ตอนที่ 57 จี้หยวนหวั่นอยู่บ้าง
เสียงประตูรั้วหมู่บ้านยังดังอยู่ด้านหลัง ชายชราผู้ประคองจี้หยวนยังไม่ปล่อยมือ พาจี้หยวนเดินเข้าไปด้านในสิบกว่าก้าว จนถึงหน้าเรือนหลังหนึ่งที่ผนังด้านนอกฉาบดิน
“ท่านโปรดระวัง ธรณีประตูสูงมาก ยกเท้าสูงหน่อย!”
ธรณีประตูสูงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันสูงจริงๆ รู้สึกได้เลือนรางว่าสูงเท่าน่องตน จี้หยวนถือโอกาสยกเท้าข้ามตามชายชราเข้าไปในเรือน
เรือนหลังนี้ไม่เหมือนเรือนพักของคนทั่วไป ด้วยมีเพียงห้องเดียว ทั้งยังไม่มีห้องครัวและห้องด้านในด้วย มีแค่โต๊ะวางตะเกียงน้ำมันตัวหนึ่งและเก้าอี้ยาวสี่ตัว กับเตียงสองหลังที่วางอยู่ด้านข้าง
‘อืม ยิ่งเหมือนห้องนอนชั่วคราว!’
เมื่อถึงในห้องสุดท้ายชายชราจึงปล่อยมือ เรียกจี้หยวนให้นั่งลง
“คุณชายเชิญนั่ง ข้าผู้ชราแซ่สวี่ ไม่ทราบว่าท่านแซ่อะไร บ้านอยู่ไหน”
ขณะกล่าวยังเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งก่อน ทำให้จี้หยวนนั่งสะดวก เสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นจนลากเส้นไร้สีสายหนึ่งในใจจี้หยวน
“ได้ ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าน้อยแซ่จี้ เป็นคนอำเภอหนิงอัน”
จี้หยวนพูดพลางจับขอบโต๊ะลงนั่ง วางห่อผ้ากับร่มกันฝนบนโต๊ะ ชายชราด้านข้างหยิบถ้วยที่คว่ำซ้อนกันอยู่มาจากขอบโต๊ะ ยกกาดินเผาริมโต๊ะมาเทน้ำให้จี้หยวน
“อ้อ คนหนิงอัน โดยทั่วไปกลางคืนพวกเราที่นี่ไม่รับรองคนแปลกหน้าง่ายๆ คำโบราณว่ามีเงาตัวอุ่นคือคนเป็น กลางคืนขานชื่ออย่าหันกลับ สมัยนี้เรื่องแปลกมากต้องระวังหน่อย เมื่อครู่ทำให้ท่านขบขันกระมัง”
เสียงน้ำชาเทลงถ้วยชัดกระจ่าง เมื่อเต็มถ้วยละอองน้ำกระเซ็นน้อยลงหน่อย
“เชิญท่านดื่มน้ำ”
“ไม่เป็นไร ระวังตัวไม่ผิดนัก อืม ขอบคุณ!”
จี้หยวนกล่าวขอบคุณครั้งหนึ่ง ดมแล้วดื่มลงไปโดยไม่สนอะไร เวลานี้ชายชราพลันถามเขาประโยคหนึ่ง
“ท่านเป็นผีใช่หรือไม่”
พรวด…
จี้หยวนพ่นชาในปากออกมาโดยตรง
“แค่กๆๆ… ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่ใช่ผี!”
คำถามโหดกะทันหันนี้ทำเอาจี้หยวนสำลักน้ำไออยู่พักใหญ่ ชายชราที่อยู่ด้านข้างขอโทษต่อเนื่อง
“ท่านอย่าถือสาๆ ข้าผู้ชราความจำไม่ดี เมื่อครู่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้กะทันหัน อยากยืนยันขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก พวกข้าอคติเกินไปจริงๆ มีน้อยคนนักที่มาตอนกลางคืนคนเดียว”
จี้หยวนกระแอมสองสามครั้งก่อนโคจรปราณวิญญาณปรับหลอดลม ก่อนจะถามด้วยความจนปัญญาแกมสงสัย
“ยืนยันอะไร ผู้อาวุโสจับชีพจรของข้าน้อยแล้วไม่ใช่หรือ”
“กล่าวถูกแล้วๆ แต่บางคนตายแล้วไม่รู้ว่าตนไม่ใช่คนเป็น แบบนี้แยกแยะยากที่สุด ต้องพูดต่อหน้าเขา พวกเราเรียกวิธีการนี้ว่ายวนยาง (นกเป็ดน้ำ)”
‘ชื่ออะไรแปลกนัก หย่วนหยาง (น้ำลึก)? ย่วนยั่ง (คับแค้น)? คงไม่ใช่ยวนยาง (นกเป็ดน้ำ) กระมัง’
จี้หยวนสลัดความคิดในสมอง ถามชายชราอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้อาวุโส พวกท่านเจอผีบ่อยหรือ”
ไม่อย่างนั้นทำไมต้องตึงเครียดขนาดนี้ แต่ขอแค่ไม่ใช่ผีร้ายก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
“หลายปีก่อนเจอผีหาตัวตายตัวแทนคราหนึ่งจริงๆ ชนบทรกร้างนอกชานเมืองรัศมีสิบลี้นี้มีหมู่บ้านของพวกเราแห่งเดียว ทุกคนล้วนระวังตัว เกรงว่าจะมีสิ่งประหลาดอะไรมาเยือน แต่ถ้าเป็นผีก็ยังดี สุภาษิตว่าคนกลัวผีสามส่วนผีกลัวคนเจ็ดส่วน คนมากย่อมกล้าหาญ ในหมู่บ้านส่วนใหญ่คือชายหนุ่มธาตุไฟแข็ง…”
ชายชราชะงักเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งทว่ายังกล่าวต่อ
“แต่ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจองูสาว ฤดูกาลนี้พอตกกลางคืน ทุกคนไม่ออกจากบ้านได้เป็นดี!”
“งูสาว?”
จี้หยวนขมวดคิ้ว หรือว่าเป็นปีศาจ?
“อืม ได้ยินว่ามีงูยักษ์ศีรษะเป็นหญิงงาม ชอบหลอกชายหนุ่มไปกิน”
“ศีรษะเป็นหญิงงาม? เอ่ยปากหลอกคนได้? ผู้อาวุโสท่านอย่าหลอกข้าเลย!”
จี้หยวนสูดหายใจหนาวเยือก นึกถึงเจ้าภูเขาลู่แห่งเขาโคเทพตามจิตใต้สำนึก ใช่สิ่งที่คนธรรมดาป้องกันแล้วสามารถป้องกันได้หรือ
แสงตะเกียงน้ำมันภายในห้องพลิ้วไหว แต่ภายในห้องยังมืดสลัว แสงไหวสั่นเหมือนจิตใจของจี้หยวน
ภูตปีศาจที่เอ่ยปากพูดได้ล้วนมีมรรควิถีและหลอมกระดูกแล้ว ไม่ใช่ภูตตัวเล็กซึ่งพอไม่ระวังจะถูกคราดเหล็กจอบเสียมตีตาย ถ้างูตัวนี้มีศีรษะเป็นคนจริง…
จี้หยวนไม่กล้าคิดอยู่บ้าง ถึงขั้นมีความรู้สึกอยากจากไป แต่ถ้าออกไปข้างนอก… กลับอัดอั้นตันใจ
อำเภอนี้คงไม่ถึงขั้นไม่มีเทพหลักเมืองกระมัง ยังสนใจที่นี่อยู่หรือไม่
“เฮ้อ เรื่องนี้คนมากมายล้วนรับรู้ เมื่อก่อนทำให้หมู่บ้านพวกเราหวั่นหวาดอยู่นาน หลอกท่านทำไมเล่า ไม่พูดแล้วๆ…”
ชายชราพูดถึงตรงนี้แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้านข้าง ไปจัดการฟูกอีกเตียง
“คุณชายท่านนี้ บ้านข้าอยู่ในหมู่บ้าน เรือนหน้าหมู่บ้านนี้คือที่พักชั่วคราวของคนเฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน วันนี้เชิญค้างคืนที่นี่เถอะ หากกลางคืนอยากเข้าห้องน้ำก็ปลุกข้าผู้ชราได้ ข้าจะประคองท่านไป”
“จริงสิ ท่านหิวหรือไม่ ถ้าหิวข้าไปทำอาหารให้ท่านหน่อยเป็นอย่างไร”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่หิว!”
จี้หยวนปฏิเสธพลางเดินไปจัดฟูกด้วย จากกลิ่นน่าจะตากแดดบ่อยครั้ง แต่ต่อให้กลิ่นแรงก็ช่างเถอะ เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้นัก ทั้งไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจด้วย
โฮ่งๆๆ… โฮ่งๆๆๆ…
เสียงหมาเห่าดังมาจากข้างนอกเป็นระลอก ยังมีเสียงก่นด่าดังขึ้นด้วย จี้หยวนเงี่ยหูฟังโดยละเอียด คล้ายได้ยินพวกคำว่า ‘กินยากนัก’ ‘ซวยชะมัด’
จี้หยวนเห็นว่าชายชราด้านข้างไม่ตอบสนองอะไร เขาตัดความไม่สงบเล็กน้อยในสมองออกไปชั่วคราว ถามถึงเส้นทางของตน
“ผู้อาวุโส หมู่บ้านพวกท่านชื่ออะไร อยู่ตรงไหนของอำเภอซุ่นเป่า เข้าอำเภอไปอย่างไรจึงเหมาะสมหรือ”
“อำเภอซุ่นเป่า?”
ได้ยินเสียงแปลกใจของชายชรา จี้หยวนรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างแล้ว
“คุณชายท่านนี้ ท่านออกนอกเส้นทางมาไกลอยู่บ้าง ที่นี่คือหมู่บ้านซั่งเหอโกว มุมตะวันออกเฉียงเหนืออาณาเขตอำเภอซุ่ยหย่วน ผ่านอำเภอซุ่นเป่ามานานแล้ว”
“หา!?”
‘อำเภอซุ่ยหย่วน? เราแม่งวิ่งเลยมาสองอำเภอ?’
แผนที่ทับกระดาษละเอียดก็จริง แต่ลายเส้นละเอียดเกินไปจนทำให้รอยสลักบนแผนที่ยากคาดคะเน ได้แต่ทำความเข้าใจความเกี่ยวข้องโดยคร่าวของทุกอาณาเขตผ่านแผนที่ฉบับย่อนี้ บรรจุข้อมูลสิบสามรัฐแห่งต้าเจินเกินขีดจำกัด อำเภอหนึ่งบนแผนที่เป็นแค่จุดเล็กๆ สลักชื่อสัญลักษณ์ขนาดเล็กของทางหลวงถือว่าผู้พิพากษาฝีมือเหนือธรรมดายิ่งแล้ว คิดว่าระยะห่างคงได้แต่สังเกตจากตัวจังหวัด
‘ดังนั้นเราประเมินฝีเท้าของตัวเองต่ำไปหรือ’
เกรงว่าคงเป็นตอนสำแดงวิชาบังตาใช้วิชาตัวเบาตามม้าเร็วสามตัวนั้น ทำให้วิ่งเลยโดยไม่รู้ตัว!
‘ซิ่งจนเสียเรื่อง!’
จี้หยวนผู้ทอดถอนใจรีบถามชายชราต่อ
“ถ้าข้าจะไปจังหวัดชุนฮุ่ย ผู้อาวุโสคิดว่าย้อนกลับทางเดิมหรือเลือกเส้นทางอื่นเหมาะสมกว่า?”
“เอ่อ ข้าผู้ชราไม่เคยไปไกลขนาดนั้น เอาอย่างนี้ ท่านจี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปถามพ่อค้าที่ค้างอยู่ในหมู่บ้าน ข้าได้ยินว่าสุดท้ายพวกเขาจะไปจังหวัดตู้หมิง บางทีอาจรู้ว่าเดินทางอย่างไรจึงเหมาะ!”
“เฮ้อ… คงได้แต่ทำเช่นนั้นแล้ว!”
คิดถึงระบบนำทางบนมือถือนัก…
…
ดึกสงัดแล้ว…
คนในหมู่บ้านนอนเร็วกว่าคนในเมือง ทั้งไม่มีการเคาะบอกยาม ชายชราภายในห้องส่งเสียงกรนแล้ว นอกห้องมีเสียงหมาเห่าดังมาเป็นครั้งคราว
จี้หยวนนอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่กลับไม่นอนหลับ ด้านหนึ่งเป็นเพราะกลางค่ำคืนเงียบสงบ เสียงกรนด้านข้างกลับชัดเจนเกินไป โดยเฉพาะยามมาถึงหูเขา อีกด้านหนึ่งด้วยกำลังสัมผัสแผนที่ทับกระดาษเพื่อวางเส้นทางของตนใหม่อีกครั้ง
โฮ่งๆๆ… โฮ่งๆๆๆ… โฮ่งๆๆ…
โฮ่งๆๆๆ…
เสียงหมาเห่าพลันดังถี่ขึ้นมา จี้หยวนแทบลืมตาทันทีเมื่อได้ยิน เขาฟังออกว่าหมาในหมู่บ้านมากมายรวมตัวกันอยู่สักแห่ง เห่าไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกัน
เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เสียงหมาเห่าจึงสงบลงทีละน้อย
หมาแก่ซึ่งเลี้ยงมานานมักมีจิตวิญญาณ ตอนอยู่อำเภอหนิงอันจี้หยวนเคยพบเจอเรื่องนี้มารอบหนึ่ง ทั้งชาติก่อนยังได้ยินคนแก่บอกตลอดว่าตาหมาสื่อวิญญาณ จี้หยวนจึงสนใจเสียงหมาเห่าอยู่บ้าง
‘น่าหวั่นหวาดอยู่บ้าง…’
…
ริมแม่น้ำนอกหมู่บ้าน เงาดำทอดยาวเลื้อยอยู่บนพื้น คืบคลานเนิบช้าเป็นรูปตัว S ตรงบริเวณชายฝั่ง เกล็ดหนาแน่นแฉลบผ่านก้อนหินกิ่งไม้จนเกิดเสียงเสียดสีดังสวบสาบ
เงาดำหยัดร่างทอดมองมาทางหมู่บ้าน เผยลำตัวหนาและเกล็ดขาวช่วงท้อง
ฟ่อ… ฟ่อ…
หยัดร่างส่งเสียงครู่หนึ่ง ในหมู่บ้านมีเสียงหมาเห่าดังขึ้นเป็นระลอก แต่ความจริงหมาบ้านพวกนั้นแค่เห่าอยู่ใกล้รั้วเท่านั้น ไม่มีความคิดจะพุ่งออกไป
ฟ่อ…
งูยักษ์หมอบตัวลง ร่างอ้วนท้วนคดเคี้ยวไปมาตามชายฝั่ง
ตามหลังเสียงดังตู้มเจือเสียงคลื่นน้ำแยก เงาดำทอดยาวเลื้อยลงแม่น้ำ เรือเล็กบางลำที่อยู่ด้านข้างส่ายสั่นไม่หยุดเพราะรอยคลื่นบนผิวน้ำ