เขาไม่ได้มองไปที่จีเฉวียน แต่กลับโน้มร่างลงไปกระซิบที่ริมพระกรรณของฮ่องเต้ผู้ชราเบาๆ
จีเฉวียนทรงสังเกตเห็นเขาแต่แรกแล้ว ยามนี้สายพระเนตรของพระองค์ก็ทอดไปยังถุงมือไหมเงินทั้งสองข้างของเขา
ถุงมือไหมเงินสวรรค์ มีความสามารถในการป้องกันอย่างสูง ต่อให้เป็นศาสตราที่หลอมขึ้นมาจากทองคำดำก็ยังสามารถสกัดเอาไว้ได้
ไหมเงินสวรรค์ล้ำค่าอย่างที่สุด ต่อให้เป็นในท้องพระคลังของแคว้นต้าโจวเกรงว่าก็ยังมีไม่ถึงสิบชั่ง
ของสิ่งนี้ พระองค์เคยเห็นมันที่ริมทะเลสาบแคว้นเซอปี่ซือ
คนชุดดำเพียงแต่กระซิบที่ข้างพระกรรณฮ่องเต้ชรากล่าววาจาอยู่หลายคำ ก็เห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้ชราเปล่งประกายขึ้นมา
“ใช่แล้ว เราเกือบจะลืมไปแล้ว…..”
ตรัสแล้ว สายพระเนตรของพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายขึ้นมา
สายพระเนตรนั้นจับจ้องไปยังจีเฉวียน “ในเมื่อเจ้าไม่ได้ให้ทางรอดแก่เรา เช่นนั้นก็มาลงนรกด้วยกันเถอะ! คิดจะได้แคว้นเหยียนของเรารึ! ฝันไปเถอะ! เฮอะ เฮอะ เฮอะ!”
พระองค์ตรัสพึ่งตรัสจบ พระบาทของจีเฉวียนก็ถีบออกไป ทำเอาฮ่องเต้ผู้ชราหลั่งพระโลหิตจากทวารทั้งเจ็ด สมองมึนงงไปหมด แทบจะสิ้นพระสติไปในทันที
“พูดมากเสียจริง” ฮ่องเต้ทรงคลายพระหัตถ์ปล่อยง้าวนั้นไป ประทับยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ผู้ชรา
องครักษ์ที่รายล้อมอยู่ทั้งสี่ด้านไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาห้ามปรามพระองค์
ฝูงชนต่างก็ถูกกลิ่นเหม็นรมจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว เหยียนหยุนยิ่งคว้าไม้เท้าเอาไว้แน่น ไม่คิดจะรั้งอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสนามรบไปแล้ว หากพลาดแม้แต่เพียงก้าวเดียว เขามีหวังต้องกลายเป็นกระดูกป่นอยู่ในนี้
“จีเฉวียน ไอ้เด็กน้อย เจ้า….” ฮ่องเต้ชราพยายามยามดิ้นรนลุกขึ้นมา
แต่ว่าตรัสได้ยังไม่ทันถึงสองคำ จีเฉวียนก็ทรงกระทืบพระบาทลงมาอีกครั้ง
ยามจะกระทืบคนพึงกระทืบที่ใบหน้า นี่เป็นแนวทางของฝ่าบาทอยู่แล้ว
“หนวกหูจริงๆ” จีเฉวียนทรงกระทืบลงไปอีกหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้ฮ่องเต้ชราผู้นั้นหุบปากลงไปได้
“คิดว่าเราจะโง่จนปล่อยให้เจ้าขุดหลุมทำร้ายเราหรือ?” จีเฉวียนแย้มสรวลเย็นชา ดวงเนตรหงส์ใต้หน้ากากหนังจับจ้องไปบนร่างของคนชุดดำ
ทันทีที่พระองค์สบพระเนตรกับคนในชุดสีดำผู้นั้น เขาก็ปล่อยง้าวของจีเฉวียน ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คิดจะขยับตัวหลบหนีไป
จีเฉวียนกลับตรัสรั้งเขาเอาไว้
“ท่านราชครู”
คนชุดดำก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว ดวงตาใต้ผ้าคลุมคู่นั้นมีทั้งความเคียดแค้นและความประหลาดใจ
“ฮ่องเต้แห่งต้าโจว พระองค์ทรงจำคนผิดแล้ว” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง ซุกซ่อนน้ำเสียงที่แท้จริงของตนเองในทันที
ทันทีที่สิ้นเสียง จีเฉวียนก็ทรงชักกระบี่ออกมาจากบั้นพระองค์ ชี้ไปยังหัวไหล่ของเขา “เจ้ากล้าทำเรื่องเหล่านี้ แต่ว่าไม่กล้ายอมรับหรือ?”
จีเฉวียนทรงหน้ากากอยู่ จึงไม่มีใครเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์กำลังทรงรู้สึกเช่นไร แม้แต่ถ้อยคำที่รับสั่งถามออกไปนั้น น้ำเสียงก็แสนจะเรียบนิ่ง
คนชุดดำมองดูกระบี่ที่ชี้มายังศีรษะของตนเอง พักใหญ่ เขาก็ค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ฝ่าบาททรงสงสัยกระหม่อมตั้งแต่แรกแล้ว?”
ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา กระบี่ในมือของจีเฉวียนก็สะบัดออกไปกรีดผ้าคลุมหน้าของเขาออกเป็นสองส่วน
ผ้าคลุมขาดออก ลอยพลิ้วออกไปด้านหลัง
เปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามประดุจหยกไร้ตำหนิออกมา
ใบหน้านั้นมีดวงตาดุจลูกแก้ว ขนตาแต้มประกายไข่มุกยิ่งทำให้ดึงดูดสายตา สายรัดบนผมของเขาถูกจีเฉวียนตัดขาดไปด้วย เส้นผมทั้งหมดจึงสยายลงมา ดวงตาทั้งสองนั้นกำลังจ้องมองไปที่จีเฉวียน
“ย่อมใช่อยู่แล้ว ท่านเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ทั้งยังถนัดวางแผนการ บางทีท่านอาจจะไม่เคยเชื่อใจข้ามาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ใช่หรือไม่?”
“เราเติบโตมาพร้อมกับเจ้าตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะไม่เชื่อใจเจ้า?” จีเฉวียนขมวดพระขนงแนบแน่น พระองค์เคยคิดถึงสถานการณ์ที่ต้องฉีกหน้ากากของเขาออกมาเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่เมื่อถึงคราวจริงๆ นอกจากความโกรธกริ้วแล้ว ก็ยังมีความผิดหวัง ผิดหวังอย่างยิ่ง
ฉางซุนซิ่วมองดูพระองค์ มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา “ฝ่าบาทยังทรงจำได้ว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับกระหม่อม?”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ฮ่องเต้ชราที่สลบไปก็เริ่มได้พระสติขึ้นมา
ฮ่องเต้ชราทอดพระเนตรไปยังจีเฉวียน และก็หันไปทางฉางซุนซิ่ว “เจ้า……พวกเจ้า?”
ตอนนี้พระองค์ถึงได้ทรงรู้สึกตัวว่าตนเองถูกหลอกเข้าแล้ว!
รอบนี้พระองค์ถูกฉางซุนซิ่วถีบใส่อีกเท้าหนึ่ง ทรงกระเด็นออกไปจนทำให้สมองของฮ่องเต้ผู้ชราดับวูบ
ในที่สุดพระองค์ก็ปิดพระโอษฐ์ลงแล้ว ตรัสไม่ออกอีกตลอดกาล
…………………………
ที่ด้านนอกตำหนัก ตู๋กูซิงหลันขี่ราชาสุนัขป่าตะวันตกมาถึง
ราชาสุนัขป่ากระโดดผ่านกำแพงสูงระดับหัวคนเข้ามา หย่อนตัวลงบนพื้นระเบียงกลางตำหนัก ขณะที่มันกำลังจะส่งเสียงหอนดังออกไปในสายลมก็ได้กลิ่นเหม็นหึ่งเข้ามาเต็มปากเต็มจมูก
“แค่ก แค่ก แค่ก….” มันสำลักจนต้องไออย่างรุนแรงออกมาในทันที ไอไปก็เริ่มด่าไป
อึของผู้ใดทำไมถึงได้เหม็นขนาดนี้?
ติ๊งต๊องพ่นไฟมาตลอดทาง ลำคอแห้งผาดมาแต่แรกแล้ว ตอนนี้อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นอึคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ทำเอามันเกือบจะคายอาหารเก่าออกมา
ราชาสุนัขป่าถูกรมอยู่เป็นนานถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นนี้ออกจะคุ้นเคยอยู่บ้าง?
มันหันหัวกลับไปมองดูก้นของตนเอง จากนั้นก็ตั้งใจตดออกมาเป็นพิเศษ ส่ายหางไปมาแล้วก็ดมๆ ดู
อ้ายย่าห์……กลิ่นอึนั่นเป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นตดของมันเลย!
นึกไม่ถึงเลยว่า ในใต้หล้านี้จะยังมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอึได้เหม็นเหมือนกับมันไม่มีผิด?
นี่คือพี่น้องร่วมอุดมการณ์ใช่หรือไม่ หากไม่ได้พบหน้ากันสักหน่อยช่างน่าเสียดายจริงๆ ….
ตู๋กูซิงหลันเห็นมันซื่อจนเซ่อถึงขนาดนั้นก็ได้แต่เงียบงันไปพูดอะไรไม่ออก
พอหันมามองดูติ๊งต๊อง ก็เห็นมันกระพือปีกโอบรอบๆ ท้องตัวเองอาเจียนโอ๊กอ๊ากออกมาเป็นสาย……
อาเจียนลงไปโดนอุ้งเท้าของตนเอง สักพักก็ใช้ปีกไปเกาอุ้งเท้า
ตู๋กูซิงหลัน “……”
นี่สิน้าที่เขาว่าไม่มีใครที่โง่ที่สุด มีแต่คนที่โง่ยิ่งกว่า
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกสุนัขป่าที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทำเอาตกใจจนตื่นตระหนก จากตอนแรกที่ดูองอาจน่าเกรงขาม แต่ว่าตอนนี้……ตัวหนึ่งคิดจะตดก็ตด ตัวหนึ่งคิดจะเกาอุ้งเท้าก็เกา ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์กันขนาดนี้เลย?
ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเข้มข้นจากควันสีเหลืองอมเขียว ดังนั้นจึงไม่มีใครมองเห็นโฉมหน้าของสาวน้อยได้อย่างชัดเจน
จากนั้นก็เห็นตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงมา นั่งอยู่บนหลังของติ๊งต๊อง
ด้ายโชคชะตาในมือเปล่งแสงสีแดงระเรื่อออกมา นางมองเข้าไปในตำหนักบรรทมข้างหน้า
ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีดำทอง ยืนหันหลังให้กับนาง
เขาถือกระบี่ที่มีไอเย็นเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ร่างเหยียดตรง เส้นผมยาวสลวยพลิ้วตามลม มีก็แต่จีเฉวียนเท่านั้นที่จะมีราศีเช่นนี้
ก้อนหินที่ลอยคว้างอยู่ในใจของตู๋กูซิงหลันในที่สุดก็สามารถวางลงได้เสียที
เขายังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่ดี
นางกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นพี่ใหญ่ของตนเองกำลังนำกองทัพต่อสู้และเข่นฆ่าเหล่าทหารแคว้นเหยียนท่ามกลางกลิ่นเหม็นตลบอบอวล
นี่มิใช่การต่อสู้ฆ่าฟัน…..แต่เป็นการโจมตีอยู่แต่ฝ่ายเดียว
พี่ใหญ่สวมหน้ากากกันพิษเอาไว้ นางต้องอาศัยเสื้อผ้าจึงจะจำเขาได้
พวกเขาล้วนปลอดภัย…..ดีจริง
ตู๋กูซิงหลันตบลงไปบนลำคอของติ๊งต๊องเบาๆ กระตุ้นให้ติ๊งต๊องวิ่งเข้าไปในตำหนักบรรทมทั้งๆ อุ้งเท้าที่ยังเช็ดได้ไม่ค่อยจะสะอาดสักเท่าไหร่
พอเข้าไปถึงประตูใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของบุรุษดังออกมา
“ตอนที่ท่านอายุได้ห้าขวบ เสด็จอาหญิงฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์ เสียนไท่เฟยได้รับความโปรดปราน ตระกูลฉางซุนสูญเสียอำนาจ ท่านไร้ที่พึ่งพิง ถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียน ครอบครัวเรากลัวว่าท่านเดินทางไปคนเดียวจะโดดเดี่ยวอ้างว้าง จึงได้ให้น้องสาวแท้ๆ ของข้าอิงเอ๋อร์ติดตามท่านมายังแคว้นต้าเหยียนด้วย”
ตู๋กูซิงหลันชะงักไป เงาร่างของจีเฉวียนแทบจะบดบังฉางซุนซิ่วเอาไว้จนหมด ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของเขา
แต่ว่าเพียงแค่ได้ยินเสียง นางก็รู้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจีเฉวียนนั้นคือใคร
นางสั่งให้ติ๊งต๊องพาหลบไปด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปรบกวนในทันที
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนก็มิได้ปฏิเสธอะไร แสดงว่าที่ฉางซุนซิ่วพูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
“ส่วนข้า ถูกคนในครอบครัวส่งไปฝึกวิชาเวทย์ที่เขาฮว่าชิงซาน ทั้งหมดก็เพียงเพื่อจะได้คอยเป็นกำลังช่วยเหลือท่านอีกแรง”
“ท่านดูสิ ขณะที่ท่านสูญเสียมารดา หมดสิ้นความรักเอ็นดูจากบิดา กลับยังมีคนอีกตั้งมากมายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อท่าน ท่านช่างโชคดีขนาดไหนแล้ว”
……………………………………………
ตอนต่อไป “ให้ทั้งแคว้นเหยียนถูกกลบฝังเป็นเพื่อนนาง!”