ตอนที่ 76 สองด้านกลายเป็นภาพ
“รอก่อนๆ ข้าจะพลิกปลา…”
บัณฑิตผู้หนึ่งเห็นด้านหนึ่งของปลานึ่งในจานถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว จึงรีบร้องว่าจะพลิกปลา ทว่าคำที่เขาใช้พูดทำให้พ่อลูกฝีพายไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
“พูดมั่วซั่ว! ตั้งปลาให้ตรง! ‘ตรง’ คุณชายบัณฑิตผู้นี้ คำที่ท่านพูดไม่เป็นมงคลกับคนที่หากินบนน้ำเอาเสียเลย!”
น้ำเสียงที่ฝีพายเฒ่าใช้อธิบายไม่พอใจอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายบัณฑิตเข้าใจความสำคัญทันที พลันกล่าวขออภัย
“โอ๊ยๆ ดูปากของข้าสิ ไม่กล่าวโทษชาวประมงๆ เป็นข้าไม่เข้าใจภาษาบนน้ำ ควรดื่มสุราลงโทษสักจอก!”
“ฮ่าๆ บัณฑิตท่านนี้อยากกระหายสุรากระมัง! ข้าจะคีบก้างปลาออก ไม่ต้องขยับมัน กินทั้งอย่างนี้แหละ”
ภายในตัวเรือคึกคัก เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเรื่อง แทรกด้วยเสียงหัวเราะกังวานใสดังเอิ้กอ้ากของเด็กชาย บางครั้งยังมีคนรีบกินปลามากเกินไปจนก้างติดคอ ย่อมมีฝีพายเฒ่าใช้ตะเกียบช่วย
สุราข้าวของครอบครัวชาวประมงฤทธิ์ไม่แรง รสชาติอร่อย กอปรกับเนื้อปลาคืนนี้เข้ากับสุราไม่น้อย อีกทั้งทุกคนพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก การกินอาหารมื้อนี้ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วจึงยังไม่จบสิ้น
“ท่านพ่อ ข้าจะไปฉี่!”
ทันใดนั้นฝีพายหนุ่มรู้สึกเกร็งใต้ท้องน้อย อยากไปปัสสาวะแล้ว
“ไปเถอะๆ อ้อมไปไกลหน่อย เข้าใจหรือไม่”
“อืม!”
ฝีพายหนุ่มตอบรับเสียงหนึ่ง วางตะเกียบและลุกขึ้นออกจากเรือ
แม้จะดื่มสุราข้าวไปไม่น้อย ทว่าเดิมทีมันมีฤทธิ์ไม่แรง รวมถึงชายหนุ่มทำงานเดินเรือและออกกำลังกายจนแข็งแรง ย่อมไม่ถึงกับเดินโซซัดโซเซ
เขายืนอยู่ข้างๆ ราวต้นพุดซ้อนอย่างมั่นคง ใกล้เคียงกับกาบเรือ หลังจากปลดผ้ารัดขอบกางเกงและผ่อนคลายร่างกายระลอกหนึ่งแล้ว สายน้ำเส้นหนึ่งก็ตกลงสู่แม่น้ำอย่างแรง
“ฮู่…”
เขาสบายตัวมากเมื่อระบายน้ำออกจนหมด ทว่าตอนที่กำลังผูกผ้ารัดขอบกางเกง ฝีพายหนุ่มพลันได้ยินเสียงละอองน้ำจากอีกด้านหนึ่งของเรือ ครั้นหันไปมองดูกลับเห็นเพียงระลอกคลื่นบนผิวน้ำตรงนั้น
ครืน…
เสียงน้ำดังมาอีกครั้ง คราวนี้อยู่ตรงหัวเรือ
ฝีพายเข้าไปใกล้หัวเรือและเขย่งเท้ามองไปด้วยความเครียดเกร็งอยู่บ้าง ยังคงมองเห็นเพียงริ้วน้ำ ในใจเริ่มขนลุกขึ้นมาแล้ว จึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในตัวเรือ
คนที่อยู่ข้างในยังคงกินดื่ม หลายคนเห็นฝีพายหนุ่มวิ่งกลับมาพร้อมสีหน้าทะแม่งๆ ก็ไม่เข้าใจ
“ท่านพ่อ…เหมือนจะมีเจ้าพ่อน้ำ…”
ฝีพายหนุ่มกดเสียงเบาพูดกับฝีพายเฒ่า บอกว่าเมื่อครู่ตอนที่ปัสสาวะรู้สึกว่าละอองน้ำใต้กาบเรือแปลกเกินไป คล้ายกับสถานการณ์บางอย่างที่เคยได้ยินจากเรื่องเล่าเป็นอย่างยิ่ง
ผีพายเฒ่าได้ยินเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง มองคนอื่นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ถือเพียงจอกสุราเดินออกจากตัวเรือไป
คนอื่นล้วนไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงชายชราที่พาหลานชายมาด้วยคล้ายกับนึกอะไรออก จึงรั้งหลานชายไว้ ไม่ให้เขาตามออกไปดูเรื่องรื่นเริง
โลกใบนี้มีจอมยุทธ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของยุทธภพตามหาโอกาสทะลวงด่านอีกครั้ง มีคนที่หมกมุ่นเที่ยวสอบถามหาชะตาจากสวรรค์ ทว่าคนที่ได้พบเทพและเซียนมีน้อยนัก เรื่องราวแปลกประหลาดและน่ากลัวกลับไม่นับว่าห่างไกลจากคนทั่วไปอย่างแท้จริง
บางคนถึงขนาดได้พบแล้วแต่ไม่รู้ตัว บางคนกลับรักษาความน่ากริ่งเกรงผ่านคำบอกเล่าชนิดปากต่อปาก และมีบางคนเสียชีวิตอย่างน่าพิศวงโดยที่ไม่มีใครรู้
พูดกันตามตรงก็คือแสวงหาความแตกต่าง ปีศาจและวิญญาณโลภในร่างกาย จิตวิญญาณ และพลังชีวิต โดยที่คนทั่วไปกลัวสุดขีด ขณะที่คนธรรมดาตามหาเทพเซียนก็ยังมีความเห็นแก่ตัวและความโลภ ทิศทางของการพัวพันจึงกลับตาลปัตร ถึงเป็นผู้ฝึกเซียนก็มีความปรารถนา ทว่าสำหรับผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกเสาะหาไม่คิดอยากข้องเกี่ยวแม้สักนิด
แม้จะเป็นกลุ่มของเทพหลักเมืองก็มีงานรัดตัวเสมอ ได้ฟังเรื่องราวสกปรก เรื่องราวของความโลภและเห็นแก่ตัวจากในศาลทุกเดือน ทุกปีไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่ รำคาญใจแทบตายอยู่แล้ว หากไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ไม่มีใครสนใจเจ้าทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในแง่ของเวลาระหว่างฝ่ายต่างๆ นั้นมากจนเกินไป อย่าเพิ่งพูดถึงผู้ฝึกเซียนและกลุ่มเทพ เพราะแม้แต่ปีศาจก็ฝึกตนมาแล้วหลายปี บวกกับข้อมูลถูกปิดกั้น ใต้หล้ากว้างใหญ่ ทว่าผู้ที่รู้จักใต้หล้ากลับน้อยนัก เมื่อเกิดเรื่องแล้วจึงแพร่กระจายไปไม่มาก ผู้ที่รู้เรื่องในภายหลังเสาะหาเบาะแสได้ยิ่งน้อยลง กลับกลายเป็นเรื่องเล่าที่บอกต่อๆ กันในหมู่ชาวบ้านแทน
ทางด้านแม่น้ำราบรื่นและแม่น้ำวสันต์ ผู้เดินเรือมานานปีล้วนเข้าใจและถึงขั้นได้พบเรื่องแปลกที่เกี่ยวข้องกับน้ำอยู่บ้าง ‘เจ้าพ่อน้ำ’ ที่ว่าจึงเป็นคำเรียกของพรายน้ำ
คนอื่นภายในเรือประทุนแม้ทีแรกจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็พอจะเข้าใจได้รางๆ แล้ว เห็นฝีพายเฒ่ายกสุราเดินไปถึงกาบเรือ แล้วยื่นมือเทสุราลงสู่ผิวแม่น้ำ
“เจ้าไม่ระรานข้า ข้าไม่ระรานเจ้า สุราหนึ่งจอกแทนความนอบน้อม เจ้าพ่อน้ำรีบถอยหนี!”
เมื่อเทสุราจอกหนึ่งหมดแล้ว เขาพึมพำอีกสองสามคำ ถึงตาเนื้อจะมองไม่เห็นอะไร แต่คล้ายกับมองเห็นคลื่นน้ำเคลื่อนไกลออกไป
“เอาล่ะ พวกเรากินข้าวต่อ ขอเพียงไม่ลงน้ำก็ไม่เป็นไร กลับไปแล้วทุกคนไปเคารพศาลเทพแม่น้ำก็ถือว่าใช้ได้”
แม้เรื่องเมื่อครู่นี้จะไม่มีใครเห็นอะไร แต่พอเข้าใจอะไรได้บ้างแล้วต่างก็ขนลุกขนพอง พากันกลับไปในตัวเรือ จะมีก็แต่จี้หยวนที่หรี่ตามองผิวแม่น้ำอยู่ตรงประทุน
บุรุษเช่นหลี่ต้าหนิวทั้งเลือดลมและไฟแห่งชีวิตล้วนเปี่ยมไปด้วยพลัง คาดว่าหากมีเจ้าพ่อน้ำจริงก็ลงไปว่ายน้ำได้ พรายน้ำทั่วไปไม่อาจทำอะไรเขาได้ ทว่าหากเขาว่ายน้ำไม่เป็น เจอพรายน้ำเช่นนั้นถึงมีคนช่วยได้ก็อาจจะจมน้ำตายอยู่ก้นแม่น้ำ
ทว่าจี้หยวนรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ใต้น้ำตอนนี้ไม่ใช่เจ้าพ่อน้ำแต่อย่างใด แต่เป็นปลาชิงฮื้อตัวใหญ่กระหายสุราต่างหาก
“ฮ่าๆ คนอื่นปลดทุกข์ที่กาบเรือ เจ้ายังมาขอสุราดื่มในเวลานี้หรือ”
จี้หยวนหัวเราะพลางพูดประโยคหนึ่ง บนผิวน้ำเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมอีกครั้ง ปลาชิงฮื้อใต้น้ำว่ายจากไปทันที
‘หากปีศาจน่ารักแบบนี้บ้างก็ดีน่ะสิ!’
…
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกแขกบนเรือตื่นขึ้นเพราะเรือโคลงเคลงบ้างเป็นครั้งคราว พบว่าฟ้าสว่างโร่แล้ว จี้หยวนนั่งนิ่งสงบอยู่ที่หัวเรือ ส่วนฝีพายเฒ่าตื่นมาเดินเรือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว รออีกสักพักค่อยกินข้าวเช้า จากนั้นให้บุตรชายรับช่วงต่อก่อนถึงจะไปงีบหลับ
ตอนนี้จี้หยวนไม่ได้ถือตำรา แต่คลำแท่งหยกขาวในแขนเสื้อ อันเป็นเศษบทความคุมเทพที่ชิวเฟิงมอบให้
วิชาคุมเทพที่ว่ามีความหมายสองชั้น ชั้นหนึ่งสำหรับตัวผู้ฝึกตน กดข่มจิตใจและช่วยในการฝึกตนได้ ส่วนอีกชั้นหนึ่งจี้หยวนเห็นว่าสุดยอดกว่า เรียกได้ว่า ’คุมเทพ’ อย่างแท้จริง
ชาติก่อนดูไซอิ๋ว ซุนหงอคงกล่าวว่า ‘เฒ่าเจ้าที่อยู่ที่ใด’ ก็จะมีเทพเจ้าที่ปรากฏกายทันที อีกชั้นหนึ่งของวิชาคุมเทพมีความหมายเช่นนี้แหละ
ทว่าเรื่องพรรค์นี้ยังคงเป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง คนที่มีฝีมือต้องใช้ตามสถานการณ์และโอกาสที่เกิดขึ้นจริง พูดง่ายๆ ก็คือหากตอนนี้จี้หยวนเองบรรลุวิชาคุมเทพจริง จากนั้นค่อยยืนอยู่บนเรือแล้วขอให้เทพแม่น้ำวสันต์มาพบ…
ได้ การรนหาที่ตายประสบความสำเร็จ คาดว่าร่างของเทพแม่น้ำจะไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด แต่กลับบันดาลโทสะฟาดคลื่นลูกใหญ่ใส่จี้หยวน
สถานการณ์ที่เหมาะสมให้ใช้วิชานี้อย่างแท้จริงคือสถานการณ์ไหน
อย่างเช่นภูเขาและแม่น้ำ หรือสถานที่สวยงามบางแห่งต่างก็มีความมหัศจรรย์บางอย่าง ผ่านพรสวรรค์หรือความพยายามในภายหลัง รวมกับชีพจรดินและชีพจรน้ำที่อาจจะมากหรือน้อย ความฝืนใจจึงตกเป็นของเทพที่ยังไม่ออกจากผนึก หรือสถานที่ที่ชาวบ้านในขอบเขตเล็กๆ กราบไหว้อย่างศาลขนาดเล็กของเทพเจ้าที่
“ท่านจี้…มากินโจ๊กเถอะ!”
ฝีพายหนุ่มร้องเรียกจากในตัวเรือ หยุดความคิดของจี้หยวนแล้ว
“มาแล้ว!”
หลังจากตอบรับเสียงหนึ่ง จี้หยวนลุกขึ้นยืนพลางปัดก้น แล้วเดินไปกินอาหารเช้า
โจ๊กขาวชามหนึ่ง กานาฉ่ายกำเล็กวางอยู่ด้านบน เมื่อยกชามและถือตะเกียบแล้ว จี้หยวนเดินไปข้างนอกตัวเรืออีกครั้ง ยืนอยู่ตรงนั้นลมสดชื่นช่วยลดอุณหภูมิของโจ๊กลงได้ ขณะเดียวกันก็เป่าผิวชามและใช้ตะเกียบพุ้ยโจ๊กกิน เรือโคลงเคลงเป็นบางครั้งทำให้ร่างกายส่ายไหว ทว่าเขายังยืนอย่างมั่นคง
ด้วยความช่วยเหลือจากลมตะวันออกเฉียงใต้ เรือลำเล็กที่จี้หยวนอยู่ค่อยๆ แซงประดับหอลำนั้นอย่างช้าๆ เนื่องจากตัวเรือมีน้ำหนักเบากว่า ขณะนี้เรือทั้งสองลำอยู่ห่างกันเพียงสิบกว่าจั้ง
บนประดับหอมีคนมองเรือเล็กลำนี้อยู่ไม่น้อย มองเห็นผู้โดยสารเรือหลายคนถือชามกินโจ๊กอยู่บนเรือเช่นกัน และคนที่อยู่ทางนี้ก็กำลังมองเรือใหญ่อยู่
คุณชายในชุดสีขาวผู้หนึ่งฟุบอยู่บนกาบเรือของเรือประดับหอ เหม่อมองเรือเล็กบนผิวแม่น้ำ มองเห็นคุณชายชุดสีเทาผู้นั้นยืนต้านลมมองมาทางนี้ หากไม่ได้ถือชามโจ๊กจะต้องเกิดเป็นภาพธรรมชาติอันกลมกลืนกันระหว่างเรือและแม่น้ำเป็นแน่