ตอนที่ 38 ควรให้ความสำคัญกับคุณธรรมอาชีพ
เมื่อจี้หยวนหยุดฝึกปราณยืนนิ่ง ใบไม้ร่วงหล่นกับเศษฝุ่นในเรือนเล็กยังหมุนวนไม่หยุด
ไม่มีตัวบอกเวลาไม่มีนาฬิกาข้อมือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีมือถือ แต่ตอนนี้นาฬิกาชีวิตของจี้หยวนเปลี่ยนเป็นแม่นยำยิ่ง ใช่ว่าเพราะจี้หยวนไม่ธรรมดา แต่ชาวบ้านที่นี่เกือบหมดล้วนเป็นเช่นนี้
เมื่อคนทำงานพักผ่อนตามกฎฟ้า มีความรู้สึกแม่นยำต่อเวลา ต่อให้อยู่โลกศตวรรษยี่สิบเอ็ดก็เช่นกัน
ตอนนี้อีกไม่นานจะพลบค่ำแล้ว จี้หยวนคิดออกไปกินข้าวข้างนอก
ชาติก่อนจี้หยวนมีแค่ฝีมือทำข้าวผัดไข่ ไม่เคยทำอาหารอะไร ชาตินี้ก็ไม่เคยเรียน กอปรกับกลัวยุ่งยาก เรื่องกินข้าวเขาล้วนไปจัดการข้างนอก อย่างมากก็สิบกว่ายี่สิบอีแปะอย่างน้อยก็สองสามอีแปะจัดการได้
หลังจัดเสื้อเรียบร้อย ลูบเส้นผมหน่อย จี้หยวนก็ออกไปข้างนอกแล้ว เรือนเล็กไม่จำเป็นต้องลงกลอน ถึงอย่างไรสถานที่นี้ก็ไม่มีใครกล้ามา
ลัดเลาะไปมาภายในตรอกเทียนหนิว เลือกทางลัดซึ่งคุ้นเคยแล้ว บางครั้งเจอผู้อาศัยในตรอกเทียนหนิวคนสองคนส่วนใหญ่ล้วนเดินหลบจี้หยวน บ้างต่อให้เดินมาเผชิญหน้าก็ไม่ทักทาย
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าจี้หยวนอาศัยอยู่เรือนสันติ สถานที่มีไอชั่วร้ายเช่นนั้นพยายามอย่ายุ่งเกี่ยวดีกว่า
จี้หยวนเองไม่ถือสา สองมือไพล่หลัง ก้าวเดินสง่างามตามแบบตระกูลจี้ไปบนท้องถนน
เมื่อออกจากปากตรอกเหมือนภายนอกคึกคักขึ้นมาทันที ทุกหนแห่งคือเสียงเซ็งแซ่ตามท้องถนน
หลังจากฝึกยุทธ์ขอบเขตการก้าวเท้าของจี้หยวนกว้างขึ้นมาก เดินแค่เจ็ดแปดนาทีก็มาถึงร้านบะหมี่ตระกูลซุนเจ้าประจำ เป็นหนึ่งในสองสามร้านซึ่งจี้หยวนไปบ่อย
บนแผงขึงผ้าขาวกระดาษมันผืนใหญ่ โต๊ะเล็กสี่ตัว รถไม้หนึ่งคัน เป็นแหล่งหาเงินของเถ้าแก่ซุน
เถ้าแก่ซุนเห็นจี้หยวนเดินมาทางนี้แต่ไกล
“โอ้ ท่านจี้มาแล้ว ไม่เจอท่านตั้งสองวัน เชิญนั่งขอรับ!”
จี้หยวนยังไม่เข้าใกล้ก็ได้กลิ่นอาหารร้านบะหมี่แล้ว ได้ยินเสียงทักทายที่คุ้นเคยจึงยิ้มพลางตอบรับ
“วันนี้มีเครื่องในหรือไม่”
“มีๆๆ!! ข้ารู้สึกว่าวันนี้ท่านจี้จะมา จึงเก็บของดีให้ท่านโดยเฉพาะ! นอกเมืองมีคนล้มวัวเทียมแก่ตัวหนึ่ง ข้าได้รับเครื่องในวัวมาไม่น้อย เทียบกับเครื่องในแพะแล้วหายากกว่ามาก!”
เถ้าแก่ซุนพูดเก่งมาก ทำการค้าขนาดย่อมต้องมุ่งเน้นลูกค้าประจำไม่ใช่หรือ
ทั้งท่านจี้คนนี้คงเป็นคนมีความรู้ ดวงตาคู่นั้นของเขาลูกค้าประจำโดยรอบวิจารณ์กันเองว่าอาจตาบอด แต่ยามเดินกลับไม่ต่างจากคนทั่วไป สำหรับคนธรรมดาถือเป็นเรื่องหายาก จึงมีแขกวิจารณ์กันเองว่าท่านจี้คนนี้เป็นยอดบุคคล
“ได้ๆๆ ข้าขอหมี่พะโล้หนึ่งชาม! เครื่องในวัวหนึ่งชาม!”
จี้หยวนยิ้มพลางนั่งลง สั่งอาหารเย็นของตัวเอง แม้ว่าเครื่องในของร้านเถ้าแก่ซุนคนนี้ปรุงรสเรียบง่าย แต่ด้วยวัตถุดิบดีผ่านการต้มพะโล้ ไร้กลิ่นคาวทั้งมีรสชาติ อร่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ได้เลย!”
เถ้าแก่ซุนรีบกุลีกุจอ
ห่างไปไม่ไกล พ่อลูกตระกูลอิ๋นซึ่งเสร็จธุระจากสำนักศึกษากลับบ้านพอดี ด้วยสำนักศึกษาใกล้เปิดเรียน หลายวันนี้อิ๋นจ้าวเซียนออกเช้ากลับเย็นทุกวัน อิ๋นชิงไปช่วยบ่อย วันนี้นับว่ากลับมาเร็วอย่างหาได้ยากแล้ว
เมื่อเดินผ่านถนนสายนี้ ยังคงเป็นอิ๋นชิงซึ่งดวงตากระจ่างเหมือนเดิม มองเห็นจี้หยวนอยู่หน้าร้านบะหมี่ รีบดึงแขนเสื้อบิดาของตน ทำให้เขาเห็นจี้หยวนเช่นกัน
อิ๋นจ้าวเซียนอยากไปเยี่ยมเยียนจี้หยวนอยู่แล้ว ปัจจุบันครึ่งเดือนผ่านไป ท่านจี้คนนี้หน้าตามีเลือดฝาดสุขสงบปลอดภัย การคาดเดาเสี้ยวหนึ่งว่าเรือนสันติเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
ดูว่าจี้หยวนเหมือนไม่เห็นตนสองพ่อลูก เลือกวันพบไม่สู้เจอโดยบังเอิญ อิ๋นจ้าวเซียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง เจตนาลากอิ๋นชิงอ้อมห่างไปช่วงหนึ่ง ค่อยเดินวนกลับมาแต่ไกล เป้าหมายครั้งนี้คือร้านบะหมี่ตระกูลซุน
“เถ้าแก่ซุน ขอสั่งหมี่พะโล้สองชาม!”
อิ๋นจ้าวเซียนทักทายใกล้ร้านบะหมี่ด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้า เถ้าแก่ซุนซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการลวกบะหมี่ให้จี้หยวนเห็นอิ๋นจ้าวเซียนก็กระตือรือร้นอย่างยิ่ง
“โอ้ อาจารย์อิ๋นนั่นเอง! มาๆๆ เชิญนั่งๆ!”
สำหรับคนหนิงอัน การเปิดสำนักศึกษาในอำเภอเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ว่าที่อาจารย์อย่างอิ๋นจ้าวเซียนมีคนรู้จักไม่น้อยทีเดียว
“อืม!”
อิ๋นจ้าวเซียนตอบรับเบาๆ ปัดเสื้อผ้าเล็กน้อย นำอิ๋นชิงนั่งลงบนโต๊ะว่างตัวหนึ่ง จากนั้นค่อยทำเหมือนพบจี้หยวนกะทันหัน
“เอ๊ะ ท่านคือท่านจี้กระมัง ได้ยินว่าภายในตรอกมีบัณฑิตงามสง่ามาอยู่ใหม่ หากไม่ใช่ว่าสำนักศึกษาเปิดใหม่ธุระติดพัน ข้าน้อยอยากเยี่ยมเยียนนานแล้ว!”
ใบหน้าเล็กของอิ๋นชิงแดงก่ำ เห็นบิดาตนแสร้งทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อครู่จี้หยวนสังเกตเห็นพ่อลูกตระกูลอิ๋นแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าสองคนนี้เดินไปแล้วหันกลับมาทำอะไร รอพวกเขามาร้านบะหมี่จึงรู้ว่าอยาก ‘บังเอิญเจอ’ ตนก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา
“เป็นข้าน้อยเอง อาจารย์อิ๋นในตรอกเทียนหนิวความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง ข้าคนแซ่จี้ได้ยินมานานแล้ว!”
จี้หยวนหันหน้ามาทางพ่อลูกตระกูลอิ๋น ทำให้อิ๋นจ้าวเซียนเห็นดวงตาเจือสีเทาคู่นั้นชัดเจนเป็นครั้งแรก
“คาดว่าเสี่ยวอิ๋นชิงคงเป็นบุตรชายท่านกระมัง สมเป็นตระกูลบัณฑิต สอนบุตรได้ดีขนาดนี้!”
“ท่านจี้ยังจำข้าได้หรือ!!”
อิ๋นชิงมองคุณชายคนนี้ด้วยความสงสัยและเขินอาย
“ฮ่าๆๆ บุญคุณหาบน้ำนั่น ข้าคนแซ่จี้จดจำตลอด! ถ้าสองท่านไม่รังเกียจ มาร่วมโต๊ะกับข้าเป็นอย่างไร แน่นอนว่าหากเสี่ยวอิ๋นชิงกลัวก็ถือว่าข้าไม่ได้พูด!”
อิ๋นชิงเกาหัวอย่างอักอ่วนอยู่บ้าง เขารู้ว่าท่านจี้ยังจำเรื่องที่ตนไม่กล้าเข้าเรือนสันติเมื่อตอนนั้นได้
“ท่านจี้เชิญมีหรือจะกล้าปฏิเสธ ชิงเอ๋อร์ พวกเราไปนั่งกัน!”
อิ๋นจ้าวเซียนปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง พาชิงเอ๋อร์ไปนั่งด้วยทันที
“หมี่เสร็จแล้ว… ท่านจี้ อาจารย์อิ๋น คุณชายน้อยอิ๋น หมี่พะโล้ของพวกท่าน! เครื่องในวัวต้องรอสักครู่!”
เถ้าแก่ซุนยกอาหารมาวางบนโต๊ะ
“ได้ๆ ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนยิ้มพยักหน้าให้เถ้าแถ่ซุน อิ๋นจ้าวเซียนที่ยังนั่งนิ่งอึ้งงัน จากนั้นจึงรีบกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ซุน
ดังคำกล่าวว่าบัณฑิตชาวนานายช่างพ่อค้า ฐานะบุคคลสำคัญคนหนึ่งของเหล่าบัณฑิตอำเภอหนิงอัน อิ๋นจ้าวเซียนไม่ถึงขั้นดูถูกพ่อค้าริมทางอย่างเถ้าแก่ซุนนัก แต่ภายในจิตใจยังคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าช่วงหนึ่ง นับประสาอะไรกับผู้ทำอาชีพค้าขาย กล่าวขอบคุณอะไรกัน
แต่จี้หยวนกล่าวขอบคุณแล้ว เขาไม่กล่าวขอบคุณจะไม่ดูสูงส่งกว่าท่านจี้หรือ
“โธ่เอ๋ย อย่ากล่าวเช่นนี้เลยๆ”
ริมฝีปากของเถ้าแก่ซุนกล่าวเช่นนี้ เพียงแต่ใบหน้าแดงฝาด กลับไปทำอาหารอย่างแคล่วคล่องไม่น้อย ยังไม่กล่าวถึงว่าท่านจี้เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง อาจารย์อิ๋นกล่าวขอบคุณทำให้เถ้าแก่ซุนรู้สึกหน้าชื่นเท่าทวี
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวอะไร หยิบตะเกียบกินบะหมี่ของตัวเอง
การกล่าวขอบคุณพนักงานบริการที่กระตือรือร้นกับพนักงานส่งของพนักงานส่งอาหารคือความเคยชินติดตัวจี้หยวนตั้งแต่ชาติก่อน ความจริงเมื่อก่อนเคยเห็นข่าวชวนปวดใจส่วนหนึ่ง ทำให้ชาติก่อนคนเคยชินอย่างจี้หยวนมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่โลกใบนี้หลังจากผ่านการสังเกตมาช่วงหนึ่ง จี้หยวนพบว่าความคิดด้านชนชั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก บางคนรู้หนังสือเรียนมารยาทก็มีภาษีดีกว่าคนอื่น นี่ก็คือสาเหตุที่จี้หยวนยิ่งรู้สึกว่าเทพหลักเมืองประจำอำเภอควรค่าแก่การเคารพมาก
เห็นจี้หยวนกินบะหมี่ตัวเอง อิ๋นจ้าวเซียนลังเลครู่หนึ่งทั้งยังไม่เอ่ยปาก บอกบุตรทานอาหารพร้อมกัน
บรรยากาศทั้งมื้อน่าอักอ่วนอยู่บ้าง ท่านจี้คนนี้ดูเหมือนไม่มีความคิดพูดคุย ยามเครื่องในวัวมาถึงก็แค่เรียกพ่อลูกตระกูลอิ๋นกินด้วยกันเท่านั้น
จี้หยวนยอมรับว่าไม่ใช่นักปราชญ์อะไร ดูจากความประพฤติอิ๋นชิงแล้วอิ๋นจ้าวเซียนคงไม่ใช่คนเย็นชา แต่จี้หยวนคิดว่าอาจารย์คนหนึ่งควรทำได้ดีกว่า ในอนาคตศิษย์ซึ่งสอนออกมาถ้าไม่สอบผ่านสร้างชื่อเสียงก็เป็นขุนนางสร้างชาติ
หลังจากกินไปพอสมควร อิ๋นจ้าวเซียนชิงคิดเงินทั้งหมด จี้หยวนก็ไม่พูดอะไร แต่ก่อนจากไปได้กล่าวประโยคหนึ่งกับอิ๋นจ้าวเซียน
ทำให้อิ๋นจ้าวเซียนอึ้งงันอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานไม่อาจดึงสติกลับมา ประโยคนั้นยังคงดังก้องอยู่ในสมอง
‘อาจารย์อิ๋น พวกพ่อค้าคือคันฉ่องสะท้อนสังคม ผู้ถ่ายทอดวิชาควรให้ความสำคัญกับคุณธรรมอาชีพ ถือเป็นอาจารย์ต้นแบบบุคคล!’
อิ๋นชิงรออยู่ข้างร้านบะหมี่ไม่ไหวอยู่บ้าง จับมือของบิดากวัดแกว่งไปมา
“ท่านพ่อ ท่านจี้ไปแล้ว พวกเรากลับบ้านเมื่อไหร่ดี”
อิ๋นจ้าวเซียนดึงสติกลับมา มองบุตรชายตนทั้งมองเถ้าแก่ซุนที่กำลังยุ่งไม่ว่างเพราะมีแขกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไป กลับบ้าน พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปเรือนสันติ เยี่ยมเยียนท่านจี้”