?
สิ่งที่เรียกว่าบ้านผีสิง ถ้าเป็นเรื่องจริง ท่านจี้มีหรือจะดูไม่ออก ถ้าเป็นเรื่องเท็จ นั่นยิ่งไม่มีปัญหาแล้ว!
“ใต้เท้านายทะเบียน ข้ายังซื้อเรือนนี้ ทว่าไม่ใช่ข้าคนแซ่ลู่อยู่อาศัย แต่เป็นอาจารย์คนหนึ่งของข้าน้อย”
นายทะเบียนมองเขาอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง มือปราบอีกคนภายในห้องก็ยากปกปิดสีหน้าตกใจเช่นกัน มีเพียงนายหน้าที่แอบดีใจ
“จอมยุทธ์น้อยลู่ ท่านคงใคร่ครวญดีแล้ว ในเมื่อเป็นอาจารย์ยิ่งควรไตร่ตรองโดยละเอียด!! ท่าน… แน่ใจว่าจะซื้อหรือ”
“ใต้เท้านายทะเบียนโปรดวางใจ ข้าคนแซ่ลู่รับผิดชอบเอง!”
นายทะเบียนส่ายหัวเล็กน้อย ทั้งไม่โน้มน้าวมากอีก เขาทำตามหน้าที่เต็มกำลังแล้ว บ้านผีสิงเดิมพูดไปก็ไม่มีข้อพิสูจน์ เขาชี้พู่กันบนที่วางและจานฝนหมึกที่อยู่ด้านข้าง
“เช่นนั้นก็ดี เชิญจอมยุทธ์น้อยลู่ลงนามบนบันทึกผู้อยู่อาศัยแทนอาจารย์ของท่าน จากนั้นค่อยจ่ายสามสิบหกตำลึงเงิน!”
ลู่เฉิงเฟิงไม่พูดอะไรมากอีก หยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึกเล็กน้อย จากนั้นค่อยเขียนอักษรสองตัวลงบนบันทึก วางพู่กันกลับจุดเดิม มอบตั๋วเงินสิบตำลึงสามใบกับตั๋วเงินห้าตำลึงหนึ่งใบที่ออกโดยร้านแลกเงินท้องถิ่น ก่อนหยิบเงินอีกหนึ่งตำลึงออกมา
นายทะเบียนรับตำลึงเงินมา ตรวจตั๋วเงินและชั่งน้ำหนักเงินแท่งโดยละเอียด ก่อนเก็บเงินเข้าลิ้นชัก จากนั้นค่อยหันมองบันทึกรอบหนึ่ง ‘จี้หยวน’ ตัวอักษรเขียนอย่างประณีต ใคร่ครวญแล้วดูเหมือนว่าบรรดาผู้ล่าเสือเก้าคนไม่มีใครชื่อนี้
“เอาล่ะ จอมยุทธ์น้อยลู่รอสักครู่ ข้าไปหยิบกรรมสิทธิ์บ้านกับโฉนดที่ดินก่อน”
นายทะเบียนลุกขึ้น ค้นหาตามตราชั้นวางหนังสือสองสามตัวด้านหลัง จากนั้นจึงหยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากกล่องไม้ หาสัญญาซื้อขายของเรือนนี้เจอจากในนั้น ก่อนหันหลังกลับมามอบให้ลู่เฉิงเฟิง
“เรียบร้อย โปรดรักษาให้ดี!”
“ขอบคุณใต้เท้านายทะเบียน!”
ลู่เฉิงเฟิงกล่าวขอบคุณแล้วหยิบสัญญาซื้อขายมาดูผ่านตา บนเอกสารประทับตราทางการพร้อมหมายเหตุและข้อปลีกย่อยที่ควรมีก็ครบถ้วน
“เอาไป นี่คือค่านายหน้าของเจ้า! เงินหนึ่งตำลึงสิบแปดบาท”
นายทะเบียนดันตำลึงเงินกับเหรียญทองแดงกองน้อยไปตรงมุมโต๊ะ ที่นั่นยังมีเครื่องชั่งขนาดเล็กด้วย
“โอ้ ขอรับ!!”
นายหน้าควบคุมรอยยิ้มไม่อยู่ รีบรับค่านายหน้าของตนจากมือนายทะเบียน ไม่แม้แต่จะชั่งน้ำหนักก็เก็บเข้าถุงเงินของตน
หากการซื้อขายสำเร็จ ค่านายหน้าผู้ขายเป็นฝ่ายจ่าย บ้านยิ่งแพงยิ่งให้เยอะ สูงสุดอาจถึงสิบตำลึง หากทำไม่สำเร็จ นายหน้าอย่างเขาย่อมได้แค่ค่าเหนื่อยจากการนำทางซึ่งผู้ซื้อมอบให้
จากนั้นลู่เฉิงเฟิงกับนายหน้าก้าวออกจากที่ว่าการนายทะเบียนพร้อมกัน ฝ่ายหลังพ้นประตูก็วิ่งผลุบหายไปราวหมอกควัน กลัวลู่เฉิงเฟิงมาคิดบัญชีกับเขา
“หึ พวกไม่เอาการเอางาน!”
ลู่เฉิงเฟิงมองเงาหลังซึ่งหนีเตลิดไปแล้วแค่นเสียงเย็นชา เมื่อครู่เขาอยากเตะสักป้าบจริงๆ ผลคือเจ้าหมอนี่เผ่นเร็วยิ่งกว่าปลาไหลโคลน ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาพลาดโอกาสดี ถ้าตามไปต่อยคงเสียหน้าแย่
…
โรงเตี๊ยมเมฆาเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในอำเภอหนิงอันที่ไม่เลวนัก ใกล้อารามกลางเมืองและถนนการค้า กลางวันครึกครื้นกลางคืนเงียบสงบ จอมยุทธ์น้อยเก้าคนกับจี้หยวนพักอยู่ห้องพิเศษคนละห้อง
ตอนนี้จี้หยวนนั่งอยู่ภายในห้อง เปิดหน้าต่างฟังเสียงอึกทึกครึกโครมข้างนอกอย่างเหม่อลอย
มาถึงโลกนี้หลายวันแล้ว ความจริงจี้หยวนโดดเดี่ยวมาก
แม้พวกลู่เฉิงเฟิงและเยี่ยนเฟยไม่เลวนัก แต่เขาไม่อยากทั้งไม่อาจตามพวกเขาตลอด จี้หยวนเคยแอบถามหมอบางคนในเมือง ปัญหาด้านการมองเห็นของเขาทุกคนล้วนบอกว่าจนปัญญา ส่วนวาสนาเซียนที่ตนคาดหวังตอนนี้ยิ่งไม่มีวี่แวว
แต่กลับคิดเรื่องวิชายุทธ์ได้บ้าง ถึงอย่างไรพวกลู่เฉิงเฟิงก็มีวิชายุทธ์จริงๆ ต่างจากละครย้อนยุคปลอมที่เห็นในโทรทัศน์พวกนั้นเมื่อชาติก่อน เป็นกระบวนท่าดุดันเหาะเหินเดินอากาศได้จริง
แต่คนตาบอดในสายตาของคนนอกอย่างเขา ทั้งเป็นยอดฝีมือต่างแดนในภาพความทรงจำของบางคน เอ่ยปากต้องการตำราลับ? ขอคำชี้แนะจากคนอื่น?
ดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะอยู่บ้าง
จี้หยวนผู้เหม่อลอยหวนนึกถึงกระดานหมากขวานผุตอนนั้นอีกครั้ง เพราะอะไรถึงปล่อยให้เราพบเจอ ตอนนั้นถ้าเราไม่เข้าไป ไม่มือบอนวางหมากบนจุดเทียนหยวน เราจะ…
จี๊ดๆ…
ยามเสียงบางแทบไม่ได้ยินภายในกายดังขึ้น แขนชาเหมือนไฟฟ้าสถิต คล้ายตอนไม่ระวังศอกกระแทก ชาตรงไปถึงปลายนิ้ว แต่กลับเป็นแค่นิ้วชี้กับนิ้วกลาง
มายาหมากตัวหนึ่งวนรอบปลายนิ้วตามกระแสไฟฟ้า
“เชี่ย!”
จี้หยวนสบถออกมาคำหนึ่ง ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวหลังเจ้าภูเขาลู่จากไปก่อนหน้านี้กล่าวได้ว่าเขายังจำได้ดี
สองสามวันนี้หลังจากลงเขา ไม่รู้ว่าเขาลองวิชายามส่วนตัวกี่ครั้ง ถึงขั้นเลียนแบบสไปเดอร์แมนพ่นใยลองทำท่าตลกทุกแบบมารอบหนึ่ง ล้วนไม่เห็นผลอะไร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับปรากฏอีกครั้ง
แต่ปัญหาตามมาแล้ว สิ่งนี้ทำอะไรได้ เชื่อมต่อเส้นปราณหยินหยางหรือ
น่าเสียดายที่ไม่เกิดเหตุอัศจรรย์อะไรตามคำพูด ทั้งจี้หยวนไม่รู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่อาจเชื่อมต่อวัฏจักรเส้นปราณอะไรได้
แต่ภายในห้องกลับมีลมพัดแผ่วเบาช้าๆ คล้ายมีกระแสลมเลือนรางถูกดูดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
จี้หยวนพลันไม่สนความเจ็บปวดแล้วลืมตาครึ่งหนึ่ง เขาพบว่ารอบตัวหมากมายาตรงปลายนิ้วมือขวามีปราณวิญญาณเขียวเลือนรางมากมายปรากฏ
ประกอบกับกระแสลมเล็กน้อยภายในห้อง จี้หยวนซึ่งเหมือนนึกอะไรได้หันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง เห็นว่ามีปราณวิญญาณเขียวหลายสายลอยมาเป็นครั้งคราว
สายตาหันกลับมามองปลายนิ้ว ปราณวิญญาณเขียววนเวียนรอบหมากมายาจนกลายเป็นวังวนเล็กๆ ลมภายในห้องเปลี่ยนจากเลือนรางเป็นแรงขึ้นเล็กน้อย ทำให้สิ่งของจำพวกผ้าม่านส่ายสั่นไปมา
เวลานี้ความสนใจและจิตวิญญาณทั้งหมดของจี้หยวนล้วนจดจ่อกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จนถึงชั่วขณะที่จิตใจกระปรี้กระเปร่า ในสมองขับเคลื่อนความคิด ปราณเขียวพวกนี้พากันหายเข้าไปในตัวหมาก
ตึกๆๆ…
“ท่านจี้ ข้าเฉิงเฟิง ข้ากลับมาจากที่ว่าการแล้ว!”
เมื่อเสียงเคาะประตูทำให้ตกใจ จี้หยวนผ่อนคลายความคิด หมากในมือหายเข้าไปในปลายนิ้วอีกครั้ง
จี้หยวนมองปลายนิ้วตัวเองอย่างอึ้งงันอยู่บ้าง ยังดื่มด่ำอยู่กับความอัศจรรย์เมื่อครู่ ไม่ถึงขั้นหัวเสียด้วยถูกรบกวนนัก ปรากฏครั้งหนึ่งได้ย่อมปรากฏครั้งที่สองได้เป็นธรรมดา
“ท่านจี้ ท่านอยู่ข้างในหรือไม่”
ลู่เฉิงเฟิงเอ่ยถามตรงประตูอีกครั้ง คราวนี้จี้หยวนถึงได้สติกลับมา หันกลับไปกล่าวคราหนึ่ง
“เข้ามาเถอะ!”
ลู่เฉิงเฟิงที่อยู่นอกประตูจึงเปิดประตูห้อง แต่ยังไม่ก้าวเข้าไปก็อึ้งงันแล้ว
นั่นคือความรู้สึกที่ถูกกลิ่นอายไม่ธรรมดาพัดผ่าน บนตัวรู้สึกชาเหมือนไฟฟ้าสถิตชั่วขณะ
สายลมเย็นล้อมรอบห้องยังไม่ซ่านสลาย ศอกขวาจี้หยวนวางอยู่บนโต๊ะ มือเขาตั้งท่านิ้วกระบี่ลวกๆ ผ้าม่านในห้องกระเพื่อมไหวราวพู่กันบนโต๊ะสั่นคลอน สายลมเย็นเหมือนล้อมรอบตัวเขา หลังเขาเปิดประตูจึงจางไปทันที กระแสลมภายในห้องนิ่งสงบ
ระหว่างที่ลมนิ่งสงบลงทีละน้อย ลู่เฉิงเฟิงพบว่าแม้แต่จิตใจตนก็สงบลงด้วย ยามหายใจรู้สึกว่าร่างกายแช่มชื่นผ่อนคลาย ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูเนิ่นนานไม่เคลื่อนไหว
จี้หยวนยังหวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ หลังจากตัวหมากกลับเข้าไปในร่างใหม่อีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายปลอดโปร่งมาก มีความรู้สึกเหมือนคนเหนื่อยล้าเพิ่งนวดจับเส้นขูดผิวหนังเสร็จ สุดท้ายจึงพบว่าลู่เฉิงเฟิงยังคงอึ้งงันไม่เดินเข้ามา
“จอมยุทธ์น้อยลู่ ไยเจ้ายืนนิ่งอยู่ตรงประตู”
“เอ่อ ท่านจี้ ตอนนี้ข้าสะดวกเข้าไปหรือไม่”
“มีอะไรไม่สะดวกเล่า”
จี้หยวนมั่นใจมากว่าการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางอย่างจากตัวหมากสลายหายไปตอนเคาะประตูแล้ว ดังนั้นอย่างมากลู่เฉิงเฟิงก็เห็นแค่กระแสลมเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งไม่เห็นจะเป็นไร ถึงอย่างไรก็เปิดหน้าต่างอยู่
“อะ อ้อ คืออย่างนี้ท่านจี้ เรือนหลังนั้นข้าช่วยท่านซื้อมาแล้ว นี่คือกรรมสิทธิ์บ้านโฉนดที่ดินและกุญแจ”
ลู่เฉิงเฟิงเข้ามาในห้อง หยิบเอกสารและสัญญาซื้อขายออกมาจากอก รวมถึงกลอนกุญแจด้วย
แต่จี้หยวนใจไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่บ้าง นึกถึงความรู้สึกบนตัวเมื่อครู่โดยละเอียด พลางมองตัวอักษรเงื่อนไขทางการกับตราประทับแดงแน่นขนัดบนโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์บ้าน รวมถึงชื่อของจี้หยวนบนเอกสาร
ตั้งแต่ชาติก่อนถึงตอนนี้ นี่คือบ้านหลังแรกในชีวิตที่เขาจี้หยวนซื้อด้วยตัวเอง