ตอนที่ 56 ค้างคืนผิดหมู่บ้าน
เวลานี้จี้หยวนเดินอยู่บนทางหลวงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของอำเภอหนิงอันเพียงลำพัง ยังวิ่งกระโดดอย่างผ่อนคลายเป็นพักๆ ทั้งกายใจเป็นเลิศ
สัมภาระติดตัวมีน้อยมาก นอกจากเสื้อผ้าบนตัวแล้วก็มีแค่ห่อผ้ากับร่มคันหนึ่ง ในห่อผ้าคือชุดสำหรับเปลี่ยนหนึ่งชุด ที่เหลือก็คือเหรียญทองแดงกับของจิปาถะบางส่วน ยังมีพุทราสดครองพื้นที่ว่างครึ่งหนึ่ง น้ำหนักประมาณสี่ชั่ง
ทรัพย์สินทั้งหมดของจี้หยวนนอกจากหยกประดับที่เว่ยอู๋เว่ยให้ เงินกับตั๋วเงินหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าตำลึงที่เหลือนำไปแลกเป็นเศษเงินกับเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งแล้ว จากนั้นส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นตำลึงทอง
นอกจากทองประดับของผู้อาวุโสแล้ว ทั้งสองชาติจี้หยวนไม่เห็นทองคำนัก เดิมคิดว่าทองสิบตำลึงนี้ต้องใหญ่มาก คิดไม่ถึงว่าเล็กนิดเดียว ดูแล้วเล็กจ้อยอยู่บ้าง
จี้หยวนเดินอย่างสบายๆ หยิบตำลึงทองจากอกมาจับเล่น ใช่ว่าเขาโลภทรัพย์นัก เป็นความรู้สึกเหมือนได้ของเล่นใหม่ทั้งสิ้น
“ทองคำช่างหนักเสียจริง!!”
เขาทอดถอนใจประโยคหนึ่ง ชั่งน้ำหนักก่อนเก็บกลับเข้าถุงแนบอก
สาเหตุที่เปลืองแรงแลกเงินขนาดนี้ ใช่ว่าจี้หยวนไม่อยากเดินทางสะดวก ความจริงสองสามเดือนมานี้เขาทำความเข้าใจมาก่อน บนโลกชาตินี้ไม่มีระบบธนาคารซึ่งพัฒนาเหมือนชาติก่อน อย่าว่าแต่ข้ามรัฐเลย ร้านแลกเงินข้ามจังหวัดยังพบเห็นได้น้อย ตั๋วเงินของร้านแลกเงินท้องถิ่นอำเภอหนิงอันไม่อาจถอนเงินที่อื่น ได้แต่ถอนเงินสดติดตัวไปทั้งหมด
เวลานี้จี้หยวนอิจฉาเจ้าภูเขาลู่หาใดเปรียบ ไม่รู้ว่ากระเพาะของเจ้าหมอนั่นมีโครงสร้างอย่างไรกันแน่ หนังเสือขาวผืนใหญ่ขนาดนั้นยังคายออกมาได้ ดีไม่ดีหากนำกระเพาะออกมาคงเป็นสมบัติ!
ต่อให้เดินอยู่บนทางหลวง ทิวทัศน์ระหว่างทางยังงดงาม ทุกหนแห่งคือทุ่งนาทอดยาวกับต้นไม้เขียวขจี ทั้งทุ่งนาไม่น้อยยังมีชาวนาสวนกันไปมา ถึงอย่างไรก่อนช่วงเก็บเกี่ยวก็เป็นช่วงฤดูทำนา
แม้ว่ามองเห็นเลือนราง แต่เสียงน้ำยามปลูกกล้าข้าว เสียงพูดคุยของชาวนากับเสียงนกร้องโดยรอบ ทำให้เขาสร้างภาพในสมองโดยปริยาย
เสียงควบม้าดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงตะโกนกับเสียงหวดแส้ของผู้ขี่
“ฮ่า… ย่า… ย่า…”
เมื่อเสียงเข้ามาใกล้ จี้หยวนรีบหลบไปด้านข้าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งม้าสามตัวเรียงแถวผ่านทางมา ตามมาด้วยฝุ่นควันระลอกหนึ่ง
“มีม้าไม่เลวนัก!”
จี้หยวนพึมพำเสียงเบา แล้วเดินทางด้วยเท้าตนเองต่อ
ความจริงเดิมทีจี้หยวนคิดจะซื้อม้าสักตัว เงินบนตัวก็พอซื้อม้าชั้นดีตัวหนึ่ง
แต่ปัญหาคือหนึ่งทั้งสองชาติจี้หยวนไม่เคยขี่ม้า สองคือซื้อม้ามาไม่ใช่แค่ขี่เท่านั้น ยังต้องดูแลมันด้วย อาหารม้าเครื่องอาบน้ำอะไรล้วนไม่อาจบกพร่อง รู้สึกว่ายุ่งยากนัก
ขี่ไม่เป็นเชื่อว่าด้วยพื้นฐานร่างกายตอนนี้คงเรียนรู้ไม่ยาก แต่การดูแลม้าเป็นภาระ การเสียเงินเปล่าซึ่งไม่นับว่าถูกนี้จี้หยวนไม่คิดใช้สอย ต้องรู้ว่าราคาม้าชั้นดีตัวหนึ่งของที่นี่พอกับชาติก่อนซื้อรถสองคัน ไม่คุ้ม!
อย่างน้อยข้าคนแซ่จี้ยังพอรู้วิชามรรคเซียน ทั้งวิชายุทธ์ก็ไม่แย่ อาศัยการหลอมรวมท่าร่างเจตจำนงมังกรเหิน มีหรือจะสู้ม้าไม่ได้
‘อืม สะดวกอยู่!’
แม้กล่าวเช่นนี้ ตอนนี้เห็นคนอื่นขี่ม้าตัวสูงใหญ่ ยังรู้สึกแปลกเหมือนอิจฉาเพื่อนคนอื่นที่มีของเล่นสวยๆ
จี้หยวนยื่นมือหยิบพุทราสองผลออกมาจากช่องห่อผ้าด้านหลังก่อนกัดคำหนึ่ง พลันเหวี่ยงเท้า สำแดงท่าร่างวิชาตัวเบา กลายเป็นเงาเขียวสายหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า
จี้หยวนไม่คิดเร่งเดินทางข้ามเขา ต่อให้วิชายุทธ์สูงแค่ไหนก็ตาบอดครึ่งหนึ่ง ทางขรุขระใช่ว่าเดินไม่ได้ แค่เปลืองแรงกายแรงใจเกินไป ทั้งเขายังหวั่นหวาดภูตเสือร้ายอย่างเจ้าภูเขาลู่อยู่บ้าง ไม่อยากเสี่ยงโชคแล้ว
เขาอ่านแผนที่สลักทับกระดาษโดยละเอียดมาก่อนแล้ว ตอนนี้เลียบตามทางหลวงไปไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะหลงทาง เมื่อเดินเลียบตามทางเหนือไปจนออกจากอำเภอหนิงอัน มุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีกหน่อย เจอเมืองแล้วค่อยถามทางก็ใช้ได้
ดูจากแผนที่สลักทับกระดาษแล้วเจอชื่อสถานที่ตรงกันสองสามแห่ง ทั้งเปรียบกับนัยเทียบเจตกระบี่และเส้นทางที่ซ่อนอยู่ในเจตกระบี่ จี้หยวนรู้ชัดแล้วว่าสุสานของจอมยุทธ์จั่วคนนั้นน่าจะอยู่ห่างไกลถึงรัฐอี๋ การเดินทางไปไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาอันสั้น
ดังนั้นเป้าหมายตอนนี้ของจี้หยวนก็คือไปแม่น้ำวสันต์ ลองดูว่าจะเจอเต่าเฒ่านั่นหรือไม่
ถึงแม้จี้หยวนรู้แค่ว่าเป็นช่วงแม่น้ำตอนใต้ของจังหวัดชุนฮุ่ย แต่คาดว่าด้วยความเฉียบแหลมของเว่ยอู๋เว่ย ต้องใช้ทุกวิถีทางเค้นถามรายละเอียดบางส่วนจากคนชุดดำก่อนแน่ วันที่สิบห้าเดือนห้าคงมีเรื่องสนุกให้ดู
…
อำเภอหนิงอันเป็นอำเภอเล็กห่างไกล อาณาเขตส่วนใหญ่ติดกับเขาโคเทพ ขอบเขตค่อนข้างแคบยาว ตลอดทางมานี้จี้หยวนบ้างก้าวเดินเนิบช้าบ้างห้อตะบึงตามใจ เมื่อฟ้ามืดก็ออกจากเขตอำเภอหนิงอันแล้ว
โดยปกติควรถึงอำเภอซุ่นเป่าที่อยู่ติดกัน แต่พอมาถึงกลางทางผู้คนบางตาทีละน้อย ทางส่วนใหญ่ไม่เห็นแม้แต่ทุ่งนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหาคนถามทาง ดังนั้นจี้หยวนไม่รู้เลยว่าตนควรเลี้ยวไปทางตะวันออกเมื่อไหร่ ถึงตอนท้ายจึงตัดสินใจ สุ่มเลือกทางกว้างด้านตะวันออกก่อนเลี้ยวเข้าไปแล้วมุ่งหน้าลูกเดียว
รู้สึกว่าการเดินทางครานี้ไม่ค่อยดีแล้ว เนิ่นนานล้วนไม่มีผู้คน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำจนในที่สุดก็เห็นทุ่งนาไกลๆ เลี้ยวเดินไปตามท้องร่องโดยไม่สนใจอะไรทันที ครู่ใหญ่จึงมีหมู่บ้านเล็กปรากฏในสายตา
ข้างหมู่บ้านมีแม่น้ำสายเล็กสายหนึ่ง มืดทะมึนจนเห็นอย่างอื่นไม่ชัด แต่แสงสะท้อนของแม่น้ำยามราตรียังพอมองออก
ดูเหมือนว่าอำเภอซุ่นเป่าแห่งนี้พัฒนาสู้อำเภอหนิงอันไม่ได้อยู่โข
คิดหาโรงเตี๊ยมในสถานที่เช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ ดีสุดก็แค่ขอคนอื่นค้างคืน ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีโอกาสหลงทาง หาหมู่บ้านเจอสักแห่งถือว่าโชคดีแล้ว
…
โดยทั่วไปเวลานี้ชาวบ้านที่เสร็จงานไร่ล้วนกลับบ้านแล้ว มีไม่กี่คนที่ยังอยู่ข้างนอก
เทียบกับทางหลวงราบเรียบ ทางชนบทขรุขระกว่ามาก ด้วยการมองเห็นยิ่งเดินเร็วจี้หยวนยิ่งซวนเซเป็นพักๆ แต่การทรงตัวดีจึงไม่ล้มลง จากนั้นค่อยเดินช้าลงหน่อย กระทั่งกลับมามั่นคง
แน่นอนว่าถ้าใช้ท่าร่างก้าวเดินจริงใช่ว่าจะเร็วและมั่นคงไม่ได้ แต่จี้หยวนไม่ได้มาเพื่อแสดงโอ้อวด กลางคืนไม่แน่ว่ายิ่งเหมือนผี โอ้อวดเกินไปชาวบ้านอาจไม่สงบ ทำเป็นคนผ่านทางอ่อนแอขอความเห็นใจ ค้างคืนกินข้าวสะดวกกว่า
ตรงทางเข้าหมู่บ้านมีชาวบ้านสังเกตเห็นว่ามีคนมา ตอนแรกไม่สนใจด้วยคิดว่าใครกลับหมู่บ้านช้า ต่อมาจึงรู้สึกว่าไม่ใช่คนของหมู่บ้านตน
“เฮ้ย… คนข้างหน้านั่นน่ะ เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่!”
มีชายชราคนหนึ่งตะโกนถามจี้หยวน ทั้งมีชายหนุ่มถือโคมกระดาษจุดไฟออกมาจากเรือน
ยุคนี้ไม่เหมือนชาติก่อน หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้กลางคืนล้อมรั้ว ป้องกันสัตว์ป่าและป้องกันโจรขโมย คนแปลกหน้าเป็นคนดีหรือคนเลวยิ่งต้องคัดกรองโดยละเอียด
“ผู้อาวุโส!!! ข้าน้อยเป็นแค่คนผ่านทาง เห็นว่าฟ้ามืดแล้วฝีเท้าช้า เดินทางตอนกลางคืนน่ากลัวเกินไป สะดวกให้พักในหมู่บ้านสักคืนหรือไม่!”
จี้หยวนตะเบ็งคอตอบกลับ จากนั้นก็ซอยเท้าไม่หยุด เข้าใกล้หมู่บ้านช้าๆ ยังใช้ปลายร่มกันฝนในมือคลำทางส่งสัญญาณเป็นพักๆ ดูว่ามีก้อนหินอะไรปูดขึ้นมาสกัดตนหรือไม่
เมื่อเข้าใกล้ชาวบ้านสองสามคนที่รวมตัวอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเห็นท่าทางโดยคร่าวของจี้หยวนชัดเจน ชุดคลุมแขนกว้าง ปล่อยจอน ผมยาวคลุมหลัง มวยผมเหนือศีรษะปักปิ่นไม้ ดูเหมือนปัญญาชนนัก
แม้ว่าส่วนใหญ่เห็นจี้หยวนเดินปกติ แต่เดินช้ามาก ถ้าสะดุดซวนเซจะใช้ร่มกันฝนค้ำทางข้างหน้าทันที คิดว่าสายตาน่าจะไม่ค่อยดี
“คุณชายท่านนี้ ดวงตาของท่าน?”
“อ้อ สายตาข้าน้อยไม่ค่อยดี เดินทางกลางคืนไม่สะดวกจริงๆ หวังว่าทุกท่านจะให้ข้าค้างแรมสักคืน!”
ด้านหลังประตูรั้วไม้ ชายชราสวมหมวกหยิบโคมไฟจากมือชายหนุ่มข้างๆ ยื่นส่องจี้หยวนโดยละเอียด จ้องเงาซึ่งลาดเอียงตามเส้นแสงใต้ฝ่าเท้าเขา ทั้งมองสีหน้าและดวงตาของเขาด้วย
“ได้ ท่านรอสักครู่ หูจื่อ เปิดประตูให้ท่านเข้ามา!”
จี้หยวนรีบถือร่มกันฝนประสานมือคารวะ
“ขอบคุณมากๆ ขอบคุณทุกท่าน!”
ฮู่ว… ชีวิตคนเหมือนละครล้วนต้องพึ่งการแสดง คืนนี้เราคนแซ่จี้มีที่นอนแล้ว!
แอ๊ด…
เมื่อไม้หมุนวนเสียดสีจนเกิดเสียงดังเสียดหู แต่จี้หยวนสังเกตเห็นอย่างฉับไวว่าตำแหน่งที่พวกชายหนุ่มยืนอยู่เหมือนตั้งกระบวนอยู่บ้าง บางคนเหมือนถือของไว้ในมือด้วย
‘หรือว่าเราดีใจเร็วเกินไป’
“ท่านเข้ามาเถอะ ข้าประคองท่านเอง!”
ชายชราไม่รอให้จี้หยวนเอ่ยกล่าว ก้าวเข้ามาประคองมือจี้หยวนก่อน ลงมือตรวจอุณหภูมิของจี้หยวน ในใจพลันผ่อนคลาย
“ท่านอย่าถือสา ไปๆๆ ไปดื่มน้ำในบ้านข้าผู้ชราก่อน!!”
“เอ่อ… ได้!”
จี้หยวนปล่อยให้ชายชราประคอง ก้าวเดินพลางมองชาวบ้านที่กำลังปิดประตูกับผู้คนซึ่งแยกย้ายกันไป ใคร่ครวญเหตุผลของเรื่องนี้