ตอนที่ 32 ต้นสายปลายเหตุ
หอนอกศาลครอบครองพื้นที่ประมาณครึ่งหมู่ สูงสามชั้น ชายคาสี่มุมปกคลุมด้วยกระเบื้องเคลือบ เป็นร้านอาหารโรงน้ำชาเลื่องชื่อของอำเภอหนิงอัน อาหารภายในนั้นเป็นเลิศ
จี้หยวนตามเทพหลักเมืองซ่งแห่งอำเภอหนิงอันเข้าหอนอกศาล ภายในค่อนข้างเต็มครึกครื้นอย่างยิ่ง
เพิ่งเข้าประตูก็มีเสี่ยวเอ้อร์เดินมาถามอย่างกระตือรือร้นทันที
“ลูกค้าสองท่านเชิญด้านในขอรับ ชั้นสองกับชั้นสามยังมีที่นั่งส่วนตัวอยู่ ชั้นสองคึกคักชั้นสามเงียบสงบ ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านอยากไปชั้นไหนขอรับ”
ประสบการณ์ของเสี่ยวเอ้อร์ไม่แย่ สองท่านนี้ชายชราสวมชุดดำหรูหราท่าทางสง่างาม ผมสีเงินทั้งศีรษะสะอาดหมดจด แม้ว่าชายหนุ่มด้านข้างสวมชุดเขียวแขนกว้างทรงผมเรียบง่ายมองแล้วรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ทั้งตัวกลับเจือความเรียบง่ายยิ่งมองยิ่งรู้สึกกลมกลืน
“รบกวนเจ้าพาพวกเราขึ้นไปชั้นสาม ข้าผู้ชราแซ่ซ่ง มีคนช่วยพวกเราสั่งอาหารว่างกับน้ำชาไว้แล้ว”
“อ้อ ในที่สุดพวกท่านก็มา วันนี้หลงจู๊ถามข้าสามรอบ เชิญตามข้ามา ของว่างน้ำชาเตรียมพร้อมแล้ว!”
เสี่ยวเอ้อร์รีบเชิญทั้งสองคนเข้าหอ จากนั้นค่อยนำทางอยู่ข้างหน้า
เทพหลักเมืองกับจี้หยวนยิ้มพลางตามไป
ที่นั่งชั้นแรกทุกคนล้วนพูดคุยหยอกล้อกันอย่างเบิกบานยิ่งใจ โดยรวมดูเซ็งแซ่มาก
เพิ่งก้าวขึ้นบันได เสียงชั้นสองก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น
“ว่าไปเก้าจอมยุทธ์นั้น แต่ละคนเยาว์วัยรูปงามอาจหาญไม่ธรรมดา อายุน้อยแต่ฝึกจนมีวิชายุทธ์ติดตัว ยังมีจอมยุทธ์หญิงไม่เป็นรองบุรุษนั่น… รับภารกิจที่ว่าการอำเภอหนิงอัน เตรียมตัวเล็กน้อยก็ขึ้นเขาโคเทพ คืนนั้นลมฝนยังพัดโบก…”
“โอ้โห…”
“กล้าหาญนัก!”
“นั่นน่ะสิ!”
…
เสียงเล่าเรื่องบนชั้นสองกับเสียงตกตะลึงด้านล่างดังต่อเนื่องเป็นระลอก
เมื่อจี้หยวนกับเทพหลักเมืองก้าวตามเสี่ยวเอ้อร์จากชั้นสองขึ้นบันไดชั้นสาม ได้ยินนักเล่าเรื่องเริ่มบอกขั้นตอนการล่าเสือพอดี
“ว่ากันว่าจอมยุทธ์ตู้คนนั้นเหวี่ยงดาบฟันเสือร้าย ดาบแสงโลหิตปรากฏ ฝ่ามือจอมยุทธ์ลู่ลงมาจากฟ้า พลังฝ่ามือซึ่งทลายหินได้ซัดใส่ศีรษะเสือขาว!”
“โอ้!”
“เดือดพล่านจริง!”
…
จี้หยวนที่ก้าวขึ้นบันไดชั้นสามไปครึ่งหนึ่งฟังถึงตรงนี้แล้วอดยิ้มพลางส่ายหัวไม่ได้
“ดูท่าว่าท่านจี้คงสนใจนิทานของนักเล่าเรื่องคนนี้กระมัง”
เทพหลักเมืองยิ้มพลางเอ่ยถาม ความจริงหนังเสือขาวนั้นเป็นอย่างไรเคยมียมทูตเห็นมาก่อนเช่นกัน พละกำลังไม่ธรรมดาก็จริง แต่บนนั้นไม่มีรอยดาบ เดิมการเล่าเรื่องก็เป็นศิลปะพื้นบ้าน มีความมหัศจรรย์คล้ายคลึงกับละคร มีปรับเพิ่มเรื่องราวบ้างเป็นเรื่องปกติ
“หึๆๆ ใช่ว่าสนใจนัก แค่บังเอิญได้ยินเรื่องน่าสนุกเท่านั้น”
ช่วยไม่ได้ จอมยุทธ์น้อยเก้าคนนั้นตกใจจนไม่กล้าหย่อนก้นนั่งต่อหน้าเจ้าภูเขาลู่ ต่างจากเรื่องเล่านี้มากเกินไปจริงๆ
เทพหลักเมืองครุ่นคิด ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง
สามคนมาถึงชั้นสาม เห็นชัดว่าที่นี่เงียบสงบไม่น้อย คนก็ไม่มาก ไม่ดื่มชาพลางกระซิบคุยกันก็มองทิวทัศน์นอกหอ
“มาๆ ลูกค้าทั้งสอง ตรงนี้ขอรับ ขนมถั่วบด ขนมข้าวฟ่าง ขนมธัญพืช โจ๊กบัวลอย ผักดอง ผลไม้เชื่อม ยังมีชาก่อนฤดูฝน ท่านทั้งสองเชิญทานให้อร่อย มีอะไรเรียกได้ทุกเมื่อ!”
เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางชี้ไปทางของว่างน้ำชาแต่ละอย่าง
“ดี ขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์!”
“ขอบคุณ!”
จี้หยวนกับเทพหลักเมืองแทบกล่าวขอบคุณพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองยิ้มสบตานั่งตรงข้ามกัน
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์จากไปยังเกาหัวคิด ลูกค้าสองคนนี้มีมารยาทจริง!
มองส่งเสี่ยวเอ้อร์จากไป เทพหลักเมืองจึงหันกลับมากล่าว
“ท่านจี้ ลองชิมของว่างน้ำชาของหอนอกศาลนี้ดูหน่อย รสชาติพอใช้ได้”
ทำงานออกแรงแต่เช้า ทั้งเดินทางไกลขนาดนี้ ท้องหิวนานแล้ว จี้หยวนไม่เกรงใจ หยิบขนมข้าวฟ่างขึ้นมากัดคำหนึ่ง
รสชาติไม่หนัก เข้าปากกรอบร่วน ในความหวานอ่อนเจือกลิ่นข้าวสดใหม่
“อร่อย! อร่อยนัก! ใต้เท้าหลักเมืองทานด้วยกันสิ!”
“ท่านจี้ชอบก็ดี ข้าเทพหลักเมืองอำเภอเล็กๆ แค่รูปปั้นร่างทองสร้างเป็นเทพปฐพีเท่านั้น ไม่มีกายเนื้อ อาหารคลายอยากของปุถุชนทานมากไม่ได้ หากทานแค่ปราณของมันคงสิ้นเปลืองอยู่บ้าง”
ไม่มีกายเนื้อ? ตรงหน้าเป็นแค่ร่างจำแลงหรือ
จี้หยวนไม่สะดวกพูดอะไรอีก ได้แต่กินเอง ดูเหมือนว่าความสุขของการดื่มชาคงไม่มีผลอะไรกับอีกฝ่าย
หลังกินโจ๊กบัวลอยชามหนึ่งกับขนมสองสามชิ้น จี้หยวนหยุดชั่วคราว เทพหลักเมืองวางถ้วยชาลงพอดี หันสายตากลับมาจากทิวทัศน์นอกหอ
“ครั้งนี้ท่านจี้ช่วยพวกเราอำเภอหนิงอันกำจัดมหันตภัยแล้ว…”
เทพหลักเมืองรำลึกครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ
“เจ็ดปีก่อนจังหวัดเต๋อเซิ่งมีมังกรดินพลิกตัว ก่อเกิดปราณพิภพชั่วร้าย เดิมก็ไม่เป็นไร แสงแดดสาดส่องสายฟ้าฝนทมิฬ ไอชั่วร้ายย่อมซ่านสลาย แต่โชคไม่ดีว่ามีไอชั่วร้ายเข้มข้นหนึ่งไหลตามสายน้ำใต้ดิน…”
เทพหลักเมืองพูดถึงตรงนี้แล้วถอนใจ
“เดิมสายน้ำใต้ดินถือเป็นปราณหยิน ไอชั่วร้ายนี้ยังพุ่งออกมาจากสุสานร้างทางตะวันตกของอำเภอ ได้รับอิทธิพลจากไอมรณะไอพิฆาตจึงกลายเป็นผีร้ายตัวนี้ ข้าคนแซ่ซ่งเป็นถึงเทพหลักเมืองของอำเภอนี้ ย่อมสังเกตเห็นเรื่องนี้เป็นธรรมดา นำบริวารทุกคนไปกำราบด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าผีร้ายตัวนี้ประหลาดมาก ไม่รู้ว่ากลืนกินวิญญาณหยินหรือมีเหตุผลอื่น มันถึงกับตื่นรู้มีปัญญาแล้ว…”
เมื่อเทพหลักเมืองทยอยเล่าออกมา จี้หยวนเข้าใจต้นสายปลายเหตุทีละน้อย
ดูเหมือนว่าปราณพิภพชั่วร้ายนั้นเดิมก็ร้ายกาจมาก ผีที่ตื่นรู้มีปัญญาถึงกับแกล้งโง่หลอกเทพหลักเมือง กลืนขุนนางแจ้งกรรมกับขุนนางหยินหยางไปในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งยังระเบิดพลังอสูรปฐพีจนกายพรตของเทพหลักเมืองบาดเจ็บสาหัส
โชคดีว่าถึงแม้เทพหลักเมืองเสียเปรียบมาก แต่ถึงอย่างไรขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า ยามถูกอสูรปฐพีโจมตีเขาใช้ควันต้นกำเนิดร่างทองโดยไม่ลังเล โต้กลับเต็มแรง ทำให้ผีร้ายที่เพิ่งตื่นรู้มีปัญญาบาดเจ็บหนัก
แม้ว่าการต่อสู้นั้นปล่อยให้ผีร้ายหนีรอด แต่เทพหลักเมืองใช้เกี้ยวประดับเก็บไอชั่วร้ายเอ่อล้นพวกนั้นไว้ อาศัยสิ่งนี้ตามหาที่ซ่อนตัวของผีร้ายใหม่อีกครั้ง เป็นบ่อน้ำของเรือนสันติ เขาไม่ได้ประมือเสี่ยงอันตรายอีก หากแต่ใช้พลังหยินกักพลังหยิน ผนึกมันไว้ในส่วนลึกใต้บ่อชั่วคราว รออาการบาดเจ็บของเทพหลักเมืองฟื้นตัวค่อยกำจัดยามสบโอกาส
ระหว่างนี้จี้หยวนฟังแล้วเหงื่อตกอยู่บ้าง แม้เทพหลักเมืองไม่เอ่ยกระจ่าง แต่ความเข้าใจของจี้หยวนคือถ้าตอนนั้นผีร้ายหนีรอด อำเภอหนิงอันคงโชคร้ายแล้ว ทำไม่ดีอาจส่งผลจนเกิดพิบัติใหญ่ราวกลิ้งก้อนหิมะ
สำหรับผู้อาศัยของเรือนสันติ ความจริงสองครอบครัวแรกทยอยเกิดเรื่องเป็นชะตากรรมโดยธรรมชาติ ไม่ใช่อิทธิพลของผีร้าย เมื่อถึงบัณฑิตคนที่สาม ผีร้ายนั่นอาจฟื้นตัว ถึงกับออกไปถึงตำแหน่งที่ไม่ไกลจากบ่อกักวิญญาณได้ชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนนั้นตกใจตายทั้งเป็น
เทพปฐพีอย่างเทพหลักเมืองมีข้อผูกมัดของตนเช่นกัน แม้ว่าคุ้มครองดินแดนแห่งหนึ่ง แต่ไม่อาจส่งผลต่อโลกมนุษย์เกินไป
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่นั้นมาเทพหลักเมืองจึงใช้วิธีอย่างการเข้าฝัน ทำให้ภายในอำเภอมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าเรือนสันติไม่ปลอดภัย ทำให้ไม่มีใครเข้ามาอยู่อีกดังคาด แต่คิดไม่ถึงว่าจี้หยวนกลับมาเจอ
โอกาสครั้งนี้หายาก เทพหลักเมืองก็รอไม่ไหวแล้ว ส่งบริวารผู้แข็งแกร่งมา ส่วนตนนั่งบัญชาในศาลเจ้า ส่งควันซึ่งสะสมไว้ในศาลหลักเมืองมาตลอดเวลา นับว่าเป็นการทุ่มเทเต็มกำลัง ในที่สุดก็กำจัดผีร้ายนั่นได้ สำหรับอำเภอหนิงอันถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างหนึ่ง