ตอนที่ 52 คำพูดเดียวรู้แจ้ง
แม้ว่ามุมตรอกเทียนหนิวนี้ลับตาคน แต่ไม่มีความรู้สึกมืดครึ้มใดๆ เว่ยอู๋เว่ยเดินมาถึงหน้าประตูเรือนเล็ก ส่วนภายในสมองเรียบเรียงคำพูด
บนโต๊ะหินภายในเรือน กระดานหมากไม้จันทน์หนึ่งวางอยู่ จี้หยวนและอิ๋นจ้าวเซียนต่างอยู่คนละด้าน อิ๋นชิงนั่งข้างโต๊ะหิน ค้ำหน้าพยายามมองกระดานหมากที่ความจริงไม่เข้าใจสักนิด
จี้หยวนเดินหมากตามตำรา ล้วนวางตามรูปแบบที่อ่านจากหนังสือ ถือว่าเปิดกระดานอย่างประณีต แต่ฝีมือการเล่นหมากไม่เก่งจริงๆ ยังดีว่าอิ๋นจ้าวเซียนไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร ดังนั้นทั้งสองคนยังผลัดกันเดินได้
ยามนี้ถึงคราวอิ๋นจ้าวเซียนวางหมาก ขณะกำลังใคร่ครวญ
จี้หยวนพลันเลิกคิ้วยิ้มกล่าว
“นอกประตูมีแขกมาแล้ว”
ฟังจากเสียงฝีเท้า ผู้มาเยือนไม่ถือของหนักก็น้ำหนักตัวมาก
อิ๋นจ้าวเซียนเห็นความสามารถราวคาดการณ์ล่วงหน้าของจี้หยวนจนชินแล้ว แต่อยากรู้นักว่าใครมาเยี่ยมเยียน ถึงอย่างไรอำเภอหนิงอันนี้ผู้วิ่งมาเรือนสันตินอกจากคนบ้านตนแล้วเหมือนไม่มีใครอีก
ไม่นานเสียงเคาะประตูดังมาจากประตูเรือนตามคาด
ก๊อกๆๆ…
“ไม่ทราบว่าท่านจี้อยู่หรือไม่ ข้าน้อยเว่ยอู๋เว่ย เป็นพ่อค้าจากจังหวัดเต๋อเซิ่ง ได้ยินว่าท่านเป็นบัณฑิตรูปงามแห่งอำเภอหนิงอัน จึงมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ!”
เว่ยอู๋เว่ย?
จี้หยวนอึ้งงันเล็กน้อยก่อนดึงสติกลับมาทันที เขาหันไปมองอิ๋นชิง
“เสี่ยวอิ๋นชิง ช่วยข้าไปเปิดประตูหน่อยได้หรือไม่”
“ขอรับ!”
อิ๋นชิงพุ่งตัวออกจากที่นั่งทันที ห้อตะบึงไปทางประตูเรือนดังตึงตัง เปิดประตูไม้ซึ่งไม่เคยลงกลอนออก สำรวจมองชายร่างอ้วนสวมชุดคลุมหรูหราตรงนอกประตู
“เข้ามาเถอะ! ต้องการให้ข้าช่วยท่านถือของหรือไม่”
“ไม่ต้องๆ ข้าถือเอง!”
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มพลางตอบรับเด็กหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนนี้ หิ้วของบนพื้นขึ้นมาก่อนก้าวเข้าเรือนเล็ก
ภายในหนึ่งชุดขาวหนึ่งชุดเขียวกำลังนั่งประลองหมาก ต้นพุทรามีบุปผาโปรยปรายร่วงหล่นตามสายลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา
‘ทิวทัศน์งามนัก!’
เว่ยอู๋เว่ยแอบชื่นชม เห็นผู้ประลองหมากสองคนล้วนมองตนจึงรีบกล่าว
“สวัสดีท่านจี้ ท่านนี้คืออาจารย์อิ๋นกระมัง มาหาโดยพลการยามเร่งด่วนไม่ทราบว่าจะนำอะไรติดตัวมา นี่คือขนมของหอนอกศาล สุราตระกูลเฉิน น้ำใจเล็กน้อยไม่อาจแทนความเคารพนับถือ!”
มือซ้ายจี้หยวนจับแขนเสื้อ มือขวาหยิบหมากขาวจากกล่องตัวหมาก วางลงกลางกระดานหมากเบาๆ เขากำลังเรียนรู้ความสง่างามของวิถีหมาก
เมื่อวางหมากเสร็จจี้หยวนไม่ลุกขึ้นมา เพียงแต่มองไปทางเว่ยอู๋เว่ยพลางกล่าว
“ไม่ทราบว่าท่านเว่ยมาด้วยเรื่องใดกันแน่ หรือแค่มาเพื่อเจอข้าคนแซ่จี้ครั้งหนึ่ง”
เว่ยอู๋เว่ยเห็นดวงตาสีเทาของจี้หยวนแล้วอึ้งงันเล็กน้อย กล่าวในใจว่าช่างเหมือนในข่าวลือจริงๆ ครั้นเผชิญหน้ากับคำถามแล้ว เขารีบวางของในมือลงด้านข้างพลางประสานมือกล่าว
“ขอพูดตามตรง วันก่อนได้ยินว่ามีจิ้งจอกแดงก้มกราบขอความช่วยเหลือจากท่าน ทั้งยังทำให้หมาบ้านเชื่อฟังยอมถอย รู้สึกว่าอัศจรรย์นัก ในใจมีข้อสงสัยยากเข้าใจมานาน จึงคิดอยากมาขอคำชี้แนะจากท่าน”
อิ๋นจ้าวเซียนที่กำลังหยิบหมากดำใคร่ครวญได้ยินคำพูดนี้แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ส่งเสียงอะไร จี้หยวนที่อยู่ตรงข้ามอมยิ้มพยักหน้าไม่พูดจาเช่นกัน
แต่อิ๋นชิงตื่นเต้นมาก
“แน่นอน ท่านจี้ร้ายกาจนัก เมื่อวานข้าปล่อยจิ้งจอกน้อยกลับป่าพร้อมท่าน ท่านจี้ตั้งชื่อให้จิ้งจอกน้อย มันยังกราบท่านไม่หยุด…”
“ชิงเอ๋อร์!”
อิ๋นจ้าวเซียนหันมาทันที จ้องอิ๋นชิงด้วยสายตาเข้มงวด อิ๋นชิงตกใจจนรีบปิดปาก รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เห็นชัดว่าท่านจี้ยังไม่ห้าม เมื่อคืนยามท่านพ่อฟังยังซักถามต่อเนื่องไม่ใช่หรือ…
“ไม่เป็นไร!”
จี้หยวนยิ้มเตือนอิ๋นจ้าวเซียน จากนั้นค่อยชี้ที่นั่งตรงโต๊ะหิน กล่าวกับเว่ยอู๋เว่ยซึ่งยังยืนอยู่
“ท่านเว่ยมานั่งเถอะ พูดมาว่าท่านมีเรื่องใดไม่เข้าใจ”
“เอ่อ ได้!”
เว่ยอู๋เว่ยเดินมานั่งข้างโต๊ะหินอย่างยำเกรงอยู่บ้าง
ดังคำกล่าวว่าคำพูดของเด็กไม่อ้อมค้อม ทั้งยังไม่ใช่สถานการณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อะไรด้วย จากการตอบสนองของบิดาตระกูลอิ๋น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคำพูดที่อิ๋นชิงกล่าวเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
เว่ยอู๋เว่ยสูดหายใจลึกแล้วค่อยเอ่ยปาก
“ท่านจี้ ขอเรียนถามว่าบนโลกนี้มีภูตผีปีศาจจริงหรือไม่ มีหนทางแสวงเซียนจริงหรือ”
บรรยากาศกลางลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงคราวจี้หยวนวางหมากพอดี เขาวางหมากขาวในมือลงบนกระดานหมากก่อนกล่าวโดยไม่เหลือบมอง เพียงแค่คำเดียวเรียบง่าย
“มี!”
เหมือนโดยรอบยิ่งเงียบลงชั่วขณะ อิ๋นจ้าวเซียนหยิบหมากดำมองกระดานหมาก ในใจกลับคิดเรื่องเทพหลักเมืองตอนนั้น เว่ยอู๋เว่ยยิ่งตื่นเต้นจนลมหายใจปั่นป่วนอยู่บ้าง ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนซึ่งปกติสมาธิดีมากถึงเสียอาการเช่นนี้ นอกจากจี้หยวนแล้วก็มีแค่เสี่ยวอิ๋นชิงซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
“ท่านพ่อ ถึงตาท่านวางหมากแล้ว!”
“อ้อ ได้ๆๆ! หืม? เด็กอย่างเจ้าเข้าใจอะไร อย่างพ่อเรียกว่าใคร่ครวญทางหมาก!”
ได้ยินคำพูดของบุตรชายตน อิ๋นจ้าวเซียนได้สติกลับมา สั่งสอนบุตรชายพลางสุ่มวางหมากโดยไม่ใส่ใจ
เวลานี้เว่ยอู๋เว่ยมีหรือจะสนใจดูหมาก มองชายตาบอดชุดเขียวที่กำลังหยิบตัวหมาก ก่อนจะสงบอารมณ์ซึ่งตื่นเต้นอยู่บ้างค่อยกล่าวต่อ
“ท่านจี้ ตระกูลเว่ยของข้ามีหยกสมบัติตกทอดมารุ่นต่อรุ่นชิ้นหนึ่ง บรรพบุรุษฝากข้อความบอกต่อกันว่ากระเรียนเซียนตัวหนึ่งมอบเป็นของกำนัลตอบแทนบุญคุณ หลายปีมานี้ไม่เคยมีความอัศจรรย์แต่อย่างใด แต่วันก่อนข้าคนแซ่เว่ยประสบเคราะห์ รู้ว่าหยกนี้ยังมีวาสนาบางอย่าง ไม่ทราบว่า… ไม่ทราบว่าท่านช่วยข้าน้อยดูหน่อยได้หรือไม่”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภาพนี้ เหตุการณ์นี้ คนผู้นี้กลับทำให้เว่ยอู๋เว่ยมีความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวานคนชุดดำใช้กำลังช่วงชิงหยกฟ้า ตอนนี้กลับส่งมอบให้คนอื่นดูง่ายๆ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หยกสมบัติ’ อิ๋นจ้าวเซียนกับเสี่ยวอิ๋นชิงมองเว่ยอู๋เว่ยอย่างอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ อยากดูว่าเขาจะหยิบอะไรออกมา
ตอนนี้จี้หยวนเพิ่งหันกลับมามองเว่ยอู๋เว่ยเป็นครั้งที่สองพลางพยักหน้ากล่าว
“เอามาให้ข้าดูหน่อย!”
บังเอิญจริง เมื่อวานเขาคนแซ่จี้ไม่กล้าดูโดยละเอียด อยากค้นคว้าหยกฟ้าโดยละเอียดจริงอย่างน้อยก็ต้องเสริมด้วยปราณวิญญาณ ตอนนี้เว่ยอู๋เว่ยถึงกับนำหยกมาให้เขาดูด้วยตัวเอง
‘เรื่องราวบนโลกอัศจรรย์จริง!’
ยามจี้หยวนทอดถอนใจ เว่ยอู๋เว่ยดึงหยกประดับที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อออกมาแล้ว คลายเชือกแดงก่อนวางลงกลางฝ่ามือ แล้วส่งมอบให้จี้หยวนอย่างระวัง
“ท่านพ่อ หินหยกนี้เป็นสีฟ้าด้วย!”
“อืม พบเห็นได้น้อยจริงๆ!”
อิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกเปิดหูเปิดตามากเช่นกัน แต่ยังคงมีท่าทางสุขุมเยือกเย็น
จี้หยวนรับหยกประดับมาอย่างสบายๆ พิจารณาเบื้องหน้าโดยละเอียด หยกฟ้าทรงกลม ไม่มีลายสลักอะไร ดูเหมือนหยกทรงเหรียญ[1]ขนาดใหญ่อยู่บ้าง
แสงวิญญาณบนนั้นซ่อนเร้นแต่กลับวาววามตลอด แน่นอนว่ามีแค่จี้หยวนมองเห็นคนเดียว
จี้หยวนเคลื่อนปราณวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเข้าไปในหยกฟ้าโดยไม่ลังเลอย่างช้าๆ ในสายตาเมื่อปราณวิญญาณไหลเข้าไป ภายในหยกฟ้าเหมือนมีเกลียวคลื่นล้อมรอบทั้งราวกับหมอกควัน
ประมาณสองลมหายใจ หยกฟ้าส่องแสงออกมาเล็กน้อย แสงนี้แม้แต่พวกอิ๋นจ้าวเซียนยังเห็นชัดเจน เว่ยอู๋เว่ยยิ่งกลั้นหายใจ
เห็นแค่สี่มุมสมมาตรของหยกประดับต่างปรากฏอักษรจากแสงวิญญาณตัวหนึ่ง รวมกันเป็นคำว่า ‘แดนปราชญ์ล้อมหยก’
ในใจจี้หยวนไหววูบกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเขาล้อมหยก!”
สองมืออวบอ้วนใต้โต๊ะของเว่ยอู๋เว่ยจับเสื้อแน่น อาศัยสิ่งนี้มาสยบความตื่นเต้นอันรุนแรง แม้แต่มือขวาซึ่งบาดเจ็บยังไม่สนใจ
‘แดนปราชญ์ล้อมหยก’ สี่คำเว่ยอู๋เว่ยเห็นชัดแจ้ง ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา แน่นอนว่าคาดเดาได้ไม่ยาก ‘เขาล้อมหยก’ ซึ่งจี้หยวนพลั้งปากออกมาคงเป็นชื่อจริง
‘หรือกล่าวได้ว่า! หรือกล่าวได้ว่า! สมบัติตกทอดตระกูลเว่ยของข้าเป็นสมบัติจริง! วาสนามรรคเซียน!’
มีหยกสมบัติตกทอดมาหลายรุ่น ปัจจุบันคำพูดเดียวรู้แจ้ง
[1] หยกทรงเหรียญ คือ หยกประดับมงคลทรงเหรียญจีนโบราณ มีรูตรงกลาง