ตอนที่ 33 เลือนรางดั่งฝัน!
ฟังต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดจบ นอกจากนึกกลัวแล้ว จี้หยวนยังพูดเล่นอย่างอดไม่ได้
“ข้าคงเป็นคนดวงซวยคนสุดท้ายของเรือนสันตินี้แล้ว”
เทพหลักเมืองหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
“ฮ่าๆๆๆๆ ท่านจี้ล้อเล่นแล้ว มาเจอท่านเป็นโชคร้ายของผีร้ายนั่นต่างหาก!”
เทพหลักเมืองกล่าวประโยคนี้จบแล้วมองจี้หยวนที่กำลังเคี้ยวขนมถั่วบด ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม
“ไม่ทราบว่าท่านจี้มาจากไหน มาอำเภอหนิงอันของข้าด้วยเรื่องใด”
มาแล้ว บททดสอบปรัชญาชีวิต!
จี้หยวนนึกแล้วว่าต้องมีคำถามนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรสักนิด เรื่องชาติก่อนแน่นอนว่าพูดไม่ได้ ชาตินี้เมื่อก่อนขอทานเป็นอย่างไรจี้หยวนเองก็อยากรู้ ทำไมถึงมาอำเภอหนิงอัน นอกจากที่นี่แล้วตนเหมือนไม่มีสถานที่อื่นให้ไปชั่วคราว
จี้หยวนยิ้้มอย่างอักอ่วน ไม่รู้ว่าจะพูดจากตรงไหน ทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวกับความลับสุดยอดของตน ไม่พูดดีกว่า
เทพหลักเมืองเห็นจี้หยวนฟังคำถามนี้แล้วแค่ยิ้มรับไม่พูดจาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากพูด
“ไม่เป็นไร ท่านจี้ไม่อยากพูดก็ไม่เห็นเป็นไร ท่านเป็นคนเรียบง่าย ถ่อมตัว มีมารยาท ทั้งมีบุญคุณต่ออำเภอหนิงอัน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”
จากมุมมองจี้หยวน เทพหลักเมืองคนนี้เชิญตนมา กล่าวขอบคุณคือเรื่องหนึ่ง การหยั่งเชิงบ้างมีบ้างไร้คืออีกเรื่องหนึ่ง
“จริงสิ ท่านจี้คิดอยู่อำเภอหนิงอันถาวรหรือไม่”
คำถามนี้จี้หยวนตอบได้
“หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คงพักอยู่อำเภอหนิงอันช่วงหนึ่ง”
จี้หยวนคิดแล้วรู้สึกว่าตนพูดความจริงหน่อยดีกว่า แม้เขารู้สึกว่าเทพผีอย่างเทพหลักเมืองคงมองออก แต่ทำเพื่อป้องกันการพูดประโยคนี้จบแล้วกล่าวเสริมต่อ
“ความจริงข้าน้อยไม่ใช่ผู้สูงส่งมีวิชาอะไร แค่บังเอิญโชคดีทำให้ผีร้ายนั่นบาดเจ็บ มีเรื่องมากมายอยากขอคำชี้แนะจากใต้เท้าหลักเมือง”
“ท่านจี้เชิญว่ามาเถอะ”
ครึ่งประโยคแรกของจี้หยวนถูกละเลย ภายนอกไม่เผยแสงเทพไม่อาจอธิบายอะไร แต่เรื่องบังเอิญโชคดีทำให้ผีร้ายบาดเจ็บนี้ยากมาก นั่นเป็นถึงสิ่งที่เกิดจากอสูรปฐพี ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนผีร้ายทั่วไป
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลักเมืองรู้วิธีการฝึกปราณบนโลกหรือไม่ อย่างที่มนุษย์เขาฝึกกัน!”
จี้หยวนถามอย่างตื่นเต้นก่อนกล่าวเสริมเป็นพิเศษ ว่ากันตามตรงเรื่องดึงดูดเขาที่สุดบนโลกนี้คืออะไร ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์งามตระการพวกนี้ ไม่ใช่การมุ่งหวังว่าจะเหินฟ้าดำดินอายุยืนเป็นอมตะหรือ
เทพหลักเมืองขมวดคิ้วครุ่นคิดจริงจัง
“ข้าคนแซ่ซ่งเป็นแค่เทพหลักเมืองอำเภอเล็กๆ ฝึกมรรคร่างทองกำยานยังอาศัยแรงปรารถนาสรรพชีวิต ไม่ต้องการวิชาฝึกปราณบำเพ็ญเพียรทั่วไป แน่นอนว่าไม่มีวิชาฝึกปราณล้ำค่าอะไร แต่วิชายุทธ์ปุถุชนในปรโลกยังมีอยู่บ้าง”
จี้หยวนพลันผิดหวังมาก ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรหรือ
“แม้ว่าไม่มีนัยเร้นลับยอดวิชา แต่วิชากำหนดปราณทั่วไปยังพอรู้บ้าง แต่เคล็ดวิชาเช่นนี้ค่อนข้างผิวเผิน เกรงว่าสำหรับท่านจี้คงไม่มีประโยชน์กระมัง”
ไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร ดีกว่าไม่มีมากนัก!
“ขอพูดตามตรง แม้แต่เคล็ดวิชาผิวเผินเช่นนี้ข้าน้อยยังไม่มี ถ้าใต้เท้าหลักเมืองสะดวก ข้าคนแซ่จี้ขอยืมมาอ่านได้หรือไม่ อืม ยังมีวิชายุทธ์ปุถุชนพวกนั้นด้วย ข้าน้อยอยากลองดูหน่อย!”
‘ข้าช่วยพวกเจ้ามากขนาดนี้แล้ว ข้อเรียกร้องเล็กน้อยแค่นี้ ผู้อาวุโสอย่างท่านคงไม่ถึงขั้นปฏิเสธกระมัง’
แม้ว่าจี้หยวนตาบอด แต่จ้องเทพหลักเมืองเขม็ง ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกได้ถึงสายตาประหลาดยากหยั่งถึง
“อะแฮ่ม ท่านจี้อยากอ่านจะยากอะไร ข้าจะสั่งคนเตรียมตำราพร้อมสรรพค่อยส่งไปถึงเรือนสันติ”
คราวนี้จี้หยวนร่าเริงแล้ว
“ได้ๆๆ รบกวนใต้เท้าหลักเมืองแล้ว!”
เทพหลักเมืองคนนี้พูดด้วยง่ายนัก เรื่องใหญ่ในใจยังจัดการไปส่วนหนึ่ง จี้หยวนอยากถามเรื่องอื่นแล้ว เรื่องที่คนธรรมดาบนโลกพวกนั้นยากเข้าใจ
“ใต้เท้าหลักเมือง เท่าที่ท่านรู้ตอนนี้มีจวนเซียนสำนักทะเลสาบเขาวิญญาณ เอ่อ พวกเขารับศิษย์ต้องมีคุณสมบัติเงื่อนไขอะไรบ้าง”
จี้หยวนถามอย่างถ่อมตัวนัก เทพหลักเมืองฟังแล้วรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ทำไมท่านจี้คนนี้ถึงชอบถามปัญหาที่เป็นความรู้ทั่วไป
‘หรือคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้สูงส่งอะไรอย่างที่เขากล่าวมาจริงๆ’
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไร เขาช่วยอำเภอหนิงอันคือเรื่องจริง ต่อให้คำถามแปลกหรือทั่วไปแค่ไหนแล้วอย่างไรเล่า!
เทพหลักเมืองผ่อนคลายจิตใจ ลูบเคราใคร่ครวญก่อนตอบเนิบช้า
“อำเภอหนิงอันของข้าคับแคบคนบางตา แหล่งที่มาของโลกภายนอกน้อยนัก เท่าที่ข้ารู้คือจังหวัดเต๋อเซิ่งซึ่งอำเภอหนิงอันตั้งอยู่ ไม่มีจวนสำนักเซียนใด ผู้นำทั้งรัฐจีก็มีแค่เขาล้อมหยก ลือว่าภายในเขาล้อมหยกถึงขั้นซ่อนยันต์บัญชาภูผาไว้ สามารถผนึกเทพภูเขาได้ ก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ แน่นอนว่าลัทธินอกรีตสำนักเล็กน้อยพวกนั้น รัฐจีของข้าย่อมมีอยู่บ้าง ส่วนพวกเขารับศิษย์อย่างไร ข้าคนแซ่ซ่งไม่ทราบจริงๆ สำหรับเรื่องนอกรัฐอื่นขออภัยที่ข้าคนแซ่ซ่งไม่รอบรู้ ดังคำกล่าวว่าส่วนลึกเมฆาไม่รู้ว่ามีเกาะแสงเซียน มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวย่อมเจอเขากระบี่ยาว…”
จี้หยวนยังตะลึงอยู่กับเรื่องเขาล้อมหยกเมื่อครู่ ยันต์บัญชา? ผนึกเทพภูเขา?
“เช่นนั้นเรือนสวรรค์เล่า”
คำถามนี้จี้หยวนหลุดปากออกมายามเทพหลักเมืองหยุดพักหายใจ
“เรือนสวรรค์? ไม่ทราบว่าสถานที่ซึ่งท่านจี้กล่าวถึงคือจวนเซียนใด”
เทพหลักเมืองขมวดคิ้ว ฟังดูแล้วเหมือนมีความเป็นมานัก กล้านำคำว่าสวรรค์มาตั้งเป็นชื่อเรือน
จี้หยวนได้สติกลับมาทันที ไม่มีเรือนสวรรค์หรือ
เดิมทีเทพหลักเมืองทั้งได้ยินว่ามีการบัญชาเทพภูเขายังคิดว่าจะมีเรือนสวรรค์ ตอนนี้ดูท่าว่าคงไม่มีแล้ว เช่นนั้นเซียนของที่นี่ก็เป็นเซียนซึ่งคนธรรมดาเชื่อถือหรือ
คำถามของเทพหลักเมืองถูกปัดตกไป
“อ้อ ไม่มีอะไร นี่เป็นจวนเซียนร้ายกาจแห่งหนึ่งที่ข้าได้ยินมาก่อน บัญชาวิญญาณเทพวารีได้เช่นกัน เทพหลักเมืองอย่าถือสา…”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ คาดว่าคงไม่ธรรมดาแน่!”
ใช่แล้ว ไม่ธรรมดามาก ถ้าพูดออกมาเจ้าต้องตกใจแน่!
แก้ตัวเรื่องเรือนสวรรค์เสร็จ จี้หยวนถามเรื่องเกี่ยวกับโลกผู้บำเพ็ญอีกมาก รวมถึงพวกอสูรมารภูตผี ตะล่อมหว่านล้อมนอกเรื่อง ปรโลกเทพหลักเมืองแต่ละพื้นที่สัตว์นรกต่างสายพันธุ์ รวมถึงจุดบอบบางของความสัมพันธ์ที่มีอยู่รางๆ
โดยรวมข้อมูลนี้ทำให้จี้หยวนไขข้อสงสัยของโลกผู้บำเพ็ญมากขึ้น แต่ความรู้เทพหลักเมืองมีจำกัดจริงๆ
จี้หยวนขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่นาน สมองสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย วางเรื่องพวกนี้ลงชั่วคราวโดยไม่ลังเล คิดเรื่องพวกนี้ตอนนี้เดี๋ยวเปลี่ยนใจไปเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้น ทำความเข้าใจเรื่องอื่นก่อนเถอะ
จี้หยวนผ่อนคลายอารมณ์เล็กน้อยก่อนเอ่ยปากต่อ
“ข้าคนแซ่จี้ยังอยากขอคำชี้แนะเรื่องโง่เขลาบางอย่าง หวังว่าใต้เท้าหลักเมืองจะไม่ขบขัน”
“เชิญว่ามาเถอะ ข้าคนแซ่ซ่งจะพูดทุกสิ่งที่รู้!”
เจอคำถามมามากขนาดนี้ เทพหลักเมืองเห็นเรื่องแปลกจนชาชินอยู่บ้างแล้ว
“ข้าคนแซ่จี้คิดขอคำชี้แนะ พวกเราอยู่อาณาจักรใด ราชวงศ์ไหน อาณาจักรอื่นสถานการณ์เป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์ผ่านเรื่องการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์มากี่ครั้ง”
คำถามนี้…
เทพหลักเมืองได้ยินแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อครู่ไม่เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกปราณจวนเซียนภูเขาแม่น้ำแปลกประหลาดอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้แต่เรื่องมนุษย์ปุถุชนอย่างอาณาจักรราชวงศ์ก็ถามด้วยหรือ
อย่างแรกคนธรรมดาคงไม่รู้จริงๆ อย่างหลังขอแค่เป็นผู้มีการศึกษาหรือความรู้ทั่วไปหน่อยก็เข้าใจบ้าง
จี้หยวนไม่มีการศึกษาและความรู้ทั่วไปหรือ หลังจากผ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้ เทพหลักเมืองรู้ว่าท่านจี้คนนี้ไม่มีทางเป็นคนไร้การศึกษาแน่ ทั้งการพูดจายังชัดเจนมีระเบียบ คำพูดการกระทำเรียบร้อยมีมารยาท ยามพูดคุยมีความคิดลึกซึ้งเป็นเอกลักษณ์มากมาย
พูดว่าคนแบบนี้ไม่เคยอ่านหนังสือคงเป็นไปไม่ได้ แค่บางครั้งความเคยชินในการพูดแปลกอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเทพหลักเมืองนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ตัวสั่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
ยามซ่งซื่อชางมีชีวิตอยู่ ตอนเขายังเป็นขุนนางราชสำนัก เคยอ่านนิทานเซียนแปลกประหลาดเล่มหนึ่ง แม้ว่าคนธรรมดาแต่งหนังสือด้วยจินตนาการ แต่เนื้อหานิทานน่าสนใจยิ่ง ถึงขั้นทำให้ซ่งซื่อชางจำได้ดี
ภายในนั้นมีนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นคำโปรยด้วยประโยคนี้ ‘ยิ้มร่าตื่นมาจบการเล่น เลือนรางดั่งฝันพันปี’ !
“ใต้เท้าหลักเมือง ใต้เท้าหลักเมือง?”
จี้หยวนเรียกหาสองครา ทำไมเทพหลักเมืองถึงเหม่อลอย คำถามของตนโง่เกินไปหรือ
“หา!? อะ อ้อ ท่านจี้โปรดฟังข้ากล่าวตอบ!”
เทพหลักเมืองไม่รู้ว่าตนเปลี่ยนเสียงพูดตามจิตใต้สำนึกแล้ว