ตอนที่ 54 มีเพียงพี่อิ๋นคนเดียว
โครมครืน…
เวลานี้ตรงขอบฟ้ามีเสียงอสนีระลอกหนึ่งดังขึ้นรางๆ จี้หยวนเงยหน้ามอง นอกจากเห็นสายฟ้าฟาดที่อยู่ห่างไกลชัดเจนแล้ว ยังเห็นท้องฟ้าเปี่ยมเมฆดำเลือนราง ฝนน่าจะใกล้ตกแล้ว
“ฟ้าโปร่งดีนัก ฝนตกยิ่งดี ลางดี!”
หลังจากมาถึงโลกใบนี้ อาจเป็นเพราะดวงตากับทักษะการฟัง สภาพอากาศซึ่งจี้หยวนชอบที่สุดเปลี่ยนเป็นวันฝนตก ถ้าต้องพูดให้ถูกหน่อย ทางที่ดีคือฝนตกแบบพอเหมาะ ไม่ตกเบาหรือตกหนักเกินไป
ต่อให้คนนอกเห็นว่าจี้หยวนเคลื่อนไหวปกติแค่ไหน ก็ยังปกปิดความจริงว่าตัวจี้หยวนสายตาไม่ดีไม่ได้ มีแค่วันฝนตกที่ทำให้โลกในใจจี้หยวนเปลี่ยนเป็นชัดเจนเป็นพิเศษ
หยิบกิ่งหลิวที่เมื่อวานอิ๋นชิงเพิ่งเก็บมา หลังบ้วนปากล้างหน้าเรียบง่าย จี้หยวนพกร่มกระดาษออกไป
เดินบนถนนตรอกเทียนหนิว กลิ่นดอกพุทราเมื่อวันวานหายไปแล้ว บางทีวันนี้หลังตื่นนอนเพื่อนบ้านตรอกเทียนหนิวคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าผิดปกติตรงไหนกันแน่ บางทีอาจมีพวกความรู้สึกไวบางส่วนพอนึกออกว่ากลิ่นหอมหายไปแล้ว
แต่อย่างน้อยจี้หยวนก็ยังไม่เจอผู้อยู่ในตรอกคนไหนถามเขาเรื่องกลิ่นบุปผา
เมื่อออกจากตรอกเทียนหนิวเพิ่งถึงท้องถนน
ฝนห่าใหญ่ตกลงมาดังซ่า
จี้หยวนบังเอิญกางร่มเหนือศีรษะก่อนฝนตกลงมาสองวินาที ฟังเสียงหยาดฝนนี้ตกลงบนถนนสามด้านรวมถึงคนสัญจรกับสุนัขข้างถนนที่ไม่ทันตั้งตัว เขาเผยรอยยิ้มเข้าใจอย่างอดไม่ได้
เวลานี้อำเภอหนิงอันภายในรัศมีการฟัง ‘คืนชีพ’ ขึ้นมาในใจจี้หยวนโดยสมบูรณ์แล้ว!
อาศัยอยู่เรือนสันติหลายเดือน วันฝนตกไม่มากนัก กลับเป็นว่าตอนนี้เตรียมจากไปใกล้ช่วงเก็บเกี่ยว[1] ถึงฤดูกาลฝนตกชุกแล้ว
ถ้ามีผู้ละเอียดอ่อนจริงสังเกตเห็นจี้หยวนที่เดินกลางสายฝนยามนี้ ย่อมพบว่าต่อให้ร่มกันฝนยากป้องกันครึ่งท่อนล่าง แต่จี้หยวนกลับรองเท้าไม่เปียกเสื้อผ้าไม่ชื้น
“ท่านจี้… วันนี้กินหมี่พะโล้หรือไม่ มีเครื่องในวัว หายากนัก!”
เมื่อผ่านร้านบะหมี่ตระกูลซุน ภายใต้เพิงเถ้าแก่ซุนตะโกนบอกจี้หยวนที่กางร่ม จี้หยวนหันกลับไปมอง เห็นว่ามีแขกกับคนผ่านทางไม่น้อยอยู่ตรงนั้นรางๆ
“ไม่ล่ะ มีธุระต้องไปศาลหลักเมือง!”
“ได้ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ให้ข้าเก็บเครื่องในวัวส่วนหนึ่งไว้ให้ท่านหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก!”
จี้หยวนบอกปัดอย่างเกรงใจพลางเดินไปทางศาลหลักเมือง
เนื่องจากฝนตกผู้คนบนถนนจึงน้อยลง ศาลหลักเมืองตรงตรอกศาลเจ้าก็เช่นกัน เขาเดินเข้าไปในศาลราวกับชาวบ้านมาขอพร ซื้อธูปหอมจากพ่อค้าเร่ซึ่งย้ายมาอยู่ในโถงหน้า จุดธูปสามดอกให้เทพหลักเมืองประจำอำเภอตรงเรือนหลัก
หลังปักธูปเสร็จ จี้หยวนคารวะรูปปั้นเทพหลักเมืองเล็กน้อย ออกจากศาลไปหอนอกศาลฝั่งตรงข้าม
เมื่อก้าวเข้าประตูหอนอกศาล ภายในคือภาพความวุ่นวาย ถึงอย่างไรคนมากมายล้วนเข้ามาหลบฝน คนว่างมีเงินซื้อน้ำชากาหนึ่ง ขึ้นชั้นสองไปร่วมสนุกฟังนักเล่าเรื่องก็ไม่น้อย
“โอ้ ท่านจี้! เชิญด้านในๆ วันนี้มาสั่งขนมกลับบ้านหรือขอรับ”
มีลูกจ้างร้านที่รู้จักจี้หยวนเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้อง ชั้นสามยังมีที่นั่งกระมัง เตรียมสั่งของเล็กน้อยไปกินตรงนั้น เดี๋ยวมีสหายมา!”
“ได้ๆๆ ท่านโปรดตามข้ามา ที่ว่างชั้นสามยังมีอีกมาก!”
ริมหน้าต่างชั้นสาม หลังจากจี้หยวนนั่งลง ไม่นานขนมแนะนำของหอนอกศาลโต๊ะหนึ่งกับชาเขาโคเทพกาหนึ่งที่เพิ่งเก็บช่วงวสันต์นี้ก็มาครบ ไม่สั่งกับข้าวย่อมมาเร็ว
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ชายชราชุดดำคนหนึ่งขึ้นมาชั้นสาม ประสานมือคารวะไปทางจี้หยวนแต่ไกล จี้หยวนรีบลุกขึ้นมาคารวะตอบ
“ท่านจี้ ช่วงนี้สบายดีกระมัง”
หลังจากจี้หยวนมาถึงอำเภอหนิงอัน นอกจากตอนแรกครั้งนั้น ภายหลังเคยเจอเทพหลักเมืองครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นครั้งที่สาม แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่เกร็งแม้แต่น้อย
“สวัสดีใต้เท้าซ่ง! ด้วยความช่วยเหลือจากท่าน ข้าคนแซ่จี้สบายดี!”
ทั้งสองคนนั่งประจำที่ จี้หยวนไม่พูดมากความเช่นกัน
“ครั้งนี้ข้าคนแซ่จี้มาบอกลาใต้เท้าซ่งโดยเฉพาะ ด้วยมีธุระต้องทำจึงเตรียมท่องไปต่างจังหวัดต่างรัฐ ทว่าอยากรบกวนใต้เท้าซ่งเรื่องหนึ่ง”
เทพหลักเมืองหยิบขนมโก๋ชิ้นหนึ่งขึ้นมา จ่อมุมปากสูดกลิ่น กัดแค่มุมเดียวเล็กๆ ลิ้มรสชาติภายในปาก กว่าครึ่งที่เหลือกลายเป็นปราณขาวลอยเข้าปาก ส่วนที่อยู่ในมือวางกลับลงจาน
“ท่านจี้พูดตามตรงก็พอ ถ้าช่วยได้ข้าคนแซ่ซ่งย่อมไม่ปฏิเสธแน่”
“อืม ใต้เท้าซ่งสั่งเจ้าหน้าที่มาส่งม้วนไม้ไผ่ให้ข้าหลายครั้ง ช่วยข้าไว้ไม่น้อย ท่านก็รู้ว่าสายตาข้าไม่ดี หวังว่าจะขอแผนที่จากใต้เท้า สลักแผนที่ต้าเจินรวมถึงรอบนอกโดยคร่าว”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้เท่ากับต้องการแผนที่สลักฉบับหนึ่งแล้ว
“ได้ คืนนี้ผู้พิพากษาจะดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าท่านจี้ต้องการรอยสลักมากน้อยแค่ไหน”
“ขอแค่มีระเบียบชัดเจน แม้ละเอียดเล็กน้อยล้วนแยกแยะได้!”
เทพหลักเมืองชิมขนมชิ้นที่สองเสร็จค่อยจ้องมองจี้หยวน
“ได้ รับรองว่าท่านจี้ต้องพอใจ!”
คนฉลาดพูดกันย่อมผ่อนคลาย หลังจากคุยงานหลักเสร็จ ทั้งสองคนกินพลางสนทนา ชิมอาหารบนโต๊ะหมดแล้วจึงแยกย้ายกันไป
รอทั้งสองคนคิดเงินจากไป มีลูกจ้างร้านขึ้นมาทำความสะอาดโต๊ะตัวนั้น
เดินซอยเท้าว่องไวมาถึงหน้าโต๊ะ เห็นว่ายังมีขนมมากกว่าครึ่งอยู่บนโต๊ะ ทั้งดูเหมือนสมบูรณ์มาก
“นี่…”
ลูกจ้างร้านมองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครสนใจ เขายิ้มระรื่นหยิบชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยว
“ถุยๆ… ผงแป้งฝาดนัก… พ่อครัวใหญ่ในหอคนไหนเป็นคนทำ”
เมื่อเลือกมาลองชิมอีกสองสามชิ้น
“ถุยๆๆๆ… แม่งมีอย่างที่ไหน!!”
…
เรื่องต้นพุทราเรือนสันติออกผลเต็มกิ่งชั่วข้ามคืน ทำให้บ้านอิ๋นจ้าวเซียนตกตะลึงไม่น้อยจริงๆ
อีกอย่างเมื่อวานพ่อลูกตระกูลอิ๋นเพิ่งได้ยินจี้หยวนทอดถอนใจว่าไม่ได้กินผลพุทราปีนี้มากับหูตัวเอง วันต่อมากลับออกผลดกเป็นพวง ความอัศจรรย์นั้นทำให้คนทั่วไปตกตะลึง
ผลพุทรากลางลานเรียกว่าเต็มผลสีสันเย้ายวน ชิมแล้วชุ่มปาก กลืนลงท้องปากยังหอมหวน
แต่จี้หยวนแค่แบ่งผลพุทราบางส่วนให้ตระกูลอิ๋นชั่วคราว ยังไม่แจกจ่ายในตรอก ทุกคนจะได้ไม่ตื่นตูม
เดิมคิดว่าคืนหนึ่งจะได้รับแผนที่สลักจากเทพหลักเมือง คิดไม่ถึงว่าต้องรอสามวันเต็มๆ
เมื่อมาถึงมือจี้หยวนจึงพบว่าเป็นแผ่นไม้ดำราวหมึกเขียนกว้างสามนิ้วยาวสองฝ่ามือจำนวนสามแผ่น เชือกบางร้อยเข้าด้วยกัน ส่วนปลายบนล่างมีห่วงกลัด ยามซ้อนทับน้ำหนักขนาดเท่าตัวทับกระดาษพอดี เมื่อแผ่ออกจะติดกันเป็นแผนที่แกะสลักฉบับหนึ่ง
บนแผนที่ภูเขาแม่น้ำบ่อบึงประณีตละเอียด ระหว่างลายเส้นห่างกันเล็กน้อยแต่กลับไม่ยุ่งเหยิงสักนิด สถานที่ไม่น้อยยังมีชื่อสถานที่ระบุ โดยรวมแล้วดีกว่าที่จี้หยวนคาดหวัง!
คืนที่สามจี้หยวนคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าต้องมอบอะไรให้ตระกูลอิ๋นบ้าง เขาไม่รู้ว่าตนจะไปนานเท่าไหร่
ดังนั้นหลังจากมาถึงโลกนี้หลายเดือน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง
“ถ้าอย่างนั้นข้าคนแซ่จี้ ครั้งนี้จะเป็นนักประพันธ์!”
ยามเขียนโคจรปราณวิญญาณใจจดจ่อ ทั้งมีปราณวิญญาณโดยรอบรวมตัวช้าๆ ใช้กระดาษเซวียนจื่อ เป็นทั้งจดหมายและเทียบอักษร จำนวนอักษรไม่มาก แต่การเขียนกลับเปลืองเวลาจี้หยวนไปเกือบทั้งคืน!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นในเรือนตระกูลอิ๋น เมื่ออิ๋นชิงเปิดประตูกำลังวิ่งออกไปคนแรก พบว่าตรงซอกประตูมีจดหมายฉบับหนึ่งหล่นลงมา
จดหมายจ่าหน้าว่า ‘ถึงอาจารย์อิ๋น จากจี้หยวน’
“ท่านพ่อ! ท่านจี้ทิ้งจดหมายไว้ตรงประตู!”
“มาแล้ว!”
เสียงอิ๋นจ้าวเซียนดังมาจากในห้อง เมื่อมาถึงหน้าประตูยังจัดเสื้อผ้าอยู่ จากนั้นค่อยขมวดคิ้วรับจดหมายจากมืออิ๋นชิง
‘ถ้าทิ้งจดหมายไว้ ท่านจี้คงจากไปโดยไม่ร่ำลาแล้ว?’
เมื่อเห็นตัวอักษรบนซองจดหมาย เขากล่าวชมในใจว่า ‘อักษรดี’
เปิดจดหมายอย่างระวัง หยิบกระดาษเซวียนจื่อพับทบออกมา เนื้อหาในจดหมายสะท้อนเข้าสู่สายตา ทั้งเห็นจี้หยวนใช้คำเรียกพิเศษกับเขาเป็นครั้งแรก
‘มอบแด่อิ๋นจ้าวเซียน
รู้จักกับท่านหลังช่วงฝนข้าว[2] จากกันชั่วคราวก่อนช่วงเก็บเกี่ยว ข้าอยู่เรือนเล็กตรอกลึก สหายในอำเภอมีเพียงท่านคนเดียว
นึกถึงแต่ก่อน ร่วมโต๊ะแรกพบยังผิวเผิน พี่อิ๋นยิ้มกล่าวจึงหยิ่งทะนง
แม้ว่าท่านเป็นเพียงอาจารย์อำเภอหนึ่ง แต่ตรงตามตำราปราชญ์เมธี รู้หลักการทั้งเรียนเก่ง ถึงเรียนเก่งยังปรับปรุง นำความรู้มาปฏิบัติ มุมานะบากบั่น
วิญญูชนมุ่งมาดคว้าหนทางมาโดยชอบ ประชาชนเป็นสุขไม่รบกวนคนอื่น ใครหรือ อิ๋นจ้าวเซียนแห่งหนิงอันอย่างไรเล่า
น่าเสียดาย ฟ้าไร้จันทร์กระจ่างเนืองนิจ ดินไร้งานเลี้ยงไม่เลิกรา ดาวประดับฟ้ามากมายย่อมจรจาก ท่านโปรดอย่าถือสา
ราตรีจากไม่ร่ำลา ก่อนเดินทางมอบจดหมาย นั่งประจันหน้าเล่นหมาก วันหน้าย่อมพบกันอีก
หวังว่าท่านจะตั้งใจอบรมสั่งสอน อย่าตอบแทนแผ่นดินชั่วขณะ รักษาจิตใจเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ
วันหน้าเขียนตำราเผยแพร่ เอื้อประโยชน์แก่ลูกหลานร้อยครัวเรือน สั่งสอนปวงชนทั่วหล้า ยุคมหาบัณฑิตล้วนคาดหวังได้
ถึงเวลาท่องภูผาธารา ย่างเหยียบฟ้าดิน คลื่นซัดสาดไม่แปรเปลี่ยน ก้าวเหนือคลื่นลมควรนิ่งสงบ บัณฑิตมากความรู้นับพันหมื่น ใจผดุงคุณธรรม!’
อิ๋นจ้าวเซียนอ่านถึงตัวอักษรสุดท้าย รู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบเล็กน้อย กล้ามเนื้อเกร็งทั้งมือเท้าซ้ำยังสั่นจนไม่อาจควบคุมตัวเอง
สูดหายใจเข้าลึกๆ แหงนหน้ามองฟ้านอกประตู ยืดอกมือไพล่หลัง มีปณิธานไร้ขอบเขตบ่มเพาะในใจ!
…
บนทางหลวงนอกอำเภอหนิงอันหลายสิบลี้ จี้หยวนยกมือขวาขึ้นมาดูด้วยสีหน้ามึนงง มายาหมากตัวหนึ่งวาบผ่านรวดเร็ว
“เอ่อ… นี่มัน… เรื่องอะไรกัน”
[1] ช่วงเก็บเกี่ยว คือ ช่วงธัญพืชสุกงอม วันเริ่มต้นตรงกับวันที่ 5-7 ของเดือนมิถุนายน
[2] ช่วงฝนข้าว คือช่วงเหมาะแก่การปลูกเมล็ดข้าว วันเริ่มต้นตรงกับวันที่ 19-21 ของเดือนเมษายน