ตอนที่ 31 เทพหลักเมือง
ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทำให้เสี่ยวอิ๋นชิงที่คิดเอาเองว่าซ่อนตัวดีแล้วแอบมองจี้หยวนช่วงหนึ่ง ผลคือยิ่งมองยิ่งขนพองสยองเกล้า ในที่สุดก็หนีมาอย่างอดไม่ได้
ครานี้อิ๋นชิงไม่กล้ากลับไปหาพวกพ้องที่ออกมาเล่นด้วยกันอีก เวลาเด็กกลัวจะทำอะไร หนีกลับบ้านหาพ่อแม่อย่างไรเล่า!
ดังนั้นอิ๋นชิงก็เป็นเช่นนี้ วิ่งกระหืดกระหอบตรงกลับบ้าน
บ้านอิ๋นชิงอยู่ตรอกเทียนหนิวเช่นกัน นับว่าอยู่ห่างจากตรงมุมอย่างเรือนสันติ แต่ความจริงถ้าเป็นทางตรงก็ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร
ตระกูลอิ๋นอาศัยอยู่เรือนเล็กกำแพงเตี้ย หลังหนึ่งมีห้องรับแขกกับห้องด้านใน ใช้เพียงฉากกั้นเรียบง่ายแบ่งห้องรับแขกซึ่งนับว่ากว้างขวางออก กลายเป็นห้องรับแขกกับสถานที่อ่านหนังสือของพ่อลูกตระกูลอิ๋น ห้องครัวอยู่ด้านนอกติดกับเรือนหลัก โดยรวมนับว่าเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป
อิ๋นชิงวิ่งกลับบ้านรวดเดียวเช่นนี้ เปิดประตูเรือนดังปัง จากนั้นก็พุ่งเข้าห้องรับรอง ทำให้มารดาตระกูลอิ๋นที่กำลังทอผ้าอยู่ในบ้านตกใจ
“ท่านแม่ๆ ทะ ทางนั้น มีคุณชาย เขา ฮู่วๆ… คุณชายคนนั้นกับผี ฮู่วๆ…”
“อย่ารีบร้อน พูดดีๆ คุณชงคุณชายอะไรกัน!”
มารดาตระกูลอิ๋นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้อิ๋นชิง
“อายุเท่าไหร่แล้ว พูดจาไม่ปะติดปะต่อใช้ได้ที่ไหน!”
เสียงเข้มงวดดังมา ทำเอาอิ๋นชิงตกใจ แม้แต่ความรู้สึกกลัวที่คล้ายว่าเจอผีก่อนหน้านี้ยังสะกดกลั้นไว้
“ท่านพ่อ ท่านอยู่บ้านหรือ…”
อิ๋นชิงหันกลับมาจึงเห็นว่าบิดาตนกำลังนั่งเปิดหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างห้องรับแขก
“ชิงเอ๋อร์ พ่อของเจ้าถูกท่านจูกับท่านโจวเลือกเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาซึ่งสร้างใหม่ภายในอำเภอ ภายหน้าไม่ต้องไปเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่จวนตระกูลจูแล้ว”
“อาจารย์? จริงหรือท่านพ่อ เริ่มงานเมื่อไหร่”
อิ๋นชิงฟังข่าวนี้แล้วดูตื่นเต้นมาก
“หึๆ แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ยังต้องรอเวลาสองสามวัน แต่ไม่มีทางนานเกินไป!”
บิดาตระกูลอิ๋นลูบเคราตอบอย่างย่ามใจอยู่บ้าง
“ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาด้วย อย่ามัวแต่เล่นข้างนอกทั้งวัน อ่านตำราปราชญ์เมธี อนาคตสอบผ่านสร้างชื่อถึงเป็นทางออกที่แท้จริง!”
“อ้อ…”
ความจริงอิ๋นชิงเกลียดการอ่านหนังสือมาก แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านบิดา
ในอำเภอหนิงอันเดิมเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้อ่านหนังสือ แต่ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตอาวุโสที่ความรู้ไม่ถึงขั้นสูงไม่ด้อยต่ำเตี้ยจึงสร้างสำนักส่วนตัวของตนเอง
สำหรับสำนักศึกษาคราวนี้นับได้ว่าเป็นสถานศึกษาซึ่งค่อนข้างทางการมีคุณภาพของอำเภอหนิงอัน ตามทฤษฎีนับว่าด้อยกว่าสถานศึกษาพวกนั้นเพียงเล็กน้อย ทั้งด้านช่วงอายุของสำนักศึกษาค่อนข้างต่ำ ช่วงอายุของสถานศึกษาค่อนข้างสูง ถ้ามีปัจจัยหลายคนจะเลือกให้บุตรเติบใหญ่ในสำนักศึกษายามอายุยังน้อยก่อนค่อยไปสถานศึกษา
ในฐานะที่อิ๋นจ้าวเซียนเป็นบัณฑิตซึ่งเคยได้รับรางวัลอันดับสองของการสอบบรรยายระดับจังหวัด แน่นอนว่านับเป็นบุคคลชั้นยอดของเหล่าบัณฑิตทั่วอำเภอหนิงอัน ถูกเลือกเป็นอาจารย์สำนักศึกษาเขาคิดว่าเป็นเรื่องปกติมาก แน่นอนว่าเจือความหยิ่งทะนงด้วย
“จริงสิ เมื่อครู่ลนลานเรื่องอะไร”
อิ๋นจ้าวเซียนวางตำราลงพลางมองอิ๋นชิง
“อะ อ้อ ใช่ ท่านพ่อ เรือนสันติหลังนั้นมีผู้อาศัยใหม่อีกแล้ว เป็นคุณชายผู้สุภาพเรียบร้อย อีกทั้งอ่อนโยนมาก ตะ แต่เขาพูดคุยกับผีข้างใน…”
“ชู่ว…”
มารดาตระกูลอิ๋นปิดปากอิ๋นชิงทันที
“เรื่องนี้พูดส่งเดชได้หรือ”
สีหน้าอิ๋นจ้าวเซียนไม่น่าดูนัก ต่อให้ความรู้เขานับว่ากว้างขวาง รู้ถึงความโง่เขลาของชาวบ้านมากมาย แต่สำหรับเรือนสันตินั้นยังลึกลับ ความจริงคือเรือนนั้นแปลกเกินไปหน่อย
จากนั้นอิ๋นจ้าวเซียนพลันตอบสนองกับอะไรบางอย่าง จ้องมองบุตรชายของตนแล้วเอ่ยถาม
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เอ่อ… คือ… คุณชายคนนั้นตาใช้การไม่ได้นัก เมื่อครู่หาบน้ำตรงบ่อน้ำคู่แล้วน้ำกระเซ็นถังน้ำพลิกคว่ำ ข้าก็เลยช่วยเขาหาบน้ำ ใครจะรู้ว่าเขาอยู่เรือนสันติเล่า…”
อิ๋นชิงกดเสียงต่ำกล่าวอย่างหวั่นหวาดอยู่บ้าง
“เจ้าเข้าไปแล้วหรือ”
มารดาตระกูลอิ๋นถามอย่างกังวล แม้ว่าเข้าเรือนสันติตอนกลางวันฟ้าสว่างน่าจะไม่มีปัญหา แต่สถานที่นั้นแปลกเกินไป อิ๋นชิงยังเด็กทั้งธาตุไฟอ่อนแอ ผู้ใหญ่คงอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่เคยกำชับหลายครั้งขนาดนั้น ข้ามีหรือจะกล้าเข้าไป แค่วางคานลงตรงประตู แต่หลังจากข้าวิ่งออกมา ข้าเห็นคุณชายคนนั้นยืนหันหน้าพูดไปอีกทางจากไกลๆ ที่นอกเรือน ยกน้ำเข้าเรือนแล้วออกมาข้างนอก ก้าวเดินพลางพูดคุยเหมือนด้านข้างมีอะไรตามมา ยังพูดเรื่องยามมีชีวิตหลังตายอะไรด้วย น่ากลัวจริงๆ ข้ากลัวมากจนวิ่งกลับบ้านเลย!”
อิ๋นชิงพูดจบแล้วเอ่ยถามบิดาประโยคหนึ่งด้วยความหวาดกลัวและสงสัย
“ท่านพ่อ ท่านว่าผีภายในเรือนสันติตามคุณชายคนนั้นออกมาด้วยกันหรือไม่”
อิ๋นจ้าวเซียนฟังแล้วขนลุกขนชัน มารดาตระกูลอิ๋นยิ่งปิดปากอิ๋นชิง
“เอาเถิดๆ ภายหน้าอย่าวิ่งไปเล่นตรงนั้น อีกอย่างเรื่องนี้… อย่าพูดส่งเดชข้างนอกเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
“อืม เข้าใจแล้ว!”
มารดาตระกูลอิ๋นกอดอิ๋นชิงพลางลูบหัวเขา
“ท่านพี่ พาชิงเอ๋อร์ไปศาลหลักเมืองกราบเทพหลักเมืองเพื่อสะเดาะเคราะห์ดีหรือไม่”
สุดท้ายก็เป็นเรื่องบุตรชายตน ทั้งอิ๋นจ้าวเซียนยังไม่ใช่พวกหัวโบราณ ถ้าเป็นบัณฑิตเคร่งครัดบางคนคาดว่าคงเหน็บแนมว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและจิตวิญญาณ แต่เรือนสันติค่อนข้างแปลกประหลาด
“ได้! รอทานข้าวกลางวันเสร็จ ข้าพาชิงเอ๋อร์ไปศาลหลักเมืองเพื่อจุดธูปเอง!”
หลายปีก่อนมีนักพรตเฒ่างกเงิ่นพูดว่าอำเภอหนิงอันมีเทพหลักเมืองคุ้มครอง ตั้งแต่นั้นมาช่วงปีใหม่ฉลองเทศกาลผู้คนตรอกเทียนหนิวมักไปกราบไหว้บ่อยขึ้น
…
จี้หยวนตามผู้ลาดตระเวนลัดเลาะผ่านครึ่งอำเภอหนิงอันจนมาถึงศาลหลักเมืองบนตรอกศาลเจ้า หลังจากมาถึงสถานที่ซึ่งมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ จี้หยวนกับผู้ลาดตระเวนไม่พูดคุยอะไรกันอีก
กระทั่งถึงหน้าศาลหลักเมืองที่ครึกครื้น ชายชราคนหนึ่งยืนหน้าโต๊ะบูชา ผู้ลาดตระเวนรีบเข้าไปคารวะ
“เรียนใต้เท้าหลักเมือง ท่านจี้มาแล้วขอรับ!”
ด้วยด้านข้างมีชาวบ้านผู้เซ่นไหว้สวนกันไปมา เทพหลักเมืองแค่พยักหน้ากับผู้ลาดตระเวน
ฝ่ายหลังกล่าวว่า ‘ข้าน้อยขอลา’ แล้วลอยจากไป
เดิมจี้หยวนคิดว่าพอถึงสถานที่ลับในศาลเจ้า เทพหลักเมืองจึงจะปรากฏตัว คิดไม่ถึงว่าเทพหลักเมืองกลับปรากฏตัวนอกศาลด้วยรูปลักษณ์ของชายชราปุถุชนคนหนึ่ง
เขาพินิจเทพหลักเมืองอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ดวงตาสีเทาครึ่งหนึ่งของจี้หยวนไม่อาจมองออกว่าแววตาหดรัดหรือขยาย เรียกว่าราบเรียบนิ่งสงบอย่างแท้จริง
บนตัวเทพหลักเมืองก็มีกลิ่นจันทน์หอมจางๆ แต่กลับน้อยกว่าสี่ขุนนางก่อนหน้านี้มาก
เทพหลักเมืองสังเกตจี้หยวนเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นแค่มองก็รู้ว่าใช้การไม่ได้แล้ว แต่ตอนมาท่านจี้คนนี้กลับไม่ต่างจากคนทั่วไป ดวงตาทั้งสองมืดบอดแต่ไม่รู้สึกว่าขุ่นมัว กลับเจือความเวิ้งว้างเรียบง่ายเสี้ยวหนึ่ง ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ!
ความจริงการสังเกตกันเกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นชายชราเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
“เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันซ่งซื่อชางขอบคุณท่านจี้ที่คุณธรรมสูงส่ง ลงมือช่วยพวกเรากำจัดผีร้าย!”
เมื่อเห็นชายชราประสานมือ จี้หยวนย่อมไม่กล้าอาจหาญ ตรงหน้าคือเทพหลักเมืองของอำเภอหนึ่ง บุคคลสำคัญของเหล่าเทพผี เขารีบประสานมือเช่นกัน ท่าทางยังนอบน้อมกว่าชายชรา
“ใต้เท้าหลักเมืองให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ข้าน้อยแค่พอมีฝีมือต่ำต้อยอยู่บ้าง บังเอิญช่วยขุนนางทุกท่าน ไม่เท่าไหร่ๆ!!”
“หึๆๆๆ ท่านจี้ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้ารู้ว่าท่านจี้ยังไม่ทานอาหารเช้าแน่ ข้าจองโต๊ะอาหารกับของว่างบนหอนอกศาลไว้แล้ว พวกเราไปพูดคุยที่นั่นเถอะ เชิญ!”
จี้หยวนรีบทำท่าผายมือเชิญตามเทพหลักเมือง ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
“ไม่อาจขัดศรัทธา เชิญ!”
เห็นว่ารอบศาลหลักเมืองอึกทึกครึกครื้น มีชาวบ้านเข้าออกศาลเจ้าเพื่อกราบเทพหลักเมืองตลอดเวลา ส่วนเทพหลักเมืองก็อยู่ข้างกายตน ยามนี้จี้หยวนตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนมาอีก
‘ผ่อนคลายๆ อย่าขาแข็งเชียว…’
ถ้ามีใครเคยเห็นรูปปั้นเทพภายในศาลเจ้าเดินลงมาคุยกับตน น่าจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของจี้หยวน