ตอนที่ 71 บังเอิญโดยไม่ตั้งใจ
จี้หยวนกล่าวหยอกล้อเสร็จก็เห็นเด็กผู้มาเยือนสองคนชัดเจน ใช่ เห็นชัดเจน
ทั้งสองคนสวมชุดสีฟ้าอ่อนสะอาดหมดจด ไม่มีเศษฝุ่นสักนิด แม้แต่รองเท้ายังไม่แปดเปื้อนมลทิน ใบหน้าขาวกระจ่าง
พวกเขาผ่านทางภูเขามา กอปรกับท้องฟ้ามืดแล้ว เด็กธรรมดาสองคนกล้าวิ่งมากลางป่าเวลานี้จริงหรือ ทั้งยังมาริมสระลึกที่จ้องมองแล้วน่ากลัวอยู่บ้างเช่นนี้ด้วย
เมื่อมองไปด้านหลัง แน่ใจว่าไม่มีผู้ใหญ่ ความน่าจะเป็นว่าเด็กสองคนนี้เป็นคนธรรมดายิ่งลดลงมาก ทั้งบนตัวยังไม่มีไอปีศาจและไอเหี้ยมโหด…
‘เทพภูเขา? ไม่แน่ว่าอาจเป็นครั้งแรกที่เจอผู้ฝึกเซียนตัวจริง หลังจากข้าคนแซ่จี้มาอยู่ที่นี่ตั้งนาน?’
ในใจจี้หยวนสั่นสะท้าน แต่ดูเหมือนว่าไม่ตื่นเต้นเท่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ แสร้งหันกลับไปอ่านตำราต่อ แต่ยังอยากรู้เบื้องลึกโดยละเอียดของผู้มาเยือน
จี้หยวนสงบผ่อนคลาย แต่เด็กสองคนกลับทนดูต่อไปไม่ไหว เด็กชายเอ่ยกล่าว
“เฮ้ย คนหาปลา เจ้าจะไปเมื่อไหร่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ตกปลาไม่ได้”
เด็กสาวอีกคนกล่าวต่อทันที
“ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าบนเขามีสัตว์ป่าหรือ”
ตามตรรกะของคนทั่วไป เด็กสองคนถามเช่นนี้ถือว่าน่าสนใจนัก
จี้หยวนหันกลับมามองพวกเขาอีกครั้ง
“ฟ้ามืดแล้ว พวกเจ้าเด็กสองคนยังเดินเล่นอยู่ในป่าลึก ไม่กลัวทางบ้านเป็นห่วง ไม่กลัวสัตว์ป่าหรือ”
“พวกเราไม่กลัว!”
“ใช่! พวกเราไม่กลัว!”
คล้ายอยากเพิ่มความน่าเชื่อถือ เด็กสาวคนนั้นกล่าวเสริมอีกประโยค
“เจ้าอย่าเห็นว่าพวกเรายังเด็ก พวกเรามีวิชายุทธ์สูงนัก!”
จี้หยวนยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เสียมารยาทแล้วๆ แต่ข้าก็ไม่กลัว ข้ามีวิชายุทธ์สูงส่งเช่นกัน!”
พูดจบจี้หยวนหันกลับไปอ่านตำราต่อ ถึงอย่างไรเป็นตายก็ไม่ยอมย้ายก้น
จากการพูดคุยชั่วขณะ สองคนนี้น่าจะเป็นเด็กซึ่งอายุไม่ต่างจากภายนอก ไม่ใช่พวกรูปลักษณ์เหมือนเด็กแต่ความจริงอายุร้อยแปดสิบ
“หึ เจ้าตกทั้งคืนก็ไม่มีปลาติดเบ็ด!”
เด็กชายเพิ่งกล่าวประโยคนี้จบ จี้หยวนเปลี่ยนสีหน้า แม้ว่าคันเบ็ดไม่เปลี่ยนแปลง แต่เบ็ดตกปลาในสระเหมือนถูกกระตุก
ครู่ต่อมาเส้นเอ็นไหวสั่นอย่างยากสังเกตเห็น จี้หยวนหรี่ตา ออกแรงสะบัดข้อมือ ไม่เห็นการเคลื่อนไหวขนานใหญ่อะไร คันเบ็ดโก่งงอถูกเหวี่ยงขึ้นมาเหมือนเล่นกล
ซ่า…
สระซึ่งเดิมเขียวมรกตราบเรียบเกิดละอองน้ำ ปลาน้อยสีขาวเงินกึ่งโปร่งแสงยาวราวนิ้วชี้ตัวหนึ่งถูกเบ็ดตกปลาเกี่ยวขึ้นมา เหวี่ยงลอยกลางอากาศตามทิศทางของสายและคันเบ็ด
“ปลาโพรงเงิน!”
เด็กชายเด็กสาวประสานเสียงตกใจ
ขณะร้องอุทานเด็กชายแทบเหวี่ยงหยกประดับสีฟ้าทรงวงแหวนออกมาจากแขนเสื้อตามจิตใต้สำนึก พริบตานั้นหยกฟ้าเปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่ ลากแสงฟ้าเลือนรางลอยไปทางปลาเงินที่ยังอยู่กลางอากาศ แสงด้านหลังหยกประดับคือตาข่ายพร่ามัว
“หืม!?”
จี้หยวนเหวี่ยงคันเบ็ดไม้ไผ่ อาศัยทักษะของยอดฝีมือแห่งยุทธภพ สะบัดสายปลาเงินเหมือนนกผกผิน หยกฟ้านั่นไม่นับว่าบินมาช้า ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับตะครุบปลาเงินไม่อยู่
เมื่อหยกประดับแฉลบผ่านปลาเงินสองครั้ง จี้หยวนสะบัดคันเบ็ดเล็กน้อย ปลาเงินซึ่งติดเบ็ดตกปลาอยู่พลันลอยมาทางจี้หยวน
น้ำสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากสระ ควบรวมเป็นลูกโป่งน้ำขนาดเท่าลูกหนังตรงหน้าจี้หยวน
บุ๋ม…
ปลาเงินผลุบเข้าไปในนั้นอย่างแม่นยำยามลูกโป่งน้ำก่อตัวพอดี ส่วนตะขอเหล็กจี้หยวนสะบัดออกจากปากของปลาเงินอย่างแยบยล
เด็กชายคนนั้นหัวคิ้วขมวดมุ่น เก็บห่วงหยกเริงระบำกลางอากาศกลับไป จ้องมองจี้หยวนพร้อมเด็กสาว มองปลาเงินน้อยแหวกว่ายอยู่ในลูกโป่งน้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หนีออกมาไม่ได้
“เจ้าเป็นใคร กล้ามาลักปลาโพรงเงินในสระมรกต!”
จี้หยวนเก็บคันเบ็ดไว้ด้านข้างชั่วคราว หันตัวไปมองเด็กสองคนซึ่งทำหน้าโมโห
“หรือสระมรกตแห่งนี้เป็นของพวกเจ้าเขาล้อมหยกฝ่ายเดียว”
แค่เห็นหยกประดับทรงวงแหวนสีฟ้านั่นจี้หยวนก็รู้ว่าเป็นคนที่ไหน
“เจ้ารู้จักพวกเราเขาล้อมหยกแล้วยังไม่มอบปลาโพรงเงินให้พวกเราอีก?”
เด็กชายพูดจาเหมือนเด็ก ไม่ต่างอะไรกับเด็กชาวบ้านทั่วไป
จี้หยวนยิ้มแล้ว
“ข้าตกปลาอยู่ที่นี่มาเกือบทั้งวันกว่าจะตกปลาตัวนี้ได้ ต่อให้พวกเจ้าเขาล้อมหยกเป็นจวนเซียนเด่นดังแห่งรัฐจีก็ไม่อาจแย่งกันซึ่งหน้ากระมัง”
“เจ้า! สระมรกตเป็นของพวกเราเขาล้อมหยก! ดังนั้นปลาโพรงเงินก็เป็นของพวกเรา!”
“ทุกปีพวกเราจะมารอปลาโพรงเงินที่นี่ ตั้งหลายปีมาแล้ว!”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจี้หยวนอาจปล่อยให้เด็กสองคนนี้ข่มขู่ แต่ตอนนี้ร้ายดีอย่างไรก็รู้เรื่องมาไม่น้อย
“หึๆ สระมรกตนี้ไม่มีกฎไม่มีข้อห้าม ทั้งอยู่ห่างจากเขาล้อมหยกเกือบเจ็ดแปดร้อยลี้ แค่นี้ก็เป็นของสำนักพวกเจ้าแล้วหรือ”
เมื่อจี้หยวนพูดจบในใจสั่นสะท้าน ตะโกนไปด้านหลังเด็กสองคนเหมือนหยอกล้อและจริงจัง
“ไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยหรือ ปล่อยให้เด็กสองคนทำตัวไร้เหตุผล!”
เดิมทีเป็นแค่คำพูดหยั่งเชิงเจือแววถากถางเสี้ยวหนึ่งของจี้หยวน แต่คิดไม่ถึงว่าน้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง กลับมีเสียงลอยล่องมาจริง
“ทำให้ท่านขบขันแล้ว เขาล้อมหยกของข้าไม่มีเหตุผลจริงๆ!”
เสียงไม่เรียบง่ายหนักแน่นทรงพลังเหมือนจี้หยวน แต่กลับเรียกได้ว่าสุภาพสง่างาม เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวลายเมฆเคลื่อนสีฟ้า มวยผมเหนือศีรษะปักปิ่นหยกคนหนึ่งลอยล่องมา คล้ายก้าวออกมาจากห้วงอากาศ
ก่อนหน้านี้จี้หยวนไม่สังเกตเห็นร่องรอยการมีอยู่ของคนผู้นี้แม้เพียงเสี้ยว ทั้งมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ทำให้เขาคนแซ่จี้ตกใจจริงๆ แต่จากการฝึกฝนหลายครั้งทำให้ภายนอกจี้หยวนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ส่วนดวงตาสีเทายิ่งไม่มีคลื่นความรู้สึก
ความจริงทางด้านผู้มาเยือนก็ถูกจี้หยวนทำให้ตกใจ เขามองไม่ออกว่าคนตกปลาเป็นอริยเทพแห่งใด ตัวไร้กลิ่นอายเหนือศีรษะไร้แสงเทพ คล้ายปุถุชนคนธรรมดา หลอมรวมกับธรรมชาติโดยรอบเป็นหนึ่งเดียว
โดยเฉพาะยามเหวี่ยงสายแกล้งเด็กเมื่อครู่ เขาทำเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย ไม่มีกลิ่นอายผลาญเผาสักนิด ถึงขั้นไม่เปิดเผยร่องรอยวิชาใด ทักษะคุมวารีไหลลื่นไม่สะดุดแม้แต่น้อย ใช้แค่ทักษะคุมวารีที่เรียบง่ายที่สุด ไม่เกินมาสักส่วน
ถึงแม้ว่าชายชุดคลุมฟ้าออกมาเอง เมื่อเห็นดวงตาเป็นเอกลักษณ์ของจี้หยวน ย่อมรู้สึกว่าอีกฝ่ายเห็นตนซึ่งหลบอยู่หลังยันต์หยก
“หึๆ ข้าก็แค่ตะโกนไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่ามีผู้ใหญ่มาด้วยจริง ท่านช่างมีความอดทนนัก!”
ขณะกล่าวจี้หยวนนั่งหันข้างครึ่งหนึ่ง ทำให้ตนไม่ต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายหลังตลอด ‘กลยุทธ์เจิดจรัส’ บนเข่าเผยออกมา แววตาชายชุดคลุมฟ้าหดรัดเล็กน้อย
‘กลยุทธ์เจิดจรัส? ตำราบันทึกสวรรค์!’
ผู้มาเยือนไม่คิดว่าจี้หยวนพูดความจริง อีกฝ่ายตกปลาพลางอ่านตำรา ไม่มีทางจดจ่ออ่านตำราแน่
“ท่านล้อเล่นแล้ว เด็กรุ่นหลังสองคนก่อเรื่อง ด้วยสระมรกตแห่งนี้หนึ่งปีกำเนิดปลาโพรงเงินหนึ่งตัว มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณของเด็กรุ่นหลังสองคนนี้ ดังนั้นจึงเป็นกังวล”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ชายชุดคลุมฟ้าสะบัดมือ เด็กสองคนเหมือนถูกเส้นด้ายไร้รูปลากไปอยู่ข้างกาย ดูเหมือนอบรมทั้งสองคนว่าไร้มารยาท ความจริงเป็นการระวังตัวเงียบๆ
คนตกปลาตรงหน้ามรรควิถีลึกล้ำยากหยั่งถึง นิสัยดูเหมือนละมุนละม่อมแต่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง จัดการอย่างระวังหน่อยดีกว่า
‘แค่ปลาโพรงเงินตัวเดียวเท่านั้น หาเหตุผลถอยให้แล้วกัน!’
“ข้าน้อยฉิวเฟิงแห่งเขาล้อมหยก ไม่ทราบว่าท่านมีแซ่อันสูงส่งว่าอะไร มาที่นี่เพื่อรอพวกเราโดยเฉพาะหรือไม่”
ฉิวเฟิงตั้งใจผ่อนคลายน้ำเสียง คำเรียกเปลี่ยนเป็นให้เกียรติ ประสานมือมาทางจี้หยวนเล็กน้อย
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่กล้าอาจหาญ ลุกขึ้นเนิบช้าก่อนประสานมือคารวะตอบ ลังเลอยู่ครึ่งวินาทีก่อนตัดสินใจบอกชื่อจริง
“ข้าน้อยแซ่จี้ชื่อหยวน ไม่ถึงขั้นสูงส่ง มาครานี้เพราะอ่านคัมภีร์นอกรีตยามว่าง ทราบว่าที่นี่มีภูตวารีอยู่ แค่อยากเสาะหาข้อเท็จจริงเท่านั้น”
‘ไม่ได้มารอโดยเฉพาะก็ดี!’
ไม่สนว่าจริงหรือเท็จ ฉิวเฟิงเป่าปากโล่งอกเล็กน้อย ใบหน้าเจือรอยยิ้ม
“ในเมื่อท่านตกปลาโพรงเงินได้แล้ว พวกเราคงไม่อยู่รบกวน ขอจากกันแต่เพียงเท่านี้! เหอเอ๋อร์ อีอี พวกเราไปกันเถอะ”
ขณะกล่าวฉิวเฟิงประสานมือมาทางจี้หยวนอีกครั้ง พาเด็กสองคนหันหลังจากไป
จี้หยวนมองออกว่ายามเผชิญหน้าตนฉิวเฟิงระวังและป้องกันตัว แต่นอกจากประสานมือคารวะตอบอยู่ริมสระแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรชั่วขณะ การเจอผู้ฝึกเซียนครั้งแรกจบลงเพียงเท่านี้หรือ
เด็กสองคนยังไม่ยินยอม เดินเตะก้อนหินต้นหญ้า เมื่อห่างจากสระเล็กน้อย เด็กสาวกดเสียงต่ำพึมพำตำหนิอย่างอดไม่ได้
“อะไรกัน มาแย่งปลาโพรงเงินของพวกเรา หาเรื่องเด็กหรืออย่างไร…”
ฉิวเฟิงทำหน้าไม่ถูก เด็กคนนี้คิดว่าสระมรกตเป็นของสำนักตนจริงๆ
แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กชายกลับกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
“อืม หน้าไม่อาย…”
เดิมสองสามประโยคแรกไม่เป็นไร แต่เมื่อกล่าวคำว่า ‘หน้าไม่อาย’ ฉิวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีตวาดใส่ทันที
“เหอเอ๋อร์!”
เด็กของศิษย์พี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเกินไปแล้ว บนโลกนี้พวกมรรควิถีสูงล้ำมากมายประสาทสัมผัสทั้งหกฉับไวผิดธรรมดา ใช่ว่าพูดด้วยง่ายทั้งหมด การด่าซึ่งหน้าเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆๆ… พูดจามีเหตุผล แย่งของเด็กมาหน้าไม่อายอยู่บ้างจริงๆ!”
เสียงราบเรียบของจี้หยวนดังขึ้น แม้ว่ากำลังหัวเราะ แต่กลับทำให้ฉิวเฟิงใจหล่นวูบ นอกจากตื่นเต้นแล้วยังกระตุ้นพลัง ปิ่นหยกเหนือศีรษะเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นแดงซ่าน ในใจผู้ฝึกเซียนระดับรวมศูนย์อย่างเขาถึงกับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย