ตอนที่ 60 สังหาร
ภายในศาลหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนซึ่งขนาดเล็กกว่าอำเภอหนิงอันเล็กน้อย กระดิ่งเรียกวิญญาณที่คนทั่วไปไม่ได้ยินเชิญเทพดังสนั่น บริวารทุกหน่วยของเทพหลักเมืองพากันจำแลงกายออกมา รวมตัวด้านล่างรูปปั้นเทพหลักเมืองตรงโถงหลักศาลหลักเมือง
ผู้ลาดตระเวนราตรีซึ่งกลับมารายงานสิ่งที่เห็นและได้ยินกับเทพหลักเมืองทันที แค่สองสามประโยคก็เล่าทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินอย่างชัดเจน
“หึ อาศัยว่ามรรควิถีตนล้ำลึกวิชาเซียนล้ำเลิศ ถึงกับตวาดเรียกทูตลาดตระเวนประจำอำเภอไปมา! หรือว่าผู้วิเศษมรรคเซียนคนนี้ไม่รู้จักหลักการมีโจรร้อยวันไม่มีวันป้องกันโจรได้ตลอด”
ภายนอกตวาดผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีด้วยความโกรธ ความจริงมีหรือจะไม่ใช่การวิจารณ์ระบบทั้งหมดของเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน
ต้นประโยคของเจ้ากรมลงทัณฑ์แสดงออกว่าไม่พอใจการตวาดของจี้หยวน เจ้ากรมปูนบำเหน็จที่อยู่อีกด้านส่ายหัวเล็กน้อย
“คงไม่ใช่ทั้งหมด กระบี่เดียวของเขาทำให้ปีศาจงูตัวนั้นตัดหางเอาชีวิตรอดลุกลนหนีตาย แต่กลับไม่ซัดกระบี่อีกครั้ง บางทีคงหยิ่งทะนง แต่อาจเห็นแก่พวกเราศาลหลักเมืองซุ่ยหย่วน!”
“เอาเถิด เรื่องนี้อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน เรื่องเร่งด่วนคือการสังหารปีศาจงู ทูตลาดตระเวนรับปากแทนพวกเราศาลมืดซุ่ยหย่วนแล้ว อย่าปล่อยให้คนนอกมองเป็นตัวตลก!”
เทพหลักเมืองตรงที่นั่งประธานศาลมืดช่วงเอวคาดกระบี่ธรรม ก้าวออกจากรูปปั้น ดึงชุดสะบัดแขนเสื้อออกคำสั่งลงมา
“ตามข้าไปปิดล้อมแม่น้ำคูเมือง ภูตงูขโมยพลังหยางคนธรรมดาตัวหนึ่ง ทั้งร่างกายยังบาดเจ็บสาหัส คิดว่ามันคงหนีจากอำเภอซุ่ยหย่วนไปไม่ถึงร้อยลี้!”
ขอเพียงปีศาจงูยังฝึกไม่สำเร็จ ตัดหางเท่ากับคนธรรมดาถูกตัดขาข้างหนึ่ง ไม่อาจหนีได้เร็วโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บไม่ธรรมดานั่น
ด้วยก่อนหน้านี้ยามผู้ลาดตระเวนราตรีอธิบาย บอกสภาพของช่วงหางที่ขาดนั้นอย่างชัดเจน แสงแดงลุกโชน กำลังไฟภายในพลุ่งพล่านเหมือนมีชีวิต ภายใต้อานุภาพลุ่มลึกแผ่คมประกายดุดันเสี้ยวหนึ่งออกมา คาดว่าโดนกระบี่ซัดจนตัดหางคงไม่มีทางผ่อนคลาย
นี่ก็คือข้อสันนิษฐานที่เจ้ากรมปูนบำเหน็จคาดเดา ขอแค่ส่วนที่ปีศาจงูโดนกระบี่ซัดสูงอีกสองสามฉื่อ เกรงว่าคงตายโดยไม่ต้องสงสัย แต่ผู้วิเศษนั่นแค่เผาหางมัน คิดแง่ดีไม่แน่ว่าอาจเคารพอำนาจการปกครองของเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน สาเหตุที่เจ้ากรมลงทัณฑ์โกรธก็แค่เสียงตวาดนั้นทำให้เสียหน้าอยู่บ้าง
ภายใต้การนำทางของเทพหลักเมือง เจ็ดเจ้ากรมติดตามมาสี่คน ยมทูตดำทุกกรมหลายสิบนายแทบยกขบวนมาทั้งรัง
ด้วยมีความคิดแสดงตัวตนและอานุภาพ เขาใช้รูปจำลองร่างทองของเทพหลักเมืองประจำอำเภอโคจรพลังสำแดงอภินิหาร พาเจ้าหน้าที่ทุกกรมของเทพหลักเมืองไปอยู่ใกล้แม่น้ำคูเมืองด้วยความเร็วว่องไวเหมือนเคลื่อนย้ายมวลสาร ได้ยินเสียงกระดิ่งเรียกวิญญาณของทูตลาดตระเวนอีกคนแต่ไกล
ยามนี้เทพหลักเมืองเงยหน้ามองไป ขอบฟ้าทางตะวันออกมีแสงขาวโผล่พ้น เทียบกับความมืดสองฝั่งแม่น้ำคูเมืองแล้วเด่นชัด
“กลางวันเป็นปัญหากับพวกเราอยู่บ้างเช่นกัน เร่งรบเร่งจบ!”
เทพหลักเมืองอยู่ข้างหน้า สี่เจ้ากรมอยู่ด้านหลัง สองฝั่งยมทูตดำเดินตามทางแคบริมแม่น้ำ ฝีเท้ามั่นคงแต่กลับรวดเร็วว่องไว
“หึ เจ้าปีศาจนั่นบาดเจ็บสาหัสดังคาด!”
สายน้ำถูกงูยักษ์กวนจนขุ่นยิ่ง แต่คราบเลือดเหม็นสาบนั้นกลับสะดุดตานัก แม่น้ำตื้นเขินเบื้องหน้ามีอสรพิษกำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำ
“อยู่ข้างหน้า! ไป!”
เมื่อเทพหลักเมืองออกคำสั่ง เจ้ากรมสี่คนพลันเร่งความเร็วตามไปด้วย อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละคนปรากฏอยู่ในมือแล้ว
“เจ้าปีศาจงูบังอาจ รับความตายซะ!”
“เอาชีวิตมา!!!”
เพียงไม่กี่ลมหายใจแสงธรรมพลันปรากฏ พากันโจมตีลงไปในแม่น้ำ แม่น้ำที่เดิมขุ่นมัวปั่นป่วนจนโคลนตมพลิกตลบ บนฝั่งระหว่างทางมีฟองคลื่นซัดขึ้นมาต่อเนื่อง
ตูม…
ครืน…
ปึง… ซ่า…
ปีศาจงูซึ่งเดิมบาดเจ็บสาหัสยิ่งผิวแตกเลือดอาบทั่ว ม้วนตัวอย่างเจ็บปวดอยู่บนผิวแม่น้ำ
“ยังไม่หลอมกระดูกโดยสมบูรณ์ก็กล้ามาฉวยโอกาส รนหาที่ตาย! ทูตดึงวิญญาณ ดึงวิญญาณมันออกมาให้ข้า!”
เทพหลักเมืองเก็บกระบี่ธรรมยืนบนหัวปีศาจงู กดตัวงูยักษ์ติดผิวแม่น้ำเหมือนของหนักกดทับแต่ไม่จมลงไปอย่างน่าประหลาด พลางออกคำสั่งกับยมทูตดำสองฟากฝั่ง
“รับคำสั่ง!”
ทูตดึงวิญญาณหกคนก้าวเข้ามาดั่งภูตผี เหยียบย่ำผิวแม่น้ำ เชือกดึงวิญญาณพุ่งออกมาจากช่วงเอว พากันเหวี่ยงไปภายใต้ผิวแม่น้ำ
ฟ่อ… ฟ่อ…
งูยักษ์แผดเสียงดิ้นรน แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อ การต่อต้านทุกอย่างพลันหยุดชะงัก
มายางูยักษ์ตัวหนึ่งถูกเชือกดึงวิญญาณหกเส้นมัดแน่นหนา ลากออกมาจากกายเนื้อแล้ว…
…
ท้องฟ้าเปลี่ยนจากมืดสลัวอึมครึมเป็นสว่างขึ้นทีละน้อย ยามนี้ริมแม่น้ำมีชาวบ้านกว่าครึ่งรวมตัวนานแล้ว ทั้งหมดล้อมฝั่งมองหางงูที่ติดอยู่บนซากเรือไม้ด้วยความรู้สึกหวาดผวาและตื่นเต้น
ตอนนี้หางงูซึ่งลอยบนผิวน้ำไหม้เกรียมอยู่บ้าง ส่วนที่หนาที่สุดของหางนี้ราวต้นขาผู้ใหญ่ ยาวหนึ่งจั้ง ชาวบ้านไม่น้อยเห็นแล้วถอนใจว่าโชคดี
ยิ่งมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำบางคนอธิบายภาพตอนนั้นอย่างใส่สีตีไข่
“โอ๊ย น่ากลัวจริงๆ เมื่อคืนหมาทั้งหมู่บ้านเห่ากันหมด ข้ารู้อยู่แล้วว่าผิดปกติ!”
“ว่าไปแล้วช่วงนี้ตอนกลางคืน หมาในหมู่บ้านมักเห่าไม่หยุดช่วงหนึ่ง!”
“ใช่ๆๆ ช่วงก่อนฟ้าสางทั้งนั้น!”
“เฮือก… ยิ่งคิดยิ่งกลัว!”
“ถ้าไม่ใช่ผู้วิเศษข้ามแดนมา ภายในหมู่บ้านไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนตายแน่!”
“ข้าว่าผู้วิเศษเดินทางมาโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นมาตอนไหนไม่มาทำไมถึงมาเมื่อวาน”
“นั่นน่ะสิ!”
…
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นผู้วิเศษยืนอยู่บนหลังคาบ้านสองชั้น คำรามใส่งูสาวนั่น หลายคนล้วนได้ยิน”
“ใช่ๆ ตอนนั้นข้าตกใจจนเกือบฉี่ราดกางเกง!”
“ข้าก็ด้วย ข้าตกใจจนทรุดยวบ หูอื้อไปหมด”
“นั่นสิ ถ้าไม่มีเสียงคำรามนั้น พ่อค้าดวงซวยนั่นคงถูกกินนานแล้ว!”
“หลังจากนั้นล่ะๆ?”
“จะ จากนั้นก็กำจัดปีศาจอย่างไรเล่า ข้าเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ข้างกายปีศาจงูนั่นมีแสงเพลิงลุกโชน จากนั้นก็พลิกตัวอย่างเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น”
…
ตรงริมแม่น้ำยังตกตะลึงและนึกกลัว จี้หยวนตามพวกหัวหน้าหมู่บ้านมาถึงเรือนหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว
ด้านนอกมีชาวบ้านไม่น้อยแสร้งผ่านทางหรือทอดมองไกลๆ ถ้าไม่ใช่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านออกมาไล่คนสองสามครั้งอย่างกราดเกรี้ยว เกรงว่าคงรวมตัวล้อมเป็นวงใหญ่เหมือนริมแม่น้ำ
จี้หยวนอึดอัดอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนประหม่าง่าย แต่ไม่ใช่คนเพลิดเพลินกับการอยู่บนเวทีเช่นเดียวกัน การมุงดูก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่อาจเปิดเผยความไม่พอใจเกินไป หัวหน้าหมู่บ้านยิ่งแก่ยิ่งมากประสบการณ์ การออกไปขับไล่ชาวบ้านที่มุงดูทำให้จี้หยวนรู้สึกชื่นมื่นและสงบลงไม่น้อย
เวลานี้พ่อค้าคนนั้นเพิ่งได้สติกลับมา เมื่อครู่ตอนท้ายเขาตกใจจนวิญญาณหลุดลอยอ่อนแรงไร้กำลัง พอมาถึงที่นี่ทั้งถูกคนหยิกทั้งดื่มชาขิง คราวนี้จึงได้สติกลับมา
เมื่อตื่นขึ้นมานอกจากเห็นพ่อค้าร่วมทางกับเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านนี้แล้ว ยังเห็นจี้หยวนกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ยาวในเรือน เขาฝ่ากลุ่มสหายที่อยู่ด้านข้างทันที วิ่งโซซัดโซเซมาคุกเข่าตรงหน้าจี้หยวน
“ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยชีวิตๆ!!!”
ตึงๆๆ…
พ่อค้าก้มกราบคำนับจี้หยวนต่อเนื่อง โขกหัวลงบนพื้นดินเหลืองไม่หยุด
จี้หยวนไม่ได้ตรงไปขวางเขา เมื่อรับการคำนับจากเขาสองสามครั้ง ถึงยื่นมือรับหน้าผากของเขา
“ภายหน้าจงจำไว้ เหนือคำว่าราคะคือมีดเล่มหนึ่ง ความต้องการละโมบทำร้ายชีวิตคน ใช่ว่าทำร้ายคนอื่นแต่ทำร้ายตนเอง คราวหน้าไม่แน่ว่าจะมีคนมาช่วยเจ้า!”
“ใช่ๆๆ ท่านเซียนสั่งสอนถูกต้อง ด้วยเรื่องนี้ข้าน้อยไม่ลืมตลอดชีวิต ไม่ลืมตลอดชีวิต!”
“เอาเถิด ข้าไม่มีคุณสมบัติอะไรให้เรียกว่าท่านเซียน แค่มีฝีมือเล็กน้อย ไม่มีมหามรรคเทพเซียนด้วย…”
ครึ่งประโยคแรกจี้หยวนพูดให้พ่อค้าฟัง ครึ่งประโยคหลังกล่าวดังขึ้นเล็กน้อยด้วยอยากหยอกล้ออยู่บ้าง พูดให้พวกชาวบ้านหูผึ่งฟัง
พ่อค้าพยักหน้าขานรับ แต่กลับมีเรื่องหนึ่งไม่ได้บอก เมื่อคืนหลังจากปล่อยตัวเขาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างจริงๆ ดังนั้นจึงเห็นยมทูตดำ ตอนนั้นยมทูตดำสองคนนั่นเรียกตัวเองว่าผู้ลาดตระเวนราตรีบริวารเทพหลักเมือง เรียกผู้สูงส่งคนนี้ว่า ‘ท่านเซียน’
ดังนั้นหลังจากพ่อค้ารู้สึกตัวจึงเรียกว่าท่านเซียนและโขกหัวตามจิตใต้สำนึก
ตอนนี้ผู้อาวุโสสวี่เดินเข้ามาจากด้านนอก บนมือถือสัมภาระของจี้หยวน
“ท่านจี้ ห่อผ้าและร่มกันฝนของท่าน!”
จี้หยวนกวาดมองก็รู้ว่าไม่ได้ถูกเปิดออก รับห่อผ้าพลางพยักหน้ายิ้มให้ผู้อาวุโสสวี่
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
“ท่านจี้ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ขอบคุณท่านที่ช่วยพวกเรากำจัดปีศาจ…”
“หึ เมื่อคืนผู้อาวุโสสวี่ก็ให้ข้าค้างแรมแล้วไม่ใช่หรือ!”
จี้หยวนหัวเราะคราหนึ่ง ลุกขึ้นมาปัดเสื้อผ้าแล้ว หมู่บ้านนี้ไม่อาจอยู่นาน การถูกชาวบ้านมุงดูเป็นเรื่องเล็ก หากทางการส่งคนมาตรวจสอบซักถามคงยุ่งยากนัก จากไปก่อนดีกว่า
ความจริงปีศาจไม่เข้าขั้นเช่นนี้ไม่กล้าทำร้ายคนเกินไป กลางป่าเขายังดี บางอำเภอมีชาวบ้านนอนตายอย่างน่าประหลาด ผู้ตายก่อเกิดความคั่งแค้น บันทึกดีชั่วและบันทึกอายุขัยของศาลหลักเมืองล้วนเกิดการเคลื่อนไหวประหลาด ถูกค้นพบได้โดยง่าย ปีศาจงูลวงคนมีหรือจะไม่ใช่วิธีฉวยโอกาส