ตอนที่ 73 ตัวหมากขโมยโอสถ
ฉิวเฟิงพาเด็กสองคนจากไปครู่ใหญ่แล้ว จี้หยวนเฝ้ารออยู่จุดเดิม กระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว เขากลับไปริมสระมรกตด้วยความตื่นเต้นที่แทบควบคุมไม่อยู่ จับแท่งหยกขาวใหญ่เล็กในมือเล่นไม่หยุด
สมเป็นเขาล้อมหยก ไม่ว่าอะไรล้วนไม่ห่างจากหยก ห่วงหยกฟ้านั่น แท่งหยกขาวนี้ แม้แต่ปิ่นหยกเหนือศีรษะของฉิวเฟิง เมื่อครู่จี้หยวนยังเห็นแสงลึกลับยากสังเกตเห็นถูกกระตุ้นด้วย
“โธ่เอ๊ย ลืมถือโอกาสช่วยเว่ยอู๋เว่ยถามเลย!”
จี้หยวนตบศีรษะ นึกถึงเรื่องนี้แล้วหลุดหัวเราะอยู่บ้างทันที สุดท้ายเว่ยอู๋เว่ยคนนี้ไม่ถือว่าสนิทกับตนนัก ถ้าเป็นเรื่องของเสี่ยวอิ๋นชิงตนไม่มีทางลืมแน่
ริมสระเขียวมรกต จี้หยวนนั่งตรงจุดเดิม วางคันเบ็ดไม้ไผ่เขียวขจีลงด้านข้าง นั่งขัดสมาธิเริ่มอ่านเนื้อหาบนแท่งหยกขาวสองอัน
วิธีการจดบันทึกเช่นนี้ล้วนมีกล่าวถึงอยู่ในกลยุทธ์เจิดจรัสและคัมภีร์นอกรีต เรียกว่าวิชาวัตถุสื่อจิต นับว่าเป็นวิธีจดบันทึกที่มีเอกลักษณ์ของผู้ฝึกเซียน แต่ค่อนข้างสิ้นเปลืองแรงใจโดยปกติจึงไม่ใช้แพร่หลาย สื่อกลางเป็นได้ทั้งทอง เหล็ก หิน หยก มรรควิถีของผู้บันทึกยิ่งสูงพลังยิ่งแข็งแกร่ง เงื่อนไขของสื่อกลางก็ยิ่งต่ำ กระทั่งคัมภีร์นอกรีตยังกล่าวว่ามีผู้สื่อจิตใช้สายน้ำลมเย็นเป็นสื่อกลาง นับว่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
สำหรับแท่งหยกขาวสองอันในมือจี้หยวน น่าจะเป็นเพราะเขาล้อมหยกมากพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ล้วนเป็นหยกขาวคุณภาพเยี่ยม แน่นอนว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดี เงื่อนไขของผู้สำแดงวิชาอยู่ในระดับต่ำสุด
ถึงอย่างไรวิชาอัศจรรย์กักเทพก็เป็นเศษบทความ ฉิวเฟิงค้นคว้ามาสิบกว่าปียังไม่อาจถอดความเดิมได้ จี้หยวนไม่คิดว่าตนจะทำได้ทันที จึงวางลงด้านข้างก่อนหยิบแท่งหยกขาวขนาดใหญ่มากุมไว้ในมือ
ด้านบนสลักตัวอักษรใหญ่ว่า ‘แบบฝึกล้อมหยก’ นอกจากนี้ยังมีลายคลื่นหลายสายอยู่ด้านหน้า
การอ่านแท่งหยกนี้มีเงื่อนไขน้อยกว่าการอ่านพวกตำราลายสวรรค์มาก ขอแค่ผู้สัมผัสถ่ายทอดปราณวิญญาณเข้าไปหมุนวนในแท่งหยก ยามรับรู้ค่อยจดจ่อเนื้อหาโดยละเอียดซึ่งวิวัฒน์ออกมา
ต่อให้เป็นแค่วิชาฝึกปราณพื้นฐาน แต่เนื้อหาภายในกลับเหนือกว่าวิชากำหนดปราณเมื่อตอนนั้นมาก หากต้องเปรียบเทียบกันจริง อย่างมากวิชากำหนดปราณคงนับว่าเป็นแค่เกร็ดเนื้อหาของวิชาฝึกปราณ ภายในเกี่ยวข้องกับพื้นฐานหลักการและคำอธิบายการฝึกเซียนโดยละเอียดมากมาย
ดังคำกล่าวว่าภายนอกมีฟ้าดินกว้างใหญ่ ในกายมีฟ้าดินขนาดย่อม ตะวันจันทราเกี่ยวดวงดาวชีพจร ถึงวันนี้การสำรวจฟ้าดินขนาดย่อมในกายยังไม่มีจุดสิ้นสุด ความซับซ้อนถึงขั้นไม่ด้อยกว่าฟ้าดินกว้างใหญ่
วิชาฝึกปราณเกี่ยวกับปราณห้าธาตุของอวัยวะภายใน วิวัฒน์เป็นไฟจิตน้ำไตมาหลอมปราณวิญญาณกลางฟ้าดินภายในกาย จากความเข้าใจของจี้หยวนล้วนคือขอบเขตของความเร้นลับสุดหยั่ง
“มิน่าหลังจากยอดฝีมือฟ้าประทานบนยุทธภพพวกนั้นบรรลุถึงปลายยอดแล้ว ส่วนใหญ่มักสิ้นชีพด้วยความแค้นเพราะระดับวิชายุทธ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพาการหยั่งรู้กำลังภายในและเส้นปราณแล้วคาดคิดได้”
จี้หยวนทอดถอนใจประโยคหนึ่ง เริ่มฝึกปราณครั้งแรกในรอบสองชาติ สิ่งที่เรียกว่าแบบฝึกย่อมเป็นทั้งขั้นต้นในการฝึกปราณบำเพ็ญเซียน เรียกรวมว่าการหล่อปราณ ต้องหล่อปราณสำคัญหนึ่งหยินหนึ่งหยางอย่างไฟจิตน้ำไตออกมาในฟ้าดินภายใน ทั้งต้องอาศัยสิ่งนี้หลอมพลังอุ่นบำรุง
ทว่า… สองธรณีประตูสำคัญในการฝึกเซียน อย่างแรกคือรับรู้ปราณวิญญาณกำหนดปราณเข้าร่างกาย อย่างที่สองก็คือการแปรหยินหยางภายในฟ้าดินขนาดย่อม สำหรับจี้หยวนกลับไม่ยากแม้แต่น้อย
ความลำบากต่างจากขั้นพื้นฐานของผู้ฝึกเซียนคนอื่นยามไปหยั่งรู้อวัยวะภายในนิมิตฟ้าดินโดยสิ้นเชิง ซ้ำอย่างมากฟ้าดินที่นิมิตออกมาก็มีเพียงหนึ่งห้อง จี้หยวนแค่เข้าฌานครู่หนึ่ง นึกถึงร่างกายแปรเป็นฟ้าดิน โลกนิมิตทั้งใบก็กลายเป็นฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
พื้นดินภูผาธารา แม่น้ำบ่อบึง สุริยันจันทราดาราทยอยปรากฏ…
จี้หยวนไม่ได้คล้อยตามทิวทัศน์งดงาม แต่รีบเริ่มฝึกปราณเป็นสำคัญ ท่องสัจคาถาชี้นำความอัศจรรย์ กระตุ้นอวัยวะภายในพลังชีวิตมาวิวัฒน์เป็นฟ้าดิน
‘ไฟจิตปรากฏ’
พร้อมกับความคิดนี้
ตูม…
เหนือยอดเขามหึมากลางฟ้าดินบางแห่ง เพลิงสวรรค์ดวงหนึ่งลุกโชนกลางห้วงอากาศเหมือนดวงตะวัน จี้หยวนคล้ายสัมผัสถึงความร้อนไร้สิ้นสุดนั้น เขาไม่ตื่นเต้นเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก แม้มีความรู้สึกแต่กลับถูกฟ้าดินกว้างใหญ่ดูดกลืน คลื่นอารมณ์จึงนิ่งสงบเหมือนฟ้าดิน
‘น้ำไตปรากฏ’
เมื่อความคิดต่อมาบังเกิด
ซ่า…
ตำแหน่งเดียวกันกลางฟ้าดินภายใน บนพื้นดินสายน้ำรวมกันเป็นคลื่นโหมกระหน่ำ
สถานการณ์แตกต่างจากคำอธิบายในแบบฝึกล้อมหยกมาก หรือพูดได้ว่าแปรเปลี่ยนจากเค้าเดิมแล้ว แต่จี้หยวนคิดเองว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร
‘ปราณแปรหยินหยาง!’
หนึ่งในสองขั้นตอนสำคัญ คลื่นปฐพีกับนภาลุกโชน หนึ่งคือพลังน้ำไร้สิ้นสุดทะยานขึ้นมาจากด้านล่าง อีกอย่างคือเพลิงม้วนตลบกดอัดลงมา
ท่ามกลางอานุภาพอัศจรรย์หนึ่งแดงหนึ่งซึมซาบรวมตัวอยู่เหนือยอดเขามหึมาบนฟ้าดินแห่งนี้
จี้หยวนทำตัวเหมือนผู้สังเกตการณ์คนหนึ่ง ไม่มีคลื่นความรู้สึกต่อภาพชวนตะลึงตรงหน้าแม้แต่น้อย มองไฟกับน้ำแปรเปลี่ยนตรงจุดรวมตัวทีละนิด กลายเป็นหนึ่งขาวหนึ่งดำ
ยามรวมตัวสองสีสันนี้หมุนวนเรื่อยๆ กลายเป็นวังวนแปลกประหลาด คล้ายภาพไท่จี๋[1]ขนาดมหึมา เพียงแต่ขาดสองจุดบนปลาคู่เท่านั้น
‘หยินหยางแปลงเป็นเตา!’
ขั้นตอนสำคัญที่สุด ตอนนี้แม้แต่จี้หยวนยังหวั่นหวาดอย่างอดไม่ได้
ตูม…
เดิมทุกอย่างบนฟ้าดินภายในล้วนไร้สุ้มเสียง เวลานี้จี้หยวนกลับเหมือนได้ยินเสียงระเบิดหนึ่งดังชัดเจน ฟ้าดินราวกับกำลังสั่นสะเทือน
ตรงยอดเขามหึมา กลางภาพไท่จี๋หยินหยาง เตาโอสถมหึมาหนึ่งปรากฏกลางรอยคลื่นเร้นลับไร้สิ้นสุด
“ฮู่ว…”
ร่างกายจี้หยวนบนโลกภายนอกถอนใจเบาๆ สิ่งสำคัญคือคำอธิบายบนกลยุทธ์เจิดจรัสน่ากลัวเกินไป มักกล่าวว่ายากลำบาก ทั้งบอกว่าบางคนเตาระเบิดพันครั้งยังไม่สำเร็จ
กระทั่งหลอมเตาเสร็จ จี้หยวนสบายใจได้ชั่วคราว ถ้าผู้ฝึกเซียนไม่ได้รับบาดเจ็บหนักร้ายแรงเป็นพิเศษ เตาโอสถภายในกายนี้ย่อมไม่มีทางหายไป ภายหน้าขอแค่นึกถึงก็จะปรากฏ
จี้หยวนนึกถึงเตาโอสถตั้งตระหง่านเหนือยอดเขาภายในกายตน ไม่ว่ามองอย่างไรคุณสมบัติของตนคงไม่ถือว่าแย่กระมัง
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ในใจความคิดไหวเคลื่อน ปราณวิญญาณทั่วร่างพากันหายไปกลางอากาศ ปรากฏอยู่หน้าเตาโอสถอีกครั้ง ถูกดูดซับเข้าไปผ่านช่องเตาโอสถ…
ค่ำคืนบนเขาคทาผ่านไปอย่างรีบเร่งท่ามกลางความเงียบสงบ เมื่อฟ้าใกล้สางจี้หยวนรู้สึกว่าปราณโอสถสายแรกลอยออกมา จากนั้นปราณโอสถต่อเนื่องไม่ขาดสายลอยออกมาช่องเตาโอสถเหมือนหมู่ดาว
เดิมขั้นตอนนี้จี้หยวนไม่ต้องเฝ้าดู ปราณโอสถนี้จะแปลงเป็นฟ้าดินในห้วงนิมิต แทรกซึมเข้าสู่กายเนื้อ รวมถึงเชื่อมต่อจุดชีพจรของฟ้าดินภายใน ส่วนการทำลายด่านต้นครั้งนี้ ยามเตาหลอมโอสถกลายเป็นฐาน จุดชีพจรซึ่งเปิดออกตอบสนองกับจุดชี่ไห่[2]ของกายเนื้อสร้างจวนโอสถ
ถ้าอธิบายตามวิชาฝึกเซียน ตอนนี้จี้หยวนมีจุดตันเถียนหนึ่งหมู่ แม้ว่าวิชาจอมยุทธ์บนยุทธภพก็มีการกล่าวถึงจุดตันเถียนชี่ไห่ แต่จุดตันเถียนนี้ไม่ใช่จุดตันเถียนนั่น ชื่อเหมือนแต่แก่นแท้กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่เรื่องที่ทำให้จี้หยวนตกตะลึงกลับเกิดขึ้นเวลานี้ ตัวหมากหนึ่งดำสองขาววาบผ่านเตาโอสถในห้วงนิมิตเหมือนดาวตก ปราณโอสถมากมายยังไม่ก่อตัวก็ถูกแบ่งเจ็ดส่วน สามส่วนที่เหลือจี้หยวนรีบรวมสมาธิดึงเข้าจวนโอสถ มิฉะนั้นอาจไม่เหลือสักเสี้ยว
จี้หยวนลืมตาขึ้น ยื่นแขนขวาตั้งนิ้วกระบี่ หมากสีดำกึ่งเลือนรางกึ่งชัดเจนตัวหนึ่งปรากฏตรงปลายนิ้ว ดูเหมือนไม่ต่างจากก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย คล้ายว่าการหายไปของปราณโอสถที่จี้หยวนลำบากหลอมพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับมัน เมื่อเปลี่ยนจากหมากดำเป็นหมากขาวสองตัวก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก
จี้หยวนรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่
“เฮ้อ… ช่างเถอะๆ… สุดท้ายก็เป็นของตัวเอง ถูกขโมยโอสถใช่ว่าควบคุมไม่ได้ ถึงอย่างไรระดับหล่อปราณขอบเขตจวนโอสถก็ไม่ใหญ่…”
อืม การขโมยโอสถเป็นคำเฉพาะด้านการฝึกปราณที่จี้หยวนคิดค้นเอง ไม่มีการใช้โดยทั่วไป
ยามนี้ฟ้าย่ำรุ่งแล้ว จี้หยวนออกจากการฝึกปราณกวาดมองรอบทิศ พบว่าตนอยู่กลางหมอกขาวหนาแน่นโดยสมบูรณ์ เสื้อผ้าบนตัวชื้นแฉะผิดปกติ
เขาปัดก้นลุกขึ้นมา
“หึๆ ไปแล้วๆ!”
…
ยามนี้บนเขาโคเทพซึ่งห่างจากเขาคทาไปสามร้อยลี้ ภายในถ้ำพยัคฆ์ของเจ้าภูเขาลู่ สัตว์ขนาดมหึมาที่นอนหมอบอยู่คล้ายสัมผัสถึงอะไรกะทันหัน ลืมตาเขียวเข้มมหึมาในความมืดเสี้ยวหนึ่ง
“ท่านใช้มรรคมนุษย์แทนทางปีศาจที่ข้าเคยก้าวพลาด การทำชั่วก่อปราณปีศาจ สร้างความเสียหายต่อจิตวิญญาณที่เดิมไม่เพียงพอของข้าจนไอเหี้ยมโหดและกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอนานเข้าจึงกลายเป็นปีศาจ พิบัติเคราะห์ยากหลุดพ้น มรรคสวรรค์อาศัยการเสริมส่งกันของหยินหยาง อืม ขอบเขตของข้าเริ่มคล่องตัวอีกเสี้ยวหนึ่งแล้ว! หึๆๆๆ…”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะแหบพร่าน่ากลัว เสือร้ายแสยะปากชวนประหวั่น เผยเขี้ยวขาวซึ่งมองเห็นกลางความมืดมิดได้รางๆ
เวลาเดียวกันกลางยอดเขาโคเทพอีกแห่ง มีเสียงจิ้งจอกหอนรับแสงอรุณ บนเตียงบ้านคนสักแห่งในอำเภอหนิงอัน อิ๋นจ้าวเซียนคลายคิ้วซึ่งขมวดจากการหลับฝันลงเล็กน้อย
[1] ภาพไท่จี๋ หมายถึง ภาพวงกลมหยินหยาง แบ่งเป็นสีขาวดำ ลักษณะคล้ายปลาสองตัว
[2] จุดชี่ไห่อยู่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 1.5 ชุ่น