ตอนที่ 74 กลิ่นอายนับหมื่นพัน
หยิบร่มกระดาษของตนขึ้นมาเก็บเข้าห่อผ้า มองคันเบ็ดที่อยู่ด้านข้าง พกไปไม่สะดวก ทิ้งไว้ก็เสียดาย จี้หยวนลังเลครู่หนึ่งก่อนปลดสายกับเบ็ดตกปลาออก ทิ้งคันเบ็ดไผ่เขียวขจีไว้ริมสระ
มองสระมรกตนี้อีกครั้ง แม้ว่าหนึ่งปีกำเนิดปลาโพรงเงินหนึ่งตัว แต่ถือว่าอัศจรรย์แล้ว
“คราวหน้าข้าคนแซ่จี้ต้องนำปลาชนิดนี้มาตุ๋นน้ำแกง ดูว่ารสชาติมันเป็นอย่างไรกันแน่!”
จี้หยวนกล่าวพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่งก่อนก้าวจากริมสระไป
เวลานี้บนเขาคทามีหมอกอบอวล ระยะห้าหมี่มองไม่เห็นสิ่งใด แต่สำหรับจี้หยวนเรื่องนี้ไม่มีผลอะไร กลับเป็นเพราะยามนี้ไม่มีคนเดินเขากล้าสัญจรตามสะดวก ฝีเท้าจี้หยวนจึงเปลี่ยนเป็นว่องไว
อาศัยแรงส่งจากกิ่งไม้ผาชันเป็นพักๆ บ้างใช้ท่าร่างมังกรเหินซึ่งสง่างามอิสระมุ่งหน้าตามอำเภอใจ ร่างกายแผ่วเบาทั้งเหมือนเมากรึ่ม พริบตาเดียวก็ข้ามทางเขาขรุขระมาแถบใหญ่
ยามก้าวเดินนอกจากอ่านเนื้อหาบางส่วนของเคล็ดวิชาฝึกปราณ จี้หยวนยังคิดเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยนแปลงและประโยชน์ของหมากสามตัวด้วย
หมากสามตัวนี้มีที่มาจากตอนเจ้าภูเขาลู่มุ่งสู่มรรค ยามปล่อยจิ้งจอกแดงกลับแล้วก้มกราบยอมรับชื่อ รวมถึงรุ่งเช้ายามอาจารย์อิ๋นอ่านกลอนอำลาที่ตนมอบให้
หากยึดตามความเข้าใจของคนบนโลกนี้ย่อมลึกล้ำเป็นธรรมดา แต่ถ้าใช้ความคิดและข้อมูลนานัปการบนอินเทอร์เน็ตที่จี้หยวนอ่านเมื่อชาติก่อนมาคิดแทน ย่อมพบมูลเหตุได้ไม่ยาก สามช่วงเวลานี้ส่งผลต่อคนหรือปีศาจเจ้าของเรื่องอย่างมาก
เจ้าภูเขาลู่กับจิ้งจอกน้อยยังเข้าใจได้ คนเดียวที่แปลกหน่อยก็คืออาจารย์อิ๋น แต่จี้หยวนรู้นิสัยของอิ๋นจ้าวเซียนเป็นอย่างดี มีโอกาสสูงว่าจดหมายฉบับนั้นกระตุ้นปณิธานของอิ๋นจ้าวเซียน บางทีปณิธานนี้อาจยิ่งใหญ่ถึงขั้นพอจะเปลี่ยนชีวิตของเขาต่อจากนี้
จากมุมมองนี้การเกิดตัวหมากน่าจะมีนัยยะสอดคล้องกับโชคชะตา
คนเชื่อเรื่องโชคชะตาได้ แต่ไม่อาจเชื่อโชคชะตาทั้งหมด โชคชะตานั้นมีอยู่ แต่ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนไม่ได้
ช่วงนี้จี้หยวนรู้จักคนมากมาย อย่างไกลเช่นเก้าจอมยุทธ์น้อย อย่างใกล้เช่นเว่ยอู๋เว่ย แต่ล้วนไม่มีตัวหมากเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าขั้นหรือพวกเขาไม่มี ‘คุณสมบัติสร้างตัวหมาก’
“เช่นนั้นตัวหมากของเจ้าภูเขาลู่ เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นสีดำเล่า”
จี้หยวนกล่าวกับตัวเองประโยคหนึ่ง นึกถึงสิ่งชั่วร้ายในบ่อเมื่อตอนนั้น เป็นช่วงที่นิ้วมือตนบาดเจ็บหนัก ทำให้ผีร้ายถึงแก่ความตายพร้อมเปลี่ยนสีตัวหมากด้วย
‘เป็นเพราะปราณหยินธาตุน้ำทำให้หมากเปลี่ยนเป็นสีดำ หรือเพราะไอเหี้ยมโหดชั่วร้ายกับสิ่งอื่นกันแน่ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อเจ้าภูเขาลู่หรือไม่ คล้ายว่าส่งผลต่อเรามากกว่าหน่อยกระมัง…’
จี้หยวนนึกถึงตรงนี้แล้วสะบัดแขนเสื้อด้านซ้าย หมอกขาวแถบใหญ่รัศมีหนึ่งจั้งพากันรวมตัวเข้ามา รวมกันเป็นลูกโป่งน้ำเกลี้ยงกลมเปล่งประกายกลางมือซ้ายจี้หยวนทันที
‘ทักษะคุมวารีของเราแข็งแกร่งกว่าการคุมเพลิงจริงๆ!’
สำหรับจี้หยวนประโยชน์สูงสุดของหมากสามตัวก่อนหน้านี้ก็คือช่วยกำหนดปราณรวมปราณวิญญาณ แต่การตอบสนองที่หมากสามตัวขโมยโอสถเมื่อครู่ทำให้จี้หยวนใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง
ตอนนั้นจี้หยวนคิดว่าแม้ตัวหมากรวมปราณวิญญาณได้ แต่เหมือนไม่อาจดูดซับปราณวิญญาณได้จริง ตอนนี้ดูท่าว่าคงกระหายปราณโอสถซึ่งหลอมออกมายิ่งกว่า
‘ปราณโอสถๆ ตัวหมากดูดปราณ โดยเฉพาะปราณโอสถสายแรกอันล้ำค่านี้ มีอิทธิพลกับเรามากกว่า หรือว่ามีผลกระทบกับตัวหมากด้วย’
“เฮ้อ! บ้วนปากล้างหน้าแปรงฟันก่อนแล้วกัน…”
จี้หยวนยิ้มเยาะตนเอง เจ้าตัวจ้อยอย่างตนจะกลุ้มใจเรื่องอะไรนัก เขายื่นมือลิดกิ่งหวายมาท่อนหนึ่ง มือซ้ายถือลูกโป่งน้ำ เริ่มเดินพลางบ้วนปากแปรงฟัน ถึงตอนท้ายค่อยใช้ลูกโป่งน้ำตบเข้าใบหน้าแล้วล้างถู
…
ยามจี้หยวนเพิ่งออกจากเขาคทา ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว แสงแดดสาดส่อง หมอกกลางป่าเขาซ่านสลาย
จี้หยวนสำแดงวิชาเลี่ยงวารี เสื้อผ้าชื้นแฉะบนตัวแห้งเหมือนหมอกระเหยลอยภายใต้แสงอาทิตย์ทันที หากมีคนเห็นท่าทางนั้นพอดี ย่อมถือว่าพร่าเลือนดั่งเซียน
ปากทางภูเขาฝั่งใต้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ส่วนมากเป็นครอบครัวชาวประมง เดินตามทางลูกรังเลียบทางเขาไปมีท่าเรือข้ามฟากไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง แม่น้ำราบรื่นสะท้อนแสงวิบวับภายใต้ดวงอาทิตย์แล้ว
เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าอยู่ ตรงทางเข้าอำเภอเก้าสายไม่มีคนข้ามเขามาสักนิด เรือเล็กใหญ่ไม่น้อยล้วนจอดเทียบอยู่ตรงท่า แต่มีเรือใหญ่ลำหนึ่งน่าจะเพิ่งมุ่งหน้ามาถึงปากทางเก้าสาย กำลังมีคนลงมาจากเรือ ทั้งมีคนเรือขนของขึ้นลง รถม้ารถลาลากของสองสามคันจอดอยู่ตรงท่าเรือ
ยังไม่ถึงช่วงยุ่งง่วนก็มีเค้าลางความขวักไขว่คับคั่งแล้ว
แม้ว่าในชื่อแม่น้ำราบรื่นมีคำว่า ‘เสี่ยว’ (เสี่ยว ภาษาจีนแปลว่า เล็ก) แต่ความจริงไม่ใช่แม่น้ำสายเล็ก ความกว้างประมาณยี่สิบกว่าจั้งถึงสามสิบกว่าจั้ง ตรงไปทางตะวันออกเฉียงใต้จะเชื่อมต่อกับแม่น้ำวสันต์ เป็นจุดรวมสำคัญของการขนส่งทางน้ำตรงทางเข้าอำเภอเก้าสาย
จี้หยวนกินขนมเปี๊ยะที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้ ก้าวเดินมาถึงท่าเรือข้ามฟากด้วยความเร็วของคนปกติทั่วไป ทั้งไม่มองเรือใหญ่พวกนั้น เดินตรงไปยังเรือโดยสารลำเล็กติดใบเรือ ชายชราอายุเกินครึ่งร้อยกับชายหนุ่มผิวคล้ำคราวลูกเขาอีกคนกำลังจัดการเก็บกวาดเรือ
“ฝีพาย รับงานไปจังหวัดชุนฮุ่ยหรือไม่”
เสียงราบเรียบมีพลังของจี้หยวนดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนซึ่งยุ่งอยู่บนเรือมองไปบนฝั่ง เห็นคนสวมชุดสีเทาแขนกว้าง พาดห่อผ้าถือร่มกำลังยืนตรงท่าเรือ ดูเหมือนนักพรตแต่ทรงผมไม่เหมือน แวบแรกคือสามสี่สิบ แต่มองหนุ่มกว่าหน่อยก็พอได้ ถึงขั้นทำให้ฝีพายเฒ่าไม่รู้ว่าผู้มาเยือนอายุเท่าไหร่กันแน่
ชายชราเดินมาตรงหัวเรือพลางกล่าวกับจี้หยวน
“แน่นอนว่าไป ท่านตัวคนเดียวหรือยังมีเพื่อนร่วมทาง ต้องการเหมาลำไปหรือรอคนร่วมทางได้?”
จี้หยวนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
“มีแค่ข้าน้อยคนเดียว ไม่ทราบว่าเหมาลำกับรอคนร่วมทางราคาเท่าไหร่”
“หากต้องการเหมาลำ ฤดูกาลนี้ไปจังหวัดชุนฮุ่ยเส้นทางน้ำปลอดภัย ใช้เวลาเพียงสามวันก็ไปถึง แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายท่านออกคนเดียว รวมเป็นเงินก้วนสองร้อยเหรียญ”
เงินก้วนสองร้อยเหรียญ เท่ากับหนึ่งพันสองร้อยอีแปะ เงินหนึ่งตำลึงกว่า จี้หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ราคานี้ค่อนข้างแพง
“หากรอคนร่วมทาง ท่านต้องรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะติดป้ายเรียกแขก เขียนชัดเจนว่าไปจังหวัดชุนฮุ่ย ท่านหาผู้ร่วมทางด้วยตัวเองได้ ค่าเรือหารเฉลี่ยหรือท่านยอมจ่ายมากหน่อยก็ได้ ขอแค่เจรจาลงตัวก็พอ ท่านโปรดวางใจ ทุกวันคนมุ่งหน้าไปจังหวัดชุนฮุ่ยยังมีอยู่บ้าง แค่เรือข้าลำเล็ก อย่างมากบรรทุกได้สิบคน มิฉะนั้นกลางคืนจะไม่มีที่พักผ่อน”
จี้หยวนมองเรือลำนี้ ยาวประมาณสามจั้ง กลางลำกว้างหนึ่งจั้ง เสาตั้งอยู่ตรงกลาง ช่วงท้ายเรือมีประทุนปกคลุม น่าจะเป็นสถานที่พักหลบฝนให้ผู้โดยสารได้
“อืม รบกวนฝีพายแล้ว ขอข้าน้อยไปถามราคาที่อื่นก่อน!”
“เชิญท่านตามสบาย แต่ราคาเรือของพวกเราถือว่ายุติธรรมมากแล้ว!”
ฝีพายกล่าวประโยคนี้ ทำความสะอาดห้องโดยสารกับคนหนุ่มบนเรือต่อ คล้ายว่ามีความมั่นใจมาก
จริงดังคาด จี้หยวนเดินวนมารอบใหญ่ สุดท้ายจึงกลับมาที่นี่ ใช่ว่าไม่มีเรือถูกกว่า แต่จากเวลาที่ต้องใช้และความสะอาดสบาย เรือลำนี้เหมาะสมที่สุดจริงๆ
เมื่อเห็นเขากลับมา ฝีพายเฒ่าพลันยิ้มกล่าว
“เป็นอย่างไร ท่านตัดสินใจได้แล้วหรือ”
“อืม ฝีพาย พวกเรารอสักครึ่งวัน มีคนร่วมทางดีที่สุด ถ้าไม่มีคนมาข้าน้อยขอเหมาลำ”
“ได้ๆ ท่านตัดสินใจแล้วก็ดี! ระยะทางสามวัน อาหารบนเรือย่อมมีปลาสด ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม!”
คราวนี้น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนอบน้อมไม่น้อย คนไปจังหวัดชุนฮุ่ยมีอยู่ทุกวันก็จริง แต่ล้วนถูกใจเรือใหญ่ ธุรกิจเรือเล็กอย่างพวกเขาไม่มาก ส่วนจี้หยวนก็ไม่ชอบความเซ็งแซ่ของเรือใหญ่พอดี
หลังจากแขวนป้ายเรียกแขกว่าไปจังหวัดชุนฮุ่ย จี้หยวนไม่ไปเรียกแขก แต่นั่งอ่านตำราอยู่ตรงหัวเรือ ท่าทางเหมือนคนมาหรือไม่ล้วนปล่อยไปตามวาสนา
จี้หยวนให้ฝีพายตั้งค่าเรือหนึ่งร้อยยี่สิบอีแปะ ส่วนที่เหลือจี้หยวนรับผิดชอบเอง ใช่ว่าจี้หยวนอวดรวย แต่หารเฉลี่ยไม่เหมาะสมจริงๆ พวกเขาจ่ายเงินน้อยหน่อยก็เบียดขึ้นเรือใหญ่ได้แล้ว
ใกล้ถึงตอนเที่ยง รวมแล้วเพิ่งมาหกคน บัณฑิตคู่หูสองคน ปู่หลานหนึ่งแก่หนึ่งเด็ก อีกสองคนไม่รู้จักกัน เป็นชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มกับชายวัยกลางคนผอมซูบ
ฝีพายแค่บอกว่าค่าเรือร้อยยี่สิบอีแปะ บนป้ายไม่กล่าวถึงเรื่องค่าเรือที่เหลือจี้หยวนรับผิดชอบทั้งหมด นี่เป็นเงื่อนไขที่จี้หยวนบอกล่วงหน้า
เห็นว่าเหล่าผู้โดยสารไม่ทักทายกัน จี้หยวนไม่ขยับตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ล้วนได้ยินเสียงของคนพวกนี้ ด้วยภูมิหลังสมัยนี้สตรีออกจากเรือนน้อยนัก
รอถึงเที่ยงวัน ฝีพายมาถามความเห็นจี้หยวนโดยเฉพาะ เมื่อได้รับการยินยอมจึงคลายเชือกออกเรือ คัดกรรเชียงใหญ่ตรงท้ายเรือล่องตามแม่น้ำราบรื่นไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ฝีพายเฒ่าแจวพลางร้องเพลงหาปลาดังกังวานด้วยเสียงหนักแน่นตามจังหวะการแจว ท่วงทำนองขึ้นลงมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
“เรือประมง… ยกพายขึ้น… คนหาปลา… สุขสำราญ…”
จี้หยวนซึ่งนั่งอ่านตำราอยู่ตรงหัวเรือมาตลอด ได้ยินเสียงเพลงแล้วเผยรอยยิ้ม หันหน้ามองไปท้ายเรือ ยามชายชราร้องเพลง สีสันกลิ่นอายอันพร่ามัวต่างจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย
จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวออกมาตามความรู้สึก
“กลิ่นอายมนุษย์ ราวกับลักษณ์สวรรค์ แปรเปลี่ยนนับหมื่นพัน!”