ตอนที่ 59 ดุจเพลิงมังกร
เสียงคำรามนี้จี้หยวนอาศัยปราณวิญญาณของตัวเองเปล่ง ‘เสียงตะโกน’ ตามแบบเทียบรบทัณฑ์เหล็ก เดิมก็เป็นวิชาเสียงปราบพวกคนต่ำช้าจนหวาดหวั่น
ความจริงไม่มีความพิเศษอะไร เป็นแค่ทักษะเพิ่มเสียงเต็มที่อย่างหนึ่ง แต่เมื่อจี้หยวนตะโกนกลับทรงพลังเหมือนเสียงอสนีคำรามก้อง
คลื่นเสียงไม่เพียงดังกระหึ่มลงแม่น้ำ ส่วนมากยังทำให้คนในหมู่บ้านที่สะลึมสะลือหรือเพิ่งออกมาจากเรือนตกใจสะดุ้งโหยงทันที ถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นยังดี ถึงขั้นมีคนตกใจจนทรุดลงกับพื้นด้วย
สุนัขในหมู่บ้านทั้งหมดถูกทำให้ตระหนกจนหยุดชะงักไปชั่วคราว
จี้หยวนมองเห็นชัดว่างูยักษ์ภายในแม่น้ำสั่นสะท้านเล็กน้อย ริ้วคลื่นบนแม่น้ำยังกระเพื่อมไม่หยุด แรงสั่นสะเทือนนี้ทำให้เห็นชัดว่าบนตัวอสรพิษแผ่ปราณอสูรแต่กลับไม่เข้มข้น อย่างน้อยเปรียบเทียบกับเจ้าภูเขาลู่แล้วยังห่างกันมาก
‘ดีมาก ยังไม่เข้าขั้น!’
จี้หยวนถึงขั้นมองความตื่นตระหนกจากแววตาซึ่งงูยักษ์เหลือบมาออก คราวนี้จี้หยวนยิ่งมั่นใจไม่น้อย เรื่องของอานุภาพคือฝ่ายหนึ่งผงาดง้ำอีกฝ่ายตกต่ำ คนกลัวข้าหนึ่งส่วนข้าย่อมกล้าสามส่วน
พ่อค้าที่เดิมหลงใหลความงามคนนั้นถูกเสียงตะโกนนี้ปลุกชั่วพริบตา แม้ว่ามองร่างมายาอสูรไม่ออก แต่กลับเห็นร่างอสรพิษน่ากลัวครึ่งล่าง
“อ๊าก… ปีศาจ…!”
แรงปะทุภายใต้การดิ้นรนสุดตัวของมนุษย์ไม่อาจดูหมิ่น ถึงกับฉวยโอกาสยามงูยักษ์ถูกจี้หยวนทำให้ตื่นตระหนก ถีบขาสองข้างในน้ำอย่างรวดเร็ว กระโดดเหยียบตัวอสรพิษขึ้นฝั่งเหมือนสาวน้อยเหยียบหนู
ฟ่อ…
งูยักษ์หวาดกลัวจี้หยวนจึงไม่ตามไป แต่ดูเหมือนยังไม่พอใจ วาดหางงูขึ้นฝั่ง สกัดพ่อค้าคนนั้นจนล้มลง ฝ่ายหลังตะเกียกตะกายแต่ยังคิดจะหนี
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!!”
จนถึงตอนนี้จี้หยวนกับพ่อค้าตื่นตระหนกสุดขีดคนนั้นเพิ่งมองเห็นร่างงูยักษ์ชัดเจนอย่างแท้จริง ตัวหนาเท่าถังน้ำยาวประมาณสี่จั้ง
จี้หยวนไม่สนว่าเป็นการหยั่งเชิงตนหรือไม่ ตอนนี้เขาซึ่งตื่นเต้นสุดขีดอึดอัดอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นภาพซึ่งเหมือนการยั่วยุนี้จึงลงมือทันที
เขาไม่มีทางลงน้ำไปสู้กับงูยักษ์ แต่การต่อสู้บนฝั่งย่อมต่างออกไป
เขาสะบัดมือโบก ฟืนแห้งกองหนึ่งหน้าบ้านคนอื่นใต้ฝ่าเท้าลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าจี้หยวน คว้าฟืนแห้งเหมือนจับกระบี่ เงาเขียวกระโจนออกจากหลังคา โรยตัวลงนอกกำแพงรั้ว เท้าออกแรงเหยียบเพิ่มความเร็ว โคจรท่าร่างถึงขีดสุด แทบถึงริมแม่น้ำชั่วพริบตา
ร่ายรำท่ากระบี่มังกรเหิน ร่วมกับสำแดงวิชาบังตา ร่างไหวเคลื่อนเหมือนเสี้ยวเงาล่องทะยาน
เทียบกับการสำแดงวิชาบังตาต่อหน้าอสูรโดยตรงแล้ว สัจจะระคนมายาเช่นนี้คงมีประสิทธิภาพกว่า
ฟ่อๆ…
หางงูกวาดใส่ตัวจี้หยวนจนเกิดเสียงลมตามมา แต่กลับผ่านเงาร่างไปเหมือนทะลวงฟองสบู่ชั้นหนึ่ง การเคลื่อนไหวที่เดิมเป็นการหลอกล่อนี้ทำให้จี้หยวนยิ่งแน่ใจว่าต่อให้งูยักษ์นี้น่ากลัว แต่การตอบสนองกลับเร็วสู้ตนไม่ได้
พริบตาต่อมาหลังจากหลบหลีกสองครั้ง ร่างจริงจี้หยวนหายตัวไปอยู่หลังหางงูที่เพิ่งกวาดไปอีกด้านเหมือนย้ายร่างเปลี่ยนเงา ภายในแขนเสื้อขวาซึ่งใช้ไม้แทนกระบี่ ภายใต้ผลกระทบจากปราณวิญญาณเปลวไฟดวงใหญ่ลุกโชนไม่หยุด
‘อสรพิษคือธาตุหยิน ใช้โคมชาวบ้านแทนเพลิงปวงชน ดูสิว่าเจ้าจะต้านกระบี่นี้ของเราได้หรือไม่!’
จี้หยวนซึ่งซ่อนตัวจนถึงตอนนี้ คล้ายเผยร่างจริงออกมาจากเงาซ้อนตามตัวด้านหลังอย่างรวดเร็ว พริบตาที่เหวี่ยงกระบี่ไม้ออกมา ฟืนทั้งท่อนเกิดไฟไหม้ดังพรึ่บ เพลิงนี้เหมือนไม่แผดเผาจี้หยวนโดยสิ้นเชิง แม้แต่แขนเสื้อยังไม่ไหม้เกรียม
ปลายฟืนที่ลุกโชนกว่าครึ่งแหลมคมจนเหมือนปลายกระบี่แล้ว เมื่อพุ่งตัวไปข้างหน้าโดยไร้สิ่งกีดขวาง กระบี่ว่องไวเจตกระบี่ดุจมังกร
มังกรเหินส่งอัคคี!
เขานึกถึงกระบวนท่าสุดท้ายตอนร่ายกระบี่กลางลาน
“ไป!!”
ปากส่งเสียงตวาดน่าครั่นคร้าม
สวบ…
ส่วนปลายแทงเข้าเนื้อระหว่างเกล็ดงู ขณะเดียวกันกระบี่ไม้ลุกโชนเป็นเถ้าถ่าน เพลิงไร้สิ้นสุดผสานเจตกระบี่ราวมังกรเหินตัวหนึ่ง ทะลุช่องโหว่เข้าไปในตัวงูยักษ์ตามการแทงชั่วพริบตา
เมื่อโจมตีโดนจี้หยวนแทบกระแทกพื้นดังตึงพร้อมกัน เหยียบจนเป็นหลุมเล็ก รีบถอยไปด้านหลัง ระหว่างพุ่งโฉบรวดเร็วแขนซ้ายยื่นออกไป คว้าสายรัดเอวของพ่อค้าคนนั้น
ทั้งสองคนหนึ่งราวพญาเผิงโฉบถอยหลัง คนหนึ่งเหมือนหมาตายถูกอินทรีตะครุบ ถอยห่างจากงูยักษ์หลายสิบก้าวทันที
ฟ่อ…
ปึง… ปึงๆ…
งูยักษ์สำแดงวิชาบังตาต่อไม่ได้แล้ว ร่างอสรพิษกว่าครึ่งพลิกตัวอย่างบ้าคลั่ง ชาวบ้านมากมายที่ล้อมอยู่ริมกำแพงรั้วเห็นหางงูซึ่งถูกกระบี่แทงด้วยตาเปล่า กำลังมีแสงสีแดงเพลิงลามเกล็ดทะยานขึ้นด้านบนไม่หยุด
ฟ่อ…
ปึง… ปึงๆ…
อสรพิษพลิกตัวในน้ำ ถึงกับทำให้ผิวน้ำร้อนฉ่าเกิดหมอกขาวเป็นระลอก ดิ้นรนจนผิวแม่น้ำเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ
เรือเล็กริมแม่น้ำถูกงูยักษ์ซึ่งเจ็บปวดฟาดหักดังสนั่น
จี้หยวนเห็นภาพนี้แล้วนึกกลัวจนสูดหายใจหนาวเยือก แอบคิดว่าหากร่างกายตนตอนนี้ถูกฟาดโดนสักครั้งคงไม่คุ้มค่าแน่
ฟ่อ… ฟ่อ…
อสรพิษคำรามเสียงแหบพร่าท่ามกลางความเจ็บปวด ค้นพบว่าแม่น้ำไม่อาจดับเพลิงภายในกายได้ ภายใต้สถานการณ์คับขันซึ่งชีวิตประสบภัยคุกคามร้ายแรง งูยักษ์ในแม่น้ำถึงกับอ้าปากกว้างเหี้ยมเกรียม กัดไปตรงส่วนหางค่อนข้างสูงของร่างกายตนเต็มแรง!
พรวด… ฉัวะ…
เสียงเกล็ดเลือดเนื้อกระดูกถูกฉีกกระชากกระตุ้นจนทุกคนรวมถึงจี้หยวนขนพองสยองเกล้า งูยักษ์ตัวนี้ถึงกับกัดหางรวมร่างกายอย่างน้อยหนึ่งในสี่ส่วนทิ้งอย่างดุดัน
สายน้ำถูกเลือดงูย้อมเป็นสีแดงในชั่วพริบตา งูยักษ์ไม่กล้าหยุดพักสักนิด ว่ายหนีลงใต้แม่น้ำอย่างบ้าคลั่ง
ภาพนี้เกิดขึ้นเพียงสองสามวินาที จี้หยวนผู้เป็นตัวต้นเรื่องเห็นแล้วตอบสนองไม่ทัน
“หน็อยเจ้ามารชั่ว! ถึงกับตัดหางเอาชีวิตรอด!!”
เมื่อคิดตามไปจี้หยวนหยุดเท้ากะทันหัน ตอนนี้เจ้าหมอนี่จนตรอกกว่าสัตว์ร้ายติดบ่วง ทั้งยังอยู่ในน้ำ ตนก็ใช้พลังไปไม่น้อย…
ผ่านไปสองวินาที จี้หยวนตวาดลั่นอีกครั้ง
“ผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีบริวารเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนอยู่หรือไม่”
คลื่นเสียงคำรามมหึมาดังกระหึ่ม สะท้อนถึงขอบฟ้าตรงทุ่งรกร้างกว้างใหญ่
“ภายในอำเภอมีอสูรออกมาทำร้ายคน หวังว่าจะรีบปรากฏตัวไปจับกุมโดยเร็ว!!!”
เสียงคำรามดังกระหึ่มกระจายไปไกล คลื่นเสียงสะท้อนหวือแหวกราวสายลม
“หวังว่าจะรีบปรากฏตัวไปจับกุมโดยเร็ว… ปรากฏตัวไปจับกุม…”
จี้หยวนกุมหน้าอกปรับเศษเสี้ยวปราณวิญญาณภายในกายที่เหลือจากการผลาญมากเกินไปให้สงบลง ทั้งสะกดข่มหัวใจที่เต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง ตนเคลื่อนไหวเกินกำลัง สิ่งที่ทำได้มีเพียงเท่านี้แล้ว!
…
ตอนนี้นอกจากเสียงน้ำยามงูยักษ์ลุกลนหนีตายแล้ว ก็มีแค่หางงูช่วงนั้นที่ยังเปี่ยมแสงแดงลุกโชนใกล้ผิวน้ำอบอวลหมอกขาวเป็นระลอก
ไม่ว่าเป็นไก่ สุนัขโดยรอบ หรือชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่งรายล้อมกำแพงรั้วเห็นหางงูเมื่อครู่ล้วนเงียบสนิท ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมาจากความตกตะลึงนั้น
“ปีศาจ…”
“งูสาว!”
“ไอ้หยา! อยู่ริมแม่น้ำเลย…”
“พ่อค้าคนนี้หอบชีวิตกลับมาได้!”
“ยังดีว่ามีผู้วิเศษผ่านทางมา ไม่อย่างนั้นหมู่บ้านพวกเราคงอันตราย!”
“ผ่านทางอะไร นั่นคือผู้มาค้างแรมเมื่อคืน ผู้เฒ่าสวี่เป็นคนรับรอง!”
“เมื่อครู่ผู้วิเศษท่านนี้เรียกยมทูตดำของเทพหลักเมืองมาใช่หรือไม่”
“ไม่แน่ใจ…”
“เฮ้ยๆ อย่าออกไป อย่ารบกวนผู้วิเศษทำพิธี!”
…
โฮ่งๆๆ… โฮ่งๆๆ…
โฮ่งๆๆ…
ยามนี้พวกหมาบ้านในหมู่บ้านกลับพากันวิ่งพล่านออกมา แทรกผ่านซอกประตูรั้วซึ่งเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ววิ่งมาถึงริมแม่น้ำก่อนเห่าใส่
จี้หยวนค่อยๆ ปรับอารมณ์ข่มความตื่นเต้น มองสุนัขพวกนี้อย่างทำหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง เมื่อครู่พวกเจ้าไปทำอะไรอยู่!
ผ่านไปครู่หนึ่ง บางทีอาจแป็นเพราะห็นว่าการต่อสู้จบแล้วจริงๆ ในที่สุดก็มีชาวบ้านใจกล้าในหมู่บ้านเปิดประตูไม้ของกำแพงรั้วก้าวออกมา
เมื่อผู้เฒ่าสวี่ที่ถูกหัวหน้าหมู่บ้านปลุกคิดมาพูดคุยอะไรกับจี้หยวน จี้หยวนกลับเปลี่ยนสีหน้ามองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ มายาดำทะมึนสองสายผ่านผิวแม่น้ำมาอยู่ใกล้ๆ
ชุดทางการนั้นทำให้จี้หยวนโล่งอกในที่สุด
ยมทูตดำสองคนข้ามแดนมา ทำให้ฝูงสุนัขริมแม่น้ำร้องครวญหนีไปอีกด้าน ส่วนคนอื่นรู้สึกถึงความอึมครึม
ยมทูตดำหยุดห่างจากตรงหน้าจี้หยวนหนึ่งจั้ง ประสานมือคารวะไปทางจี้หยวนพร้อมกัน
“ผู้ลาดตระเวนราตรีบริวารเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน คารวะท่านเซียน!”
หางงูที่ยังมีแสงแดงลุกโชนนั้นสะดุดตาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจละเลย ยิ่งไม่อาจยืนยันว่าถูกทำร้ายด้วยวิชาอัศจรรย์มรรคเซียนใด
จี้หยวนไม่รอให้พวกเขาถามอะไร เอ่ยปากอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
“เมื่อคืนในแม่น้ำหน้าหมู่บ้านนี้มีอสูรงูปรากฏตัว ใช้วิธีล่อลวงคิดดูดซับเลือดเนื้อชายหนุ่มบำรุงหยาง ข้าบังเอิญค้างแรมอยู่ในหมู่บ้าน เห็นเหตุการณ์แล้วเดือดดาลจึงลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าอสูรตัวนี้โดนกระบี่ข้าแล้วถึงกับตัดหางเอาชีวิตรอด หวังว่าจะรีบรายงานใต้เท้าหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน ลงมือสังหารมารชั่วนี้!”
ยมทูตดำสองคนประสานมือค้อมตัวคารวะเก้าสิบองศาอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านเซียนที่ลงมือช่วยชาวบ้านอำเภอซุ่ยหย่วน ทั้งขอบคุณท่านเซียนที่มอบโอกาสให้พวกเราชดเชยความผิด พวกเราต้องสังหารมันก่อนจะหนีออกจากเขตอำเภอซุ่ยหย่วนแน่!”
ยมทูตดำสองคนพูดจบแล้วกลายเป็นควันหายไปชั่วพริบตา คนหนึ่งตามปลายน้ำ คนหนึ่งไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่ห่างไกล คิดว่าเป็นที่อยู่ของเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน