ตอนที่ 44 มังกรเหินส่งบุปผา
ไม่รู้ว่าจิ้งจอกแดงนอนหลับบนโต๊ะหินเมื่อไหร่ ลมเย็นพัดโชยโดนเส้นขนตลอดเวลา พวงหางปกคลุมตัว ยังกวัดแกว่งตรงหน้าเป็นพักๆ
จี้หยวนเปลี่ยนชุดคลุมเขียวเปื้อนเลือดจิ้งจอกตัวนั้น สวมชุดคลุมยาวแขนกว้างสีออกน้ำเงินแต่รูปแบบคล้ายคลึงกัน เมื่อก้าวออกมาจากห้องแล้วมองเห็นภาพนี้
ภายใต้ต้นพุทราออกดอกจิ้งจอกแดงนอนหมอบ สื่อนัยถึงความเงียบสงบอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นจี้หยวนออกมาจากห้อง จิ้งจอกซึ่งเดิมหลับสนิทลืมตาชะโงกมองเขาทันที
“เจ้าพักผ่อนอยู่ในบ้าน ข้าไปตลาดนัดซื้อของกินกลับมาให้เจ้า”
จี้หยวนพูดพลางเดินผ่านข้างกายจิ้งจอกแดง ก่อนเปิดประตูเรือนยังหยุดชั่วขณะ จากนั้นจึงหันกลับมามองจิ้งจอกแดงที่จ้องตนตลอดตัวนั้น
“อาศัยอยู่เรือนสันติ อย่าให้ข้าพบว่าตรอกซอยบ้านไหนขาดไก่พร่องเป็ดโดยประหลาด รู้แล้วใช่หรือไม่”
น้ำเสียงจี้หยวนเห็นชัดว่าเป็นกันเองมาก แต่ภายใต้การจับจ้องด้วยดวงตาสีเทาราบเรียบนิ่งสงบคู่นั้น จิ้งจอกแดงรู้สึกร้อนตัวเท่าทวี
“หงิงๆ…”
“อืม ข้าจะถือว่าเจ้ารู้แล้ว!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบจี้หยวนจึงออกไปตลาด
วันนี้ยังเป็นร้านบะหมี่ตระกูลซุน จี้หยวนได้ยินร้านบะหมี่มีลูกค้าคุยเรื่องแปลกบนถนนเมื่อเช้าแต่ไกล
“โอ้ ท่านจี้มาแล้ว!!”
ยังคงเป็นเถ้าแก่ซุนเห็นจี้หยวนก่อน เสียงพูดคุยตรงร้านบะหมี่เงียบไปทันที ใบหน้ามากมายหันมามอง เมื่อสายตาจี้หยวนหันไปพวกเขาหันกลับกินบะหมี่ต่อทันที
“สวัสดีท่านจี้!”
มีลูกค้าประจำสองคนที่เมื่อก่อนรู้จักจี้หยวนกล่าวทักทาย
“สวัสดี!”
ยามจี้หยวนตอบรับเขาเดินมาถึงภายใต้เพิงของร้านบะหมี่แล้ว เถ้าแก่ซุนออกมาเช็ดโต๊ะว่างเพียงตัวเดียวรอบหนึ่งเป็นการเฉพาะ
“ท่านจี้เชิญนั่ง วันนี้มีเครื่องในแพะ เก็บไว้ให้ท่านแล้ว!”
“ดี ขอแบบเดิม หมี่พะโล้หนึ่งชามเครื่องในหนึ่งชาม!”
จี้หยวนดึงแขนเสื้อนั่งลงตรงนั้น เถ้าแก่ซุนยังไม่จากไป เอ่ยถามเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“ท่านจี้ ข้าได้ยินคนบอกว่ายามเที่ยง ท่านช่วยจิ้งจอกตัวหนึ่งหรือ”
คนคุ้นเคยล้วนรู้ว่าท่านจี้แห่งตรอกเทียนหนิวถ่อมตัวมีมารยาทเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เถ้าแก่ซุนที่เดิมคิดเองว่าสนิทกับจี้หยวนไม่กดดันอะไร เมื่ออยากรู้อยากเห็นแน่นอนว่าต้องถาม
ลูกค้าคนอื่นล้วนเงี่ยหูฟัง แม้แต่เสียงสูดเส้นบะหมี่ยังไม่มี
จี้หยวนรู้สึกขบขันอยู่บ้าง ต่อให้ต่างยุคสมัยการหาเรื่องนินทาของผู้คนก็ไม่ต่างกันนัก ในเมื่อไม่กดดันอะไรก็พูดตรงๆ
“มีเรื่องนี้จริง ตอนนั้นข้าคนแซ่จี้เดินมาตามถนน จิ้งจอกตัวนั้นถูกหมาบ้านไล่กัดถูกชายว่างงานไล่ตี หนีตลอดทางจนมาอยู่ตรงเท้าข้า ข้าเห็นมันท่าทางอนาถจนสะท้อนใจจึงช่วยมันมา”
ความจริงเรื่องแบบนี้ก็เหมือนตาเฒ่ามั่งคั่งสักตระกูลแต่งอนุภรรยาอายุน้อยเข้ามา เป็นเรื่องครึกโครมช่วงหนึ่งก็จะซาลงไป แม้ว่าจิ้งจอกกราบคนหายาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับคนทั่วไป เพียงแต่ผู้คนย่อมมีภาพจำพิเศษต่อท่านจี้แห่งตรอกเทียนหนิวแน่
จี้หยวนกล่าวเรียบง่ายสบายๆ ไม่พูดถึงเรื่องแปลกอย่างจิ้งจอกกราบคนหมาบ้านยอมถอยอะไร
“ท่านจี้เป็นคนใจบุญจริง!”
เถ้าแก่ซุนต้องทำการค้าไม่อาจคุยนานนัก กล่าวชื่นชมแล้วกลับไปยุ่งง่วน แต่ในใจยิ่งแน่ชัดว่าจี้หยวนเป็นยอดบุคคล คิดว่าภายหน้าอาจเชิญเขามาทำนายฝันได้
วันนี้จี้หยวนเปลี่ยนความเคยชินซึ่งเคี้ยวละเอียดก่อนกลืนเป็นกินบะหมี่รวดเร็ว จากนั้นจึงตรงไปตลาดนัดซื้อไก่มาสองตัว ตัวหนึ่งไก่เป็นอีกตัวถูกเจ้าของแผงฆ่าแล้ว
เมื่อกลับบ้าน ไก่แก่ตัวเมียที่ถือในมือยังห่อเหี่ยว แต่ยามเปิดประตูเรือนสันติออก
หนึ่งไก่หนึ่งจิ้งจอกสบตากันชั่วพริบตา
“กระต๊าก… กระต๊ากๆ… กระต๊ากๆ…”
ไก่แก่ตัวเมียกระโดดโครมครามตามสัญชาตญาณด้วยความกลัวทันที พร้อมออกแรงกระพือปีกด้วย จิ้งจอกตัวนั้นยืนขึ้นบนโต๊ะหิน ยิงฟันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเผยสีหน้าดุร้าย
จี้หยวนปวดกะโหลกอยู่บ้าง ปิดประตูเรือนแกว่งไก่ตายอีกมือคุยกับจิ้งจอกแดง
“วันนี้เจ้ากินตัวนี้ รอฟื้นตัวหน่อยค่อยให้เจ้ากินไก่เป็น”
จี้หยวนกล่าวประโยคนี้จบแล้วเดินตรงไปข้างห้องครัว ขังไก่ตัวเมียไว้ในเล้าไก่ซึ่งฝุ่นเกาะมานานนั่น จากนั้นค่อยเข้าห้องครัวไปหยิบหม้อมาต้มน้ำ
จี้หยวนที่ทำอาหารไม่เป็นเลาะกระดูกไก่ทั้งตัวออกอย่างเปลืองแรง เตรียมทำเนื้อไก่ต้มน้ำเปล่าง่ายๆ
แม้ว่าดูเหมือนฟื้นตัวไม่เลว แต่ถึงอย่างไรจี้หยวนก็เคยเห็นสภาพจิ้งจอกเมื่อเช้า กินอาหารสุกก่อนเถอะ
…
แสงสายัณห์มาเยือนทีละน้อย หลังจากจี้หยวนใช้หม้อดินทรายใส่เนื้อไก่พร้อมน้ำแกงมาวางบนโต๊ะหิน เขาก็เริ่มค้นคว้าเทียบอักษรนั้นอย่างจริงจัง
ชาติก่อนมีคำกล่าวว่าอักษรดุจวิชากระบี่ เมื่อก่อนจี้หยวนไม่เชื่อ ตอนนี้จำต้องเชื่อแล้ว
ตัวอักษรบนเทียบอักษรนี้ติดกันเป็นแถบ ดูเฉียบคมเหมือนมังกรเหินยิ่ง บนนั้นไม่มีคำอธิบายกระบวนท่ากระบี่โดยตรง แต่ในสายตาจี้หยวนกลับมีอานุภาพกระบี่กลมกลืนกับธรรมชาติ
เขาโบกสะบัดมือ กิ่งไม้บางใต้ฝ่าเท้าลอยตกสู่มือจี้หยวน เขาไม่แน่ใจว่าเคล็ดวิชาฝึกปราณมีวิชาแบบเดียวกันหรือไม่ แต่กำลังกายในระดับสูงที่เรียกว่า ‘คว้าของกลางอากาศ’ ใช้ปราณวิญญาณสำแดงออกมาจนโดดเด่นไม่มีกลิ่นอายใดจริงๆ
ฟุ่บๆ… ฟิ้วๆ… วู้ม…
ใช้กิ่งไม้บางแทนกระบี่ ไม่มีวิชากระบี่เป็นรูปธรรมจี้หยวนใช้อานุภาพกระบี่สง่างามอิสระหลอมรวมกับวิชาดาบของเทียบรบทัณฑ์เหล็กชั่วคราว อาศัยความรู้สึกฉับไวปรับจุดขัดข้องพวกนั้น เกี่ยว คล้อง จรด ฉุด แทง ตรึง ฟันอย่างชำนาญ
เงาวิชาดาบหายไปช้าๆ แม้แต่เงากระบวนท่าโดยละเอียดก็หายไป จี้หยวนรู้สึกเหมือนกำลังคัดอักษร อานุภาพกระบี่ดุจปลายพู่กัน เงากระบี่สะบัดคล้ายโจมตีทีละกระบวนท่าแต่ต่อเนื่องเป็นธรรมชาติดั่งมังกร
ชาตินี้ศิลปะการคัดอักษรติดตัวของจี้หยวนเดิมก็เรียกว่าเยี่ยมยอด ยามนี้ยิ่งเหมือนร่ายกระบี่คัดอักษรตามเทียบเจตกระบี่
ภายในเรือนสันติสายลมหมุนวนตามใจ ยามอานุภาพกระบี่นุ่มนวลสายลมแผ่วเบาล้อมรอบเนิบช้า ยามอานุภาพกระบี่ดุดันสายลมเย็นพัดโหมขึ้นลง ปรวนแปรเกินคาดเดา อัศจรรย์อย่างยิ่ง!
นานเข้าจี้หยวนยิ่งทำตามใจปรารถนา กิ่งไม้บางในมือเหมือนถูกชักนำเล็กน้อย สุดท้ายเมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อเหวี่ยงกระบี่ สายลมเย็นในลานหอบกิ่งไม้ร่วงหล่นกับดอกพุทราพุ่งออกจากเรือนเล็กไปพร้อมกัน กลายเป็นมังกรบุปผาเขียวเหลืองเลือนรางตัวหนึ่งลอยเหนือตรอกเทียนหนิว สุดท้ายจึงซ่านสลายไป
ชาวบ้านบางคนได้กลิ่นหอมเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงสายลมเย็นส่งบุปผาดุจฝนโปรยปราย…
เนิ่นนานกว่าลมกระบี่ในเรือนเล็กจะหยุดพัก บนท้องฟ้าหมู่ดาวระยิบระยับนานแล้ว!
จี้หยวนปรับลมหายใจให้สงบลงช้าๆ ความรู้สึกเบิกบานสุขสำราญเมื่อครู่ปลอดโปร่งเป็นพิเศษจริงๆ เรื่องสำคัญกว่าคือต่อให้ตัวเขาคนแซ่จี้มองไม่เห็น แต่กลับรู้ว่าเมื่อครู่ต้องหล่อและสง่างามมากแน่!
“ไม่เลว ไม่พูดถึงว่าเทียบเจตกระบี่ไร้กระบวนท่านี้มีความเป็นมาอย่างไร กระบวนท่าเมื่อครู่เรียกว่ามังกรเหินแล้วกัน!”
บางทีจั่วขวงถูยอดฝีมือแห่งยุคบนยุทธภพเมื่อหลายสิบปีก่อนวาดฝันก็คิดไม่ถึง ตำราลับล้ำค่าในสุสานของตนสู้ไม่ได้แม้แต่ซี่โครงไก่ กลายเป็นว่าเทียบเจตกระบี่แฝงเจตกระบี่ทั้งชีวิตซึ่งทอดถอนใจก่อนตายกลับถูกจี้หยวนเห็นเป็นยอดสมบัติ
ไม่รู้ว่าจิ้งจอกกินเนื้อไก่หมดตั้งแต่เมื่อไหร่ มองจี้หยวนซึ่งร่ายมังกรเหินหมุนวนกลางลานอย่างอึ้งงัน ภาพบุปผาร่วงหล่นตามสายลมดุจมังกรรายล้อมทั้งลอยห่างไปไกลในลาน เจือกลิ่นอายเข้าขั้นอย่างหนึ่ง ทำให้จิ้งจอกแดงตกตะลึงอย่างรุนแรง!