ตอนที่ 49 ลูกผู้ชายถึงตายอย่าขายฝัน
“ผู้นำตระกูลเว่ย หยกฟ้าตกทอดตระกูลท่านมีความเป็นมาอย่างไร”
บุคคลลึกลับของทางการกล่าวเช่นนี้ทำให้เว่ยอู๋เว่ยเบาใจลงเล็กน้อย แม้ว่าเรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับ แต่ใช่ว่ากล่าวไม่ได้ ทั้งสถานการณ์นี้ยังไม่ใช่ช่วงที่เว่ยอู่เว่ยจะทำอะไรได้ตามใจ
“ใต้เท้าคงไม่รู้ ในตระกูลบอกกันปากต่อปาก บรรพชนตระกูลเว่ยของข้าเคยช่วยกระเรียนเซียนตัวหนึ่ง ภายหลังกระเรียนเซียนคาบหยกกลับมา มอบเป็นของกำนัลแก่บรรพชนตระกูลเว่ยเพื่อตอบแทนบุญคุณ หยกฟ้านี้ตกทอดมารุ่นต่อรุ่น ตอนนี้ส่งต่อมาถึงมือข้าเว่ยอู๋เว่ย…”
“มีผู้อาวุโสบอกว่าพกหยกนี้แล้วขับไล่สิ่งชั่วร้ายก็จริง แต่เรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ ทั้งไม่มีข้อพิสูจน์ใด!”
เว่ยอู๋เว่ยพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดมองคนชุดดำซึ่งนอนอยู่บนพื้นโดยที่ไม่อาจขยับเล็กน้อย
“เรื่องกลายเป็นเซียนเลือนรางว่างเปล่าเกินไป ปีนั้นจักรพรรดิเจิ้งหยวนแห่งต้าเจินหาเซียนแสวงมรรคครึ่งชีวิตกลับถึงแก่กรรมก่อนวัยอันควร จั่วขวงถูฉายาเซียนกระบี่ก็สิ้นชีพด้วยความแค้นไม่ใช่หรือ”
เว่ยอู๋เว่ยรู้สึกขบขันถึงขีดสุด ต่อให้พวกเขาชิงเทียบเจตกระบี่มาไขความลับทั้งเจอตำราลับแห่งยุคของจั่วขวงถูจริง แม้มอบหยกฟ้าให้พวกเขา อาศัยสิ่งเหล่านี้มาบรรลุเซียน? จักรพรรดิอำนาจล้นฟ้ายังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนพวกนี้
“ไร้สาระจริงๆ ไปอารามขอเทพกราบพระยังสมจริงกว่า คิดไม่ถึงว่าข้าเว่ยอู๋เว่ยจะถูกพวกคนบ้าโจมตี!”
การพูดความจริงมาจากสัญชาตญาณ จี้หยวนคิดว่าแววปรามาสของเว่ยอู๋เว่ยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ หรือกล่าวได้ว่าคนตระกูลเว่ยรู้แค่เรื่องราวตกทอดจากบรรพชนจริงๆ ถึงขั้นคิดว่าหยกฟ้านี้นอกจากมีราคาแล้วไม่มีความอัศจรรย์ใด
ทว่าคนชุดดำบนพื้นกลับไม่โต้แย้ง หากแต่เคลื่อนปราณฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในตลอด อดทนรอเว่ยอู๋เว่ยเย้ยหยันจบแล้วเขาจึงเตรียมเอ่ยปาก ความสนใจหลักอยู่กับจี้หยวน
กลัวแต่ว่าคนของทางการผู้นี้จะกระทำตามกฎเกณฑ์โดยไม่ลังเล ตอนนี้ไม่แผลงฤทธิ์ถือว่ายังเจรจาได้ เห็นพวกพ้องชุดดำอีกคนหมดสติไปนานแล้ว ส่วนพวกเซี่ยงเฟิงเขาไม่ใส่ใจ
“จริงดังว่า เจ้าเว่ยอู๋เว่ยล้วนพูดถูก แต่เจ้ากล้าบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีเซียนหรือไม่ หกปีก่อนไร้ลมไร้ฝน เกิดหลุมกว้างน้ำทะเลสาบเต็มสามสิบลี้ ชาวบ้านริมฝั่งประสบภัยใครไม่รู้บ้าง สองปีก่อนมือดาบตู้อวี้เทียนฟันภูตผีหลังร่ำสุรา ตัวดาบน้ำแข็งเกาะสามวันไม่สลาย ผู้ผูกมิตรกับตระกูลตู้ใครไม่รู้บ้าง ปีนั้นอสูรหน้ายิ้มฝันเห็นเทพหลักเมืองทางเหนือดึงวิญญาณ หลังจากตื่นสหายป่วยตาย จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเป็นทูตดึงวิญญาณหน้ายิ้ม… เรื่องพวกนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือบนยุทธภพ!”
คนชุดดำเห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบจี้หยวนไม่แสดงอารมณ์ ใบหน้ามืดดำนั้นดูเหมือนมองเขาเป็นตัวตลก ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้า ห้าปีก่อนข้าชนสุราบ่มนานปีไหหนึ่งริมแม่น้ำวสันต์แตก ดึงดูดเต่ายักษ์กระดองดำตัวหนึ่งมา เต่ายักษ์ตัวนี้พูดภาษาคนได้ ขอสุราชั้นดีกับข้า บอกว่าต้องมอบให้เทพแม่น้ำวสันต์ ตั้งแต่นั้นมาวันที่สิบห้าเดือนห้าของทุกปี ข้าต้องส่งสุราไปริมแม่น้ำ เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนไม่พูดปดแม้แต่น้อย!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นอกจากชายชุดดำอีกคนซึ่งหมดสติไปแล้ว แม้แต่ห้าโจรแดนเยี่ยนที่เหลือซึ่งซึมเซาอยู่ด้านข้างก็ยังแปลกใจ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้เรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างการบรรลุเซียนพวกนี้
ตอนนี้ภายนอกจี้หยวนแค่ดูเหมือนใบหน้าไร้ความรู้สึก ความจริงในใจสั่นสะท้านไม่หยุดตั้งนานแล้ว แต่ยังควบคุมความตื่นเต้นของตนไว้ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเฉยชา
“พูดต่อสิ!”
คนชุดดำกลืนน้ำลายดังอึก มองเว่ยอู๋เว่ยซึ่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ด้านข้างเล็กน้อย
“เต่ายักษ์ตัวนั้นพูดว่าไม่อยากรับสุราชั้นเลิศของข้าเปล่าๆ บอกวิธีค้นหาวาสนาเซียนสามอย่างกับข้า หนึ่งคือเทียบเจตกระบี่ พูดตามตรงว่าซ่อนอยู่ตระกูลฝานแห่งจังหวัดติ้งหยวน เต่าเฒ่าอธิบายว่ากระบี่ยาวเงาพิสุทธิ์มีจิตวิญญาณตามธรรมชาติแล้ว ผู้ครอบครองย่อมมีวาสนา สองคือหยกฟ้าตกทอดตระกูลเว่ย…”
คนชุดดำหยุดตรงนี้ครู่หนึ่ง คล้ายไม่อยากพูดเรื่องหยกฟ้ามากเกินไป ข้ามไปทั้งอย่างนั้นก่อนกล่าวต่อ
“วาสนาเซียนที่สามอยู่รัฐทงซึ่งห่างไกลหลายพันลี้ ขอเพียงวันนี้ท่านปล่อยข้าไป หยกฟ้าตระกูลเว่ยนี้ท่านนำไปได้เลย หลังจากรักษาหายข้าจะบอกท่านว่าต้องใช้หยกฟ้านี้แสวงหาวาสนาเซียนอย่างไร!”
ลมกลางคืนพัดโชย แต่กลับไม่หนาวเย็น
ต่อให้ก่อนหน้านี้ฟังเรื่องพวกนั้นแล้วรู้สึกไร้สาระ แต่เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ด้านหลังเว่ยอู๋เว่ยร้อนผ่าวตื่นตระหนกไม่หยุด
“ใต้เท้าท่านนี้ ท่านคงไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของพวกโจรร้ายกาจกระมัง! ท่านช่วยชีวิตของข้าเว่ยอู๋เว่ย หยกฟ้านี้มอบให้ท่านเป็นของตอบแทนก็ทดแทนบุญคุณช่วยชีวิตนี้ไม่ได้!”
เว่ยอู๋เว่ยซึ่งรูปร่างอวบอ้วนสมบูรณ์กล่าวเคร่งครัด หยิบหยกฟ้าออกมาจากอกมอบให้จี้หยวนโดยตรง หันหน้ามองชายชุดดำบนพื้นคนนั้น
“แต่คนผู้นี้กล่าวถ้อยคำเหลวไหลไม่ว่า ยังปั่นป่วนสถานการณ์ยุทธภพก่อให้เกิดการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน ไม่ว่าตามกฎเกณฑ์หรือหลักการล้วนปล่อยไปไม่ได้!”
เว่ยอู๋เว่ยไม่อยากส่งมอบหยกฟ้าออกไปนัก แต่เขาไม่กล้าเดิมพัน ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ถ้ายอดฝีมือลึกลับคนนี้หวั่นไหวเชื่อเรื่องวาสนาเทพเซียนก่อนหน้านี้เล่า เขากุมสมบัติตกทอดประจำตระกูลด้วยเกรงว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน!
อีกอย่างชายชุดดำคนนี้พูดจาแปลกอยู่บ้างจริงๆ แม้แต่เขาเว่ยอู๋เว่ยยังอดเกิดคลื่นระลอกในใจไม่ได้ เมื่อนำตัวเองไปเทียบกับผู้อื่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา เว่ยอู๋เว่ยเลือกใช้น้ำใจคนต่ำช้ามาประเมินวิญญูชน!
หากมีความคิดเป็นอื่นจริง หวังว่าหนทางนี้จะมีประโยชน์บ้าง เว่ยอู๋เว่ยตวาดเดือดดาลใส่คนชุดดำ ความจริงแค่ปกปิดความประหม่าของตน!
ยามนี้ในหัวจี้หยวนความคิดแล่นปราด เผชิญหน้ากับหยกฟ้าที่เว่ยอู๋เว่ยมอบให้ เรียกว่าใจเต้นถึงขีดสุด แต่ในฐานะผู้ฝึกเซียนมาครึ่งหนึ่ง จี้หยวนสังเกตเห็นช่องโหว่จากเรื่องกระเรียนเซียนตอบแทนบุญคุณซึ่งเว่ยอู่เว่ยเล่ามาเมื่อครู่ หากเปลี่ยนเป็นตน ช่วงสำคัญที่คาบหยกมาทดแทนบุญคุณไม่ควรเป็นหยกแต่เป็นคน!
จี้หยวนยอมรับว่าตนคิดมาก แต่ไม่อยากให้เกิดตัวแปรอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสาเหตุสำคัญอีกอย่าง
ด้วยสายตาของคนตาบอด ไอโหดเหี้ยมบนตัวชายชุดดำคนนี้แทบจะแผ่ออกมา ไม่ใช่คนดีเด่อะไรแน่ แต่เว่ยอู๋เว่ยคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่ต่อกรได้ง่าย ถ้ารอบคอบจริงหรือต้องเค้นถามเรื่องวาสนาเซียนโดยละเอียดแล้วค่อยฆ่าปิดปาก ตนตัดใจฆ่าคนลงไหม ฆ่าโจรชั่วอาจทำได้ ฆ่าพวกเว่ยอู๋เว่ยทำใจได้ไหม
‘นิสัยของเราจี้หยวนเป็นอย่างนี้หรือ ยามสอนเสือร้ายยังพูดว่าการฝึกปราณจำต้องทำตัวเป็นคนก่อน ตนอยากฝึกเซียนจนทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมายหรือ เทพเซียนในใจเรามีอิสระเสรีแต่ไม่เนรคุณอยุติธรรม เห็นชีวิตบนโลกแล้วยังรู้สึกร่วม! ถ้าเป็นคนวิปริตยังจะฝึกเซียนอะไร!’
ลูกผู้ชายถึงตายอย่าขายฝัน เวลานี้จี้หยวนซึ่งปลุกจิตวิญญาณเพ้อฝันขึ้นมากลับยิ่งคิดยิ่งเบิกบาน
‘ตอนสอนจิ้งจอกน้อยยังบอกว่าคนไม่อาจโลภมาก ตอนนี้ตนไม่น่าขันหรอกหรือ’
ต้องพูดว่าจี้หยวนรู้ดีว่าความคิดของตนตอนนี้อาจไร้เดียงสาอยู่บ้าง แต่ในเมื่อตนยังมีหนทางให้เลือก ทำไมไม่เลือกทางซึ่งตัวแปรน้อยทั้งไม่ละอายต่อตัวเองเล่า อย่างน้อยในมือก็มีเทียบเจตกระบี่แล้ว!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ในเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ในใจปราศจากกังวลเหมือนทุกชีพจรเชื่อมต่อกัน ทั้งตัวสบายอย่างยากบรรยาย จี้หยวนถือเป็นความรู้สึกสำเร็จจากการที่ตนไขโจทย์ยากออก
เมื่อมองหยกฟ้าซึ่งเว่ยอู๋เว่ยส่งมาอีกครั้ง ภายใต้ความไม่มีภาระจี้หยวนคิดจะหยอกล้อขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ยื่นมือรับหยกฟ้านุ่มนวลมาเล่นในมืออย่างเป็นธรรมชาติ หันมองไปทางเว่ยอู๋เว่ย
“ผู้นำตระกูลเว่ย หยกฟ้านี้เป็นถึงสมบัติตกทอดตระกูลเว่ย ยิ่งไปกว่านั้นหากคนผู้นี้ไม่กล่าวเลื่อนลอย ยังเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับหนทางเทพเซียน เจ้ามอบให้ข้าเช่นนี้? ถือว่าเป็นการตอบแทนด้วยใจจริงหรือกลัวข้าลงมือกับเจ้า?”
คำพูดนี้ทำให้เว่ยอู๋เว่ยเกือบตัวสั่น แต่ใช้เจตจำนงแข็งแกร่งกับน้ำหนักตัวปกปิดไว้
“ไม่กลัวใต้เท้าขบขัน ข้าเว่ยอู๋เว่ยรักตัวกลัวตายที่สุด แต่ยังไม่ถึงขั้นใช้น้ำใจคนต่ำช้าประเมินวิญญูชน! หยกประดับข้าอยากมอบให้ใต้เท้าด้วยใจจริง ยิ่งไปกว่านั้นการเป็นเทพเซียนอิสระเท่าข้ามนุษย์ปุถุชนเพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองร่ำรวยหรือ”
จี้หยวนแสยะยิ้ม พลันรู้สึกว่าเว่ยอู๋เว่ยเป็นคนน่าสนใจ
“ฮ่าๆๆ… ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะนี้เป็นเพราะเว่ยอู๋เว่ย ทั้งเป็นการปลดปล่อยด้วยยามนี้กายใจแช่มชื่น
แน่นอนว่าการระเบิดหัวเราะลั่นกะทันหันของจี้หยวนทำให้ทุกคนตกใจ เขาพิจารณาหยกประดับในมือ โยนมันคืนให้เว่ยอู๋เว่ย ทำเอาฝ่ายหลังลนลานรับไว้
“ข้าน้อยแค่ผ่านทางมาที่นี่ ยังต้องตามสืบคดีสำคัญ ล่าช้านานพอแล้ว รบกวนผู้นำตระกูลเว่ยคุมตัวคนร้ายส่งทางการ!”
จี้หยวนพูดประโยคนี้จบแล้วกระโดดย่ำอากาศ ใช้วิชาตัวเบากระโดดเหยียบต้นไม้ข้างทางหลวงส่งแรง เหยียบต้นหยางต้นหนึ่งจนโค้งงอเล็กน้อย จากนั้นค่อยรวบรวมแรง
ทั้งตัวพุ่งโฉบออกไปดังฟุ่บ ภายใต้แรงส่งจากการเหยียบลำต้นบ่อยครั้งทำให้ความเร็วว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ไม่คิดหันกลับมาแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างอึ้งงัน เว่ยอู๋เว่ยตอบสนองเร็วที่สุด รีบตะโกนไปทางเงาหลังซึ่งห่างออกไป
“ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามว่ากระไร!”
ทว่ากระทั่งเงาหลังหายไปก็ไม่มีการตอบรับแม้แต่น้อย
กลางป่าเขา บนทางหลวง ข้างรถม้า เงียบสนิทไร้สุ้มเสียง
เว่ยอู๋เว่ยหันกลับมากวาดมองพวกโจรกับคนชุดดำซึ่งยังตกตะลึงรอบหนึ่ง ลูบหน้าอกปรับลมหายใจตน กล่าวระบายยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่
“เอ่อ… ดูเหมือนว่าพวกเจ้าล้วนตกอยู่ในมือข้าแล้ว หึๆๆๆ!”