ตอนที่ 41 เรื่องแปลกบนถนน
แสงแดดยามเช้าสาดส่องถึงเรือนสันติ ต้นพุทรากลางลานออกดอกพุทราสีเขียวเหลืองบานสะพรั่ง กลิ่นบุปผาเลือนรางฟุ้งทั่วเรือนเล็ก ลอยออกนอกเรือนสันติอบอวลตรอกเทียนหนิวกว่าครึ่ง
สำหรับชาวบ้านซึ่งใช้ชีวิตในตรอกเทียนหนิว กลิ่นดอกพุทราเลือนรางที่ต่างจากอดีตรวมถึงผู้อาศัยใหม่ของเรือนสันติล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยของปีนี้
แม้ว่าเรือนสันติยังคงมีน้อยคนกล้าเข้าใกล้ แต่กลับไม่มีภาพความทรงจำน่ากลัวเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ถึงอย่างไรก็มีคนอยู่ข้างในมาสองเดือนอย่างปลอดภัย ทั้งอาจารย์อิ๋นแห่งสำนักศึกษาวิ่งไปเรือนสันติบ่อยครั้งก็ไม่เป็นไรเช่นกัน
จี้หยวนเปิดประตูเรือนหลักก้าวออกมาจากเรือน ยืดเอวบิดขี้เกียจอย่างสบายๆ คนไม่มีงานทำทั้งตอนนี้ยังไม่ขาดเงินอย่างเขา สามารถหลับถึงเวลานี้ได้อย่างอิสระ คนทั่วไปฟ้าสว่างเล็กน้อยก็ตื่นหมดแล้ว
“ตะวันโด่งข้าหลับใหลลำพัง น่าเสียดายข้าไม่ใช่เทพเซียน!”
แต่งกวีขบขันพึมพำประโยคหนึ่ง จี้หยวนเดินเข้าเรือนอย่างผ่อนคลาย หยิบกิ่งหลิวเล็กบางที่เก็บมาเมื่อวานจากข้างห้องครัว ตวัดนิ้วลากน้ำสายหนึ่งขึ้นมาจากโอ่ง
ขยับปลายนิ้วใช้กำลังภายในควบคุมกิ่งหลิวเสริมปราณวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง สับเปลี่ยนน้ำในโพรงปาก สิบกว่าวินาทีก็แปรงฟันเสร็จแล้ว
“อ้า… ถุย…”
เขาคายน้ำบ้วนปากสีขุ่นออกมา รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้น!
ตอนนี้จี้หยวนแปรงฟันมีประสิทธิภาพกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งเห็นชัดว่าเขายังรู้สึกว่าตอนนี้หินปูนหลังจากตื่นนอนทุกวันน้อยลงเรื่อยๆ บางทีภายหน้าสักวันหนึ่งอาจไม่ต้องแปรงฟันแล้ว
วันไหนไม่ต้องอาบน้ำไม่ต้องแปรงฟันจี้หยวนยินดีมาก แต่ต่อให้วันไหนท้องไม่หิว การกินข้าวยังเป็นสิ่งที่เขาไม่มีทางละทิ้งแน่
โลกนี้น่าเบื่อขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่อาจลิ้มรสอาหารอร่อยนั่นคงน่าเบื่อมาก
พกม้วนไม้ไผ่คัมภีร์หมาก ปิดประตูเรือน จี้หยวนก็ลอยชายออกไป ช่วงนี้เขารู้สึกว่า ‘พลังเพิ่มขึ้นมาก’ เริ่มคิดว่าเมื่อไหร่จะออกไปภายนอกเห็นโลกกว้างแล้ว
ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือตำราฝึกปราณสองเล่มจี้หยวนเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ตำราลับวิชายุทธ์สองเล่มก็ฝึกจนไม่เลวนัก แต่สิ่งที่เรียกว่าปราณดั้งเดิมเจ็ดระดับในเทียบรบทัณฑ์เหล็ก จี้หยวนไม่รู้ว่าสภาพอย่างตนนิยามแบบไหน ถึงอย่างไรก็เริ่มต้นด้วย ‘พรสวรรค์ปราณดั้งเดิม’
ตอนนี้จี้หยวนไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์บำเพ็ญเพียรฝึกปราณ ใช้วิชาโคจรปราณดั้งเดิมจากเทียบรบทัณฑ์เหล็กมาทดแทนชั่วคราว ใช้มันโคจรปราณวิญญาณ ทั้งละทิ้งปราณดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง
แม้รู้สึกผิดต่อปราณวิญญาณอยู่บ้างแต่ดีกว่าไม่มีกระมัง ทั้งวิชายุทธ์ยังยกระดับอย่างชัดเจนด้วย
ไม่ว่าอย่างไรต่อให้ไม่มีคุณสมบัติยืนหน้าผู้ฝึกเซียนปีศาจ แค่ป้องกันตัวเองในสังคมคงพอแล้วกระมัง
เขาอ่านคัมภีร์หมากพลางก้าวเดินอยู่บนทางสายเล็กของตรอกเทียนหนิว ระหว่างทางพบเจอผู้อาศัยในตรอกเทียนหนิว ล้วนทักทายอย่างเคารพว่า ‘อรุณสวัสดิ์ท่านจี้’ ส่วนจี้หยวนก็ยิ้มพลางตอบรับ
ทักษะการฟังระดับจี้หยวนยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือเสียงที่เคยได้ยินล้วนแยกแยะออกว่าเป็นใคร กล่าวทักทายโดยไม่กลัวว่าจะจำผิด
“โฮ่งๆๆ… โฮ่งๆๆๆ… กรรซ์… โฮ่งๆๆ…”
ห่างออกไปบนถนนตรงปากตรอก มีเสียงสุนัขเห่าดุดันดังมาเป็นระลอก ดูเหมือนว่าไม่ได้มีสุนัขตัวเดียวกำลังไล่ตามอะไรบางอย่าง
จากนั้นจี้หยวนได้ยินเสียงอลหม่านของผู้คนบนถนนดังมา
“อ๊าก สุนัขบ้านใครกัน ดุขนาดนี้เชียว!”
“ว้ายๆ จิ้งจอก!”
“จิ้งจอกจริงด้วย! ฮ่าๆๆ ใกล้ถูกสุนัขกัดตายแล้ว!”
“น่าเสียดายหนังทั้งตัวนั่น!”
“หลีกไปๆ จิ้งจอกอยู่ไหนๆ ถ้าจับได้ขนหนังคงงามนัก!”
“ไปทางนั้นแล้ว สุนัขไล่ตามอยู่นั่น ขนหนังโดนกัดยับเยินนานแล้ว!”
…
“โฮ่งๆๆ…”
โครมคราม…
“หงิงๆๆๆ…”
“อยู่นั่นเอง จับมันไว้! จับมันไว้ ดูเหมือนว่าภายในขนบนหลังยังมีของด้วย รีบไล่สุนัขออกไป!! เจ้าหมาบ้าปล่อย ปล่อย!”
“กรรซ์… โฮ่งๆๆ…”
…
จี้หยวนขมวดคิ้ว เร่งฝีเท้าอย่างบอกไม่ถูก ก้าวออกจากตรอกเทียนหนิวเดินไปตรงจุดที่มีเสียงอลหม่านกึกก้องซึ่งห่างไปไม่ไกล โคจรปราณวิญญาณใช้ท่าร่างวิชายุทธ์ ทั้งตัวเหมือนเงาเขียวเดินแหวกไปบนถนน ดูเหมือนกำลังเดินแต่ความเร็วว่องไวยิ่ง
หากไม่ใช่ว่าจี้หยวนใช้วิชาบังตา เกรงว่าสถานการณ์คงสับสนวุ่นวายแล้ว
…
ตรงมุมถนนผู้คนห้อมล้อมดูเรื่องสนุก
“เจ้าหมาบ้า ปล่อย! ปล่อย!”
ปึง!
“เอ๋งๆๆๆ…”
ชายดุดันสองคนใช้ท่อนไม้ฟาดใส่หมาบ้านสองตัวที่กัดจิ้งจอกไม่ปล่อย ฟาดจนหมาบ้านร้องครวญวิ่งหลบท่อนไม้ด้วยความเจ็บ
ชาวบ้านที่มุงดูมีกันยี่สิบกว่าคน เห็นจิ้งจอกแดงนั่นเลือดอาบหายใจรวยรินอยู่มุมถนน
“ฮ่าๆๆๆ จิ้งจอกตัวนี้เป็นของพวกเราแล้ว!!”
ชายคนหนึ่งในนั้นกำลังยื่นมือไปจับหางจิ้งจอก แต่จิ้งจอกใกล้ตายนั่นกลับกระโดดขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากฝูงชนทันที
“เฮ้ย แกล้งตาย!”
“จิ้งจอกตัวนี้ฉลาดขนาดนี้เชียว!”
ในฝูงชนมีคนร้องอุทาน
“อย่าปล่อยให้มันวิ่งหนี!”
“วิ่งไปไม่ไกลหรอก!”
จิ้งจอกแดงขากะเผลก หนีเตลิดอย่างสิ้นหวังยิ่ง หมาบ้านที่วนเวียนไม่ไปสองสามตัวนั่นตามมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเบื้องหน้ามีเงาเขียวสวมชุดคลุมยาวเข้ามาใกล้แต่ไกล
ถือม้วนตำราลอยล่องมา พบกันดั่งอาบไล้ลมวสันต์!
จิ้งจอกแดงอึ้งงันอยู่ตรงนั้น จากนั้นจึงได้สติกลับมา ยกขาหน้าก้มกราบไปทางจี้หยวนไม่หยุดทันที
“หงิงๆๆๆ… หงิงๆๆๆ…”
เสียงครวญจิ้งจอกเหมือนเสียงร้องไห้ ทั่วร่างยังบาดเจ็บหลั่งเลือด แต่กลับไม่กล้าหยุดท่าทางก้มกราบ
หมาบ้านสองสามตัวล้อมรอบเห่าเสียงดังไม่หยุดแต่ไม่ก้าวไปข้างหน้า ฝูงชนโดยรอบมีคนหวาดกลัวทั้งมีคนเอ่ยปากชม
“เฮือก… คงไม่ใช่ว่าจิ้งจอกตัวนี้เป็นภูตแล้วกระมัง ไม่นึกเลยว่าจะกราบขอร้องคนด้วย”
“ให้ตาย… เรื่องจริงหรือ!”
“น่ากลัวชะมัด! ตีให้ตายเลยเถอะ!”
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน”
“ท่านจี้จากตรอกเทียนหนิว เพื่อนสนิทของอาจารย์อิ๋น!”
“ใช่ๆ คนตรอกเทียนหนิวล้วนพูดว่าเป็นยอดบุคคล อาศัยอยู่เรือนสันติมาสองสามเดือนแล้ว”
“เฮือก…”
…
กลางฝูงชนมีเสียงวิจารณ์สงสัยดังเซ็งแซ่ ผู้ถือท่อนไม้คิดจับจิ้งจอกสองคนนั้นเห็นเรื่องแปลกตรงหน้าก็ไม่กล้ากระโดดออกมาโดยตรง
แต่จี้หยวนกลับไม่มองคนอื่น จ้องมองแค่จิ้งจอกแดงที่เหมือนเคยรู้จักตัวนี้ ทั้งเห็นขนเสือซึ่งซ่อนอยู่ใต้ขนอ่อนส่วนหลังของจิ้งจอก
จิ้งจอกแดงตัวนี้ต้องตื่นรู้มีปัญญาแน่ แต่เกือบถูกสุนัขกัดตาย คงไม่ใช่อสูรร้ายกาจอะไร บนตัวยังไม่มีกลิ่นอายไอพิฆาต
เห็นจิ้งจอกท่าทางอนาถทั้งก้มกราบขอร้องตนไม่หยุดเช่นนี้ จี้หยวนสะท้อนใจนัก ยิ่งไปกว่านั้นเห็นชัดว่าจิ้งจอกมาหาตน นับว่าบาดเจ็บเพราะเขาเช่นกัน
จี้หยวนเงยหน้ากวาดมองฝูงชนเลือนรางโดยรอบ แค่สองวินาทีก็เจอตัวต้นเรื่อง
“ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านตัดใจยอม ยกจิ้งจอกแดงตัวนี้ให้ข้าคนแซ่จี้ได้หรือไม่ หนังจิ้งจอกถูกหมาบ้านกัดยับเยินแล้ว คงไม่มีค่าเท่าไร ข้าคนแซ่จี้ยินดีจ่ายร้อยอีแปะ ทั้งสองถือว่าเห็นแก่หน้าข้าน้อยเป็นอย่างไร”
จี้หยวนประสานมือเล็กน้อย ขณะกล่าวยังมองไปทางชายถือกระบองสองคนนั้นซึ่งอยู่กลางฝูงชน นัยน์ตาเทานิ่งสงบไร้แววสบตามีประกาย
“เอ่อ… ถึงอย่างไรก็เป็นหนังจิ้งจอก หนึ่งร้อยอีแปะออกจะ… เฮือก เจ้าทำอะไร”
เดิมหนึ่งในนั้นคิดเอ่ยปากต่อรอง แต่ถูกพวกพ้องด้านข้างหยิกเข้าให้ ฝ่ายหลังไม่สนคำตำหนิพวกพ้อง หัวเราะพยักหน้ามาทางจี้หยวน
“ได้ๆ ถ้าท่านจี้ต้องการเชิญนำไปเลย หนึ่งร้อยอีแปะก็หนึ่งร้อยอีแปะ”
“ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนล้วงถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ หยิบเหรียญห้าอีแปะยี่สิบเหรียญส่งให้ทั้งสองคน จากนั้นจึงมองหมาบ้านสองสามตัวที่แยกเขี้ยวยิงฟัน รู้สึกปวดกะโหลกอยู่บ้าง
คนใช้เงินได้ สุนัขทำอย่างไร เนื้อติดกระดูก? ใครออกมาแล้วพกของพรรค์นั้นกัน!
“เอ่อ พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปเป็นอย่างไร”
จี้หยวนสาบานว่าเขาแค่คิดลองดู ผลลัพธ์คือพวกหมาบ้านอ้ำอึ้ง หันกลับเดินจากไปสองสามก้าวจริงๆ ทำให้จี้หยวนอึ้งงันครู่หนึ่ง ทั้งทำให้ผู้คนโดยรอบเบิกตากว้าง
คราวนี้กลางฝูงชนมีคนไม่น้อยตกตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
จี้หยวนมองฝูงชนที่มีแนวโน้มว่าจะรวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาถอนใจยื่นมืออุ้มจิ้งจอกแดงที่หมดแรงหลังผ่านความตื่นเต้นมาไว้ในอ้อมกอด
“ทุกคนแยกย้ายเถอะ!”
เขากล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้ก่อนที่ทุกคนจะได้สติกลับมา จี้หยวนพลันพุ่งตัวก้าวออกจากฝูงชนพลุกพล่าน ลอดผ่านฝูงชนอื่นที่ไม่รู้ความจริงรีบมาดูเรื่องสนุก ก่อนหายไปในปากตรอกด้านข้าง
คนอื่นหันหลังมามองแต่กลับเห็นแค่พวกชอบเรื่องสนุกรีบเร่งมาแต่ไม่เห็นเงาเขียวแล้ว