ตอนที่ 80 เหมาะสมหรือไม่ เหมาะสมมาก
พอริ้วคลื่นบนผิวแม่น้ำสงบลง ทุกคนในตระกูลเว่ยยังคงราวกับอยู่ในฝัน
ถึงแม้จะใกล้ถึงเดือนหก แต่เพราะก่อนหน้านี้เหงื่อเย็นๆ ซึมอาภรณ์ ทุกคนที่ต้องลมยามราตรีจึงรู้สึกหนาวสั่น
หลังจากเว่ยอู๋เว่ยตะโกนขอบคุณแม่น้ำเรียบร้อย ก็จ้องมองผิวแม่น้ำพลางตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“ผู้นำตระกูล…เป็นอะไรไป”
ลุงใหญ่ตระกูลเว่ยทำลายความเงียบเป็นอันดับแรก สอบถามสถานการณ์สุดท้ายเมื่อครู่นี้ ในที่สุดเว่ยอู๋เว่ยก็เงยหน้าขึ้น มองคนรอบข้างและยิ้มออกมา
“ต้องสำเร็จแน่ ทุกคนล้วนเป็นคนที่ตระกูลเว่ยไว้ใจ เรื่องคืนนี้หวังว่าทุกคนจะปิดปากเงียบ ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดที่สุดก็ไม่อาจพูดได้!”
คำพูดนี้หลักๆ พูดกับกำลังคนพวกนั้น ส่วนพ่อบ้านและสองพี่น้องรุ่นพ่อของเว่ยอู๋เว่ยย่อมเป็นคนของตนเอง
เมื่อพูดจบแล้วเว่ยอู๋เว่ยโบกมือแรงๆ ครั้งหนึ่ง
“ไป ไปที่ท่าเรือ ไม่เมาไม่เลิก!”
ช่วงเวลานี้ประตูเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยปิดแล้ว ท่าเรือใหญ่เป็นสถานที่คึกคักที่อยู่ข้างนอกเมือง วิถีชีวิตที่นั่นไม่ขาดคนทำมาหากินในน้ำ มีโรงสุรา ร้านอาหาร โรงเตี๊ยม และมีสถานพักม้าด้วยเช่นกัน ยิ่งมีเรือเก๋ง เรือดอกไม้ และเรือขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ชุมนุมของบุตรธิดาเศรษฐีชาวเรือ
ท่าเรือในเวลากลางคืนคึกคักยิ่งกว่าจังหวัดชุนฮุ่ยเสียอีก!
จนกระทั่งตระกูลเว่ยทั้งหมดหอบหิ้วความตื่นเต้นจากไปนานแล้ว จี้หยวนยังคงนอนอยู่บนต้นหลิวไกลออกไป ภายใต้ใบไม้หนึ่งบังตาเป็นเพียงร่มเงาใต้แสงจันทร์
ผิวแม่น้ำที่มีต้นหลิวขวางอยู่เหลือเพียงลมยามราตรีและกระแสน้ำพร้อมคลื่นบางเบา ไม่มีความเคลื่อนไหวจากเต่าเฒ่าเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เรือใหญ่บนแม่น้ำที่อยู่ไกลๆ ยังคงมีเสียงเพลงและเต้นรำดังมา
จี้หยวนเพียงคอยมองและคอยฟังตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่มองเห็นชัดเจนไม่ใช่แค่เต่าเฒ่าตัวนั้นและแสงวิญญาณหยกจากประดับของตระกูลเว่ย แต่เป็นทุกคำพูดของพวกเขาที่เข้าหูอย่างไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ
เต่าเฒ่าก็ไม่ได้ทำให้เว่ยอู๋เว่ยลำบากใจ เสียงถอนใจสุดท้ายยิ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ถ้าไม่ใช่เพราะจี้หยวนรู้เรื่องอยู่แล้ว ก็คงฮึกเหิมอยากช่วยเขาสักครั้งจริงๆ
แต่เรื่องที่เต่าเฒ่าขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝึกปราณแล้วแปดส่วน จี้หยวนไม่รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ชี้แนะอีกฝ่ายจริงๆ ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงไม่ได้เงยหน้ามองดวงจันทร์
เดิมทีเป็นการดูเรื่องสนุกฉากหนึ่ง แต่กลับทำให้จี้หยวนซาบซึ้งใจไม่น้อย
“เมื่อมองจันทร์เต็มดวง ภายในใจเศร้าหมอง เจ้าขอวาสนา เขาก็ขอวาสนา แล้วไหนเลยข้าจะไม่ขอ…”
เขาไม่คิดจะขยับก้น ทว่าตอนนี้ไม่เย็นแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของจี้หยวนในตอนนี้ต้านทานได้ จึงอยู่อย่างนี้จนกระทั่งแสงยามเช้าสว่างขึ้น ถือกาสุราเปล่าในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดทั้งคืน ทว่าเหมือนผ่านไปเพียงชั่วขณะที่ดีดนิ้ว
จนกระทั่งตื่นแล้วถึงเหยียดแขนบิดขี้เกียจ ส่ายไหวกาสุราตามจิตใต้สำนึก มองไปรอบๆ กลับไม่พบถังขยะ จึงหลุดหัวเราะเสียงแห้งอย่างอดไม่ได้
…
จังหวัดชุนฮุ่ย ร้านสวนดอกไม้ ร้านชื่อดังในมุมทางตะวันออกของตรอกโชยกลิ่น หลงจู๊คิดบัญชีอยู่หน้าโต๊ะตามปกติ
เสียงล้อรถกลิ้งและเสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังมาจากข้างนอก หลงจู๊เงยหน้ามองไป เป็นหวังซานเยี่ยที่มารับสุรานำรถเทียมวัวสองคันมาด้วยตัวเอง
หลงจู๊รีบวางบัญชีลงและออกมาจากข้างหลังโต๊ะ และออกจากร้านไปประสานมือต้อนรับ
“ซานเยี่ยสบายดีหรือไม่!”
หวังซานเยี่ยผู้นั้นมีชื่อเดิมว่าหวังจื่อจ้ง เป็นผู้อาวุโสตระกูลหวังที่มีเงินและอิทธิพลในจังหวัดชุนฮุ่ย และเป็นพี่น้องกับผู้นำตระกูลหวังคนปัจจุบัน มีความสำคัญในตระกูลเป็นลำดับที่สอง ทว่าเขาคอยดูแลอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหวังที่เมืองโจวจวงซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ กลับมาที่จังหวัดชุนฮุ่ยน้อยครั้งนัก
เมื่อได้ยินเสียงทักทายอย่างกระตือรือร้นของหลงจู๊ หวังซานเยี่ยก็ตอบรับเสียงใสเช่นกัน
“ฮ่าๆๆๆ คนแซ่หวังกินอิ่มนอนหลับ นึกถึงก็แต่วสันต์พันวันของร้านสวนดอกไม้ หลงจู๊จัวสบายดีกระมัง”
“ขอบคุณซานเยี่ยที่เป็นห่วง ข้ายังมีพลังเต็มเปี่ยม เตรียมวสันต์พันวันให้ท่านเรียบร้อยแล้ว รอแต่ซานเยี่ยมารับนี่แหละ!”
ทั้งสองเข้าไปในร้านสวนดอกไม้พร้อมรอยยิ้ม ไม่ต้องให้หลงจู๊สั่ง คนเฝ้าร้านก็เริ่มทำงานแล้ว แต่ละคนขนสุราดีออกจากโกดังไหแล้วไหเล่า กำลังคนของตระกูลหวังจากรถเทียมวัวสองคันก็ช่วยด้วย
“ซานเยี่ย ดื่มสักถ้วยเป็นอย่างไร”
“หลงจู๊จัวเกรงใจแล้ว ถ้วยหนึ่งจะไปพอได้อย่างไรเล่า!”
“ฮ่าๆๆ ดูความจำข้าสิ!”
หลงจู๊เดินกลับไปที่ตู้สินค้า หยิบถาดออกมาจากข้างในใบหนึ่ง บนนั้นวางไว้ด้วยถ้วยกระเบื้องประณีตและกาสุรา เขาวางมันลงบนโต๊ะตัวหนึ่งภายในร้าน จากนั้นเทสุราให้หวังซานเยี่ยด้วยตัวเอง
“เชิญซานเยี่ย!”
“ขอบคุณมาก!”
หวังจื่อจ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือโอกาสหยิบถ้วยมาดื่มจนเกลี้ยง ส่วนหลงจู๊จัวที่อยู่ข้างๆ จ้องมองถ้วยสุราที่เขาดื่มหมดแล้วอย่างละเอียด พบว่าบนั้นมีสุราเหลืออยู่ไม่น้อยเหมือนคนทั่วไป
หวังจื่อจ้งรู้สึกได้ถึงสายตาของหลงจู๊จัว จึงถามด้วยความสงสัย
“หลงจู๊จัว เจ้ามองอะไรหรือ”
“อ้อ ไม่มีอะไรๆ ซานเยี่ยดื่มสุราเถอะ!”
พอพูดจบแล้ว หลงจู๊รีบเทสุราอีก
ทำเช่นนี้อยู่สามครั้ง ทุกครั้งหลงจู๊ล้วนตั้งใจมองถ้วยสุรา มองจนหวังจื่อจ้งไม่สบอารมณ์ หากไม่ใช่เพราะรู้จักมักจี่กับหลงจู๊จัว อีกทั้งมีความมั่นใจในวรยุทธ์ของตัวเอง ก็คงสงสัยว่าตนเองถูกวางยาพิษหรือไม่ไปแล้ว
“หลงจู๊จัว เจ้าแปลกไปนะ เป็นอะไรไป”
ตอนนี้หลงจู๊จัวไม่บ่ายเบี่ยงแล้ว นั่งลงฝั่งตรงข้ามหวังจื่อจ้ง เทสุราให้อีกฝ่ายจนเต็มถ้วย จากนั้นเทให้ตัวเองเช่นกัน
“ซานเยี่ย วรยุทธ์ของท่านอยู่ในลำดับใดของยุทธภพ”
“เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม”
หวังจื่อจ้งรู้สึกแปลกๆ ทว่ายังคงตอบคำถาม
“หากจะพูดเรื่องนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าอยู่ในลำดับที่หนึ่ง ห่างจากกำเนิดฟ้าเพียงก้าวเดียว อีกสิบแปดปีอาจจะยังบรรลุไม่ได้!”
“อืม…เช่นนั้นจอมยุทธ์เช่นท่านมีมากน้อยเท่าไหร่ในยุทธภพ”
หวังจื่อจ้งดื่มสุราจนหมดอย่างลำพองใจ หลงจู๊จัวจึงรีบเทให้จนเต็มถ้วยอีก
“ซานเยี่ย อภัยที่ข้าเสียมารยาท ท่านดื่มสุราจนเกลี้ยงถ้วยโดยไม่เหลือสุราสักหยดได้หรือไม่”
“เรื่องนี้ไม่ยาก เจ้าคอยดูให้ดี!”
พอพูดประโยคนี้จบ มือหวังซานเยี่ยที่ถือถ้วยไว้ตรงหน้าอกสั่นอย่างแรง มือขวาคล้ายกับออกแระสะบัดสุราเข้าไปในปาก จากนั้นยกถ้วยสุราให้หลงจู๊จัวดู
ฝ่ายหลังเห็นก้นถ้วยสะอาดจริงๆ แต่คล้ายยังคงไม่ใช่สีกระเบื้องขาว จึงยื่นนิ้วไปสัมผัสครั้งหนึ่ง บนว่าบนปลายนิ้วยังคงเหลือสุราอยู่เล็กน้อย
หวังจื่อจ้งเห็นทุกการกระทำของหลงจู๊จัว จึงมุ่นคิ้วถาม
“นี่เกรงว่าจะใช้ไม่ได้กระมัง เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่ ต่อให้ออกแรงเขย่าสุราก็ยังมีเศษเหลือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันเบาหวิวปานนี้ ต่อให้เป็นผู้วิเศษระดับกำเนิดฟ้าที่หยิบสิ่งของจากระยะห่างสองฉื่อได้ ก็ทำให้น้ำที่ไร้รูปร่างเชื่อฟังปานนั้นไม่ได้เช่นกัน!”
ผู้พูดไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ฟังกลับคิด ‘ทำให้น้ำที่ไร้รูปร่างเชื่อฟัง’ ประโยคนี้ทำให้หลงจู๊จัวมือสั่น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ขอบคุณซานเยี่ยที่คลายข้อสงสัย”
หลังจากหลงจู๊จัวกล่าวขอบคุณ เขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
บางเวลา บางเรื่องก็บังเอิญปานนี้เชียว
“หลงจู๊ หากนำกาสุรามาซื้อสุรา คิดราคาถูกลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าดื่มวสันต์พันวันของพวกเจ้าแล้ว…ติดมันงอมแงมเชียว!”
เสียงเป็นธรรมชาติและราบเรียบของจี้หยวนดังขึ้นข้างนอกประตู หลงจู๊จัวรีบลุกขึ้นยืนทันใด ทำเอาหวังจื่อจ้งที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งตกใจไปด้วย
“มีสิๆ ไม่ใช่ คิดถูกได้ๆ!”
ถึงแม้จะแสร้งทำตัวเป็นปกติอย่างยิ่ง แต่ก็ซ่อนท่าทางตื่นเต้นไว้ไม่มิดโดยสิ้นเชิง หวังจื่อจ้งมองแล้วรู้สึกแปลกนัก ฝ่ายจี้หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ทว่าคิดปัญหาใดไม่ออกชั่วขณะ
หวังจื่อจ้องมองคนข้างนอกประตู หรือว่าจะเป็นเพราะคนผู้นี้พิเศษมาก
เมื่อเห็นจี้หยวนก็มองตนอยู่เช่นกัน หวังจื่อจ้งยกแขนขึ้นคารวะ ฝ่ายจี้หยวนจึงประสานมือคารวะกลับตามมารยาท
“ลูกค้า ท่านเชิญเข้ามาก่อน! นี่เป็นวสันต์พันวันที่หมักไว้ยี่สิบปี ท่านลองดูว่าเหมาะสมหรือไม่”
“นี่ๆๆ! ผู้แลจัว นี่ไม่เหมาะสมกระมัง เจ้าบอกว่าสุราหมักยี่สิบปีเหลือไม่มาก ไม่ขายแล้วไม่ใช่หรือ!”
หวังจื่อจ้งลุกขึ้นยืนอย่างมีน้ำโห เป่าหนวดถลึงตา ไม่สนใจดื่มสุราของตัวเองแล้ว