ตอนที่ 90 จั่วหลีทิ้งไว้ให้
รออยู่นานแล้ว รถม้าถึงค่อยเคลื่อนที่อีกครั้ง ทว่าความคิดของคนบนรถและพลขับทั้งหลายกลับยังอยู่ที่เรื่องมหัศจรรย์ก่อนหน้านี้
เนื่องจากหมอกจางลงแล้ว ตอนนี้ย่อมไม่ต้องจูงม้าเดินไปข้างหน้าอีก พลขับรถม้าล้วนกลับไปนั่งบังคับม้าที่หน้ารถแล้ว
เมื่อรถม้าวิ่งไปไกลแล้ว เงาดำบนต้นไม้ข้างทางเคลื่อนไหว จี้หยวนกระโดดลงจากต้นไม้อีกครั้ง
“จะทำหรือไม่ ทำแล้วมีประโยชน์เพียงใดกันแน่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคนแซ่จี้จะตัดสินได้แล้ว!”
เรื่องปลาชิงฮื้อ จี้หยวนประทับใจมาก และความประทับใจแบบนี้ก็ไม่เหมือนกับตอนเจ้าภูเขาลู่และจิ้งจอกแดง อีกทั้งไม่เหมือนกับตอนเต่าเฒ่าด้วย ยิ่งแตกต่างกับมังกรเจียวขาวเทพแม่น้ำเข้าไปใหญ่ เป็นความรู้สึกดีอันเกิดจากความคิดบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะภายหลังนักดื่มจอมตะกละว่ายน้ำมาถึงข้างเรือเพราะปรารถนาของดีอย่างสุราข้าว โดยไม่กลัวและไม่คิดประจบจี้หยวนเลยสักนิด สิ่งที่จี้หยวนมองเห็นในมุมมองของตัวเองคือ ‘ความบริสุทธิ์’ ที่หาได้ยากนัก
‘วันหน้าต้องได้พบกันอีกแน่!’
เมื่อคิดได้ดังนั้น จี้หยวนยิ้มขึ้น เดินหน้าไปพลาง หยิบขนมเปี๊ยะออกจากห่อผ้าไปพลาง เพราะปราณวิญญาณมันถึงได้ยังไม่เน่าเสีย จึงสวาปามได้อย่างสบายใจ
ทว่าเดินอยู่บนถนนหลวง พอมีโอกาสถามทางคนถึงถาม ครั้งนี้จี้หยวนไม่ได้สนใจความสะดวกเอาแต่เดินตรง อ้อมได้ก็อ้อม ตัวเองจะได้ไม่ต้องเจอกับลำน้ำในหุบเขาที่ไหนอีก
ถึงตอนนี้จี้หยวนยังไม่ใช่เซียนพเนจรในจินตนาการ แต่ก็มีความมั่นใจในฝีเท้าของตัวเองมากว่าไม่มีทางด้อยไปกว่าขี่ม้าอย่างแน่นอน ความอดทนและการฟื้นกำลังก็ยอดเยี่ยมมากกว่าม้าไม่น้อย เดินแบบนี้ใช้เวลาไปครึ่งเดือนถึงจะออกจากเขตรัฐจี และมีความเข้าใจต่อแผนที่ต้าเจินโดยรวมมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับเส้นทางของจี้หยวนและการเดินทางที่นับว่ามีกฎเกณฑ์ และแม้เขาจะรู้สึกว่าเร่งเดินทางอยู่ตลอด แต่ระหว่างทางก็ดูกายกรรม ดูละครลิง แวะงานเลี้ยงในหมู่บ้านเพื่อหาสุราท้องถิ่นดื่ม เสียเวลาไปบ้างอยู่เหมือนกัน
…
วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนหก อากาศร้อนมาก
ไม่ทันไรก็เข้าฤดูร้อนแล้ว ถึงช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในหนึ่งปี และในที่สุดจี้หยวนก็มาถึงเขาท้องเตี้ยที่หลุมศพของจั่วขัวถูตั้งอยู่แล้ว
จี้หยวนมองเห็นภูเขาลูกนั้นแล้วถึงเข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดชื่อของมันถึงแปลกปานนี้
เมื่อมองไปแล้วเห็นเพียงเขาท้องเตี้ยลูกนี้มีตัวภูเขาค่อนข้างราบเรียบและเตี้ยมาก คล้ายกับหน้าท้องของแม่ทัพที่นูนขึ้นมา มียอดเขาสูงตระหง่านน้อยมาก ชาวบ้านตั้งชื่อนี้ด้วยเหตุผลเรียบง่ายจริงๆ
“จั่วขวงถูผู้นี้จากโลกนี้ไปได้หลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่ามีใครทำความสะอาดหลุมศพบางหรือไม่ จะถูกขุดหรือทลายไปแล้วหรือไม่ก็ไม่รู้…”
จี้หยวนบ่นพึมพำ พร้อมกันนั้นหาสถานที่ใกล้กับถนนหลวงเพื่อขึ้นเขา เตรียมไปหาที่ตั้งของ ‘เส้นยอดเขา’ ซึ่งในเทียบเจตกระบี่นำทางไป
หาตั้งแต่เช้าจรดบ่าย สุดท้ายจี้หยวนพบแล้วว่าเส้นยอดเขาที่ว่าคืออะไร
เขามองไปยังหินสูงไม่ถึงครึ่งจั้ง กว้างไม่ถึงสองจั้ง และถูกหญ้ารกๆ ล้อมรอบไว้ตรงหน้า รู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง
ถูกเรียกว่ายอดเขาช่างเป็นการสะท้อนถึงนิสัยไม่ชัดเจนของจอมยุทธ์เจี่ยจริงๆ หากสืบสาวราวเรื่อง ทั้งเขาท้องเตี้ยแห่งนี้ สิ่งที่เรียกได้ว่ายอดเขาอย่างน้อยมีสิบกว่าแห่งแล้ว
จี้หยวนนั่งยองลง ใช้ร่มกระดาษน้ำมันของตัวเองเขี่ยหญ้ารกสูงเท่าไหล่ออก เผยให้เห็นป้ายหลุมศพลายพร้อยข้างหลังและสุสานดินที่ถล่มลงไปไม่น้อยแล้ว
ตัวหนังสือบนป้ายหลุมศพน่าจะใช้กระบี่สลักไว้ มองเห็นรอยคมกระบี่อยู่ข้างๆ อบ่างชัดเจน บนนั้นเขียนว่า ‘หลุมศพของบิดาตระกูลจั่วผู้ล่วงลับ บุตรอกตัญญูตระกูลจั่วเป็นผู้ตั้งหลุมศพ’
‘จั่วขวงถูไม่ได้ชื่อจั่วขวงถูจริงๆ บางทีหลายสิบปีที่ผ่านมา คนในยุทธภพที่รู้ชื่อจริงของเขาน่าจะมีไม่มาก’
เห็นข้างๆ หลุมศพมีหญ้ารกขึ้นอยู่ จี้หยวนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
“จอมยุทธ์จั่ว! เมื่อนึกถึงวิชายุทธ์ของเจ้าในตอนนั้น ในยุทธภพไม่มีใครเทียบเจ้าได้ สุดท้ายเจ้ากลับเป็นคนที่ไม่มีใครสักคนมากราบไหว้ในเทศกาลเชงเม้ง…”
ตระกูลจั่วน่าจะเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง หรือไม่จั่วหลีก็มีการฝากฝังเอาไว้ และเป็นไปได้ว่าจั่วหลีบอกให้ลูกหลานลืมหลุมศพนี้ไปเลย ถึงแม้จะรู้ว่าหลายสิบปียาวนานมากๆ สำหรับคนธรรมดา แต่อย่างไรเสียจั่วหลีก็เป็นคนที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุทธภพ จี้หยวนในตอนนี้จึงรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้
เมื่อประสานมือทำความเคารพหลุมศพของจั่วหลีแล้วสามครั้ง จี้หยวนค่อยกระโจนขึ้นไปบนหินข้างหลังหลุมศพ
บนหินขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยดินไม่น้อย เกิดหญ้ารกเต็มไปหมด จี้หยวนยกเท้าถีบฐานหินที่เปิดโล่งอย่างแรง
โครม…
เสียงดังสะท้อน จี้หยวนตั้งใจเงี่ยหูฟัง จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมา เขาเดินไปถึงใจกลางหินขนาดใหญ่ เขี่ยหญ้ารกออก ออกแรงขุดดินด้วยแผ่นหินเล็กๆ หลังจากขุดอยู่สิบกว่าครั้งก็เจอกับของแข็งบางอย่าง
เมื่อดึงก้อนหินที่ขวางอยู่ออก ข้างใต้ซ่อนไว้ด้วยกล่องไม้สีเหลืองเข้ม ด้านบนกล่องไม้มีสิ่งของกึ่งผุพังคล้ายด้ามกระบี่อยู่ด้วย
จี้หยวนมีสีหน้ายินดี ยื่นมือหยิบกล่องไม้หนักอึ้งออกมา คิดหยิบกระบี่ยาวขึ้นมาด้วย แต่ตอนที่จับด้ามกระบี่พบว่ามันผุไปหมดแล้ว แค่แตะโดนก็หล่นลงเอง ทำได้เพียงจับด้ามเหล็กที่ขึ้นสนิมเพียงเล็กน้อยขึ้นมา
กระบี่เงาพิสุทธิ์ที่เล่าลือกันไม่มีจุดขายของอาวุธเทพที่ควรจะมีเลยสักนิด ด้ามกระบี่ผุจนหลุดออก ฝักกระบี่ก็เสียหายไปหมดแล้ว บนตัวกระบี่มีรอยสนิมบ้างแล้วเหมือนกัน
หากเป็นจอมยุทธ์ทั่วไปอาจจะรู้สึกผิดหวังมาก แต่จี้หยวนกลับรู้ว่านี่ล้วนเป็นรูปลักษณ์ภายนอก กระบี่ยาวตรงหน้าประจักษ์ชัดในสายตา ถึงขนาดมีความรู้สึกปราดเปรียวไหลเวียนอยู่ในตัวกระบี่
จี้หยวนยื่นมือไปดีดตัวกระบี่ครั้งหนึ่ง
แต๊ง…
เสียงดังกังวานมาก ตัวกระบี่สั่นสะท้านทำให้เกิดริ้วคลื่นไร้รูปร่างกลางอากาศ
จี้หยวนกำลังยื่นมือลูบตัวกระบี่ไปจนถึงปลายอย่างเบามือ ปราณวิญญาณเจือจางไหลจากปลายนิ้วรวมกลุ่มเข้าสู่ตัวกระบี่ ก่อนที่เขาจะใช้เสียงราบเรียบถามกระบี่ยาวเบาๆ
“ยอมติดตามคนแซ่จี้ไปพบแสงอาทิตย์อีกครั้งหรือไม่”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด
หึ่ง…
ตัวกระบี่สั่นไหวเบาๆ ทำให้ฝุ่นที่เกาะอยู่บนนั้นหลุดออกไปไม่น้อย
“ดีๆๆ กระบี่ดี! มีจิตวิญญาณในตัวเองจริงๆ ด้วย!”
กระบี่เงาพิสุทธิ์เล่มนี้มอบความตื่นตาตื่นใจให้จี้หยวนอย่างยิ่งยวด ตำราวิชากระบี่ลับนั้นยิ่งต้องทำให้ตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้กระมัง
เมื่อมีความรู้สึกคาดหวังอันแรงกล้าเช่นนี้ จี้หยวนคุมความตื่นเต้นไม่อยู่อีก นั่งขัดสมาธิบนหินก้อนนั้น วางเงาพิสุทธิ์บนหัวเข่าในแนวนอน สองมือเปิดกล่องไม้ที่ทำจากต้นหนานมู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
ขอบกล่องปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งหนาๆ เมื่อเปิดออกแล้วข้างในกล่องมีกลิ่นของต้นหนานมู่อยู่เจือจาง ตำราวิชายุทธ์ลับเล่มนั้นนอนอยู่ก้นกล่อง
จี้หยวนหยิบขึ้นมามองครั้งหนึ่ง มันมีชื่อที่องอาจกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ตำรากระบี่จั่วหลี’ เขาข่มความอยากรู้ไว้ไม่ไหว รู้ดีว่าตัวเองสายตาไม่ดี แต่ก็ยังคงพลิกดูไปมา
ตอนที่เขียนตำราลับเล่มนี้น่าจะใช้กำลังกายและกำลังสมองของจั่วหลี ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดจึงมีเจตจำนงอยู่ในนั้น แม้จะไม่ได้ชัดเจนเท่าเทียบเจตกระบี่ แต่จี้หยวนมองเห็นตัวหนังสือส่วนใหญ่จากความเลือนรางจริงๆ
ทว่าความตื่นตาตื่นใจนี้ยิ่งมายิ่งจางลงเมื่อถลำลึกลงไปในการอ่านตำรา
ดึกดื่นค่อนคืน จี้หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินดังเดิม แต่ตำรากลับวางอยู่บนขาโดยไม่ยี่หระแล้ว
“นี่มันอะไรกัน ความลึกลับของการแปลงเจตจำนงเป็นรูปร่าง ได้เจตจำนงลืมรูปร่างอย่างเทียบเจตกระบี่เล่า ตำราลับเล่มนี้ต่อให้มหัศจรรย์แค่ไหนก็ไม่ต่างอะไรกับวิชากระบี่ที่ให้ฝึกกระบวนท่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในตำราลับทั่วไปกระมัง ต่อให้มหัศจรรย์แค่ไหนก็…หรือจะยังมีกลไกลลับข้างใต้ก้อนหินอีกอย่างนั้นหรือ”
จี้หยวนมองหลุมเล็กหลุมนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ ยื่นมือตบบนก้อนหินครั้งหนึ่ง
“ปัง…”
เพราะเป็นเวลากลางดึก เสียงที่ดังขึ้นในความเงียบสงัดจึงยิ่งชัดเจนกว่าเดิม เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ยังคงฟังไม่ออกว่ามีอะไรในก้อนหินนอกจากความว่างเปล่า จี้หยวนเข้าใจแล้วว่าฝ่ามือนี้ก็เป็นแค่การหลอกตัวเองและคนอื่นเท่านั้น
หลังจากนั้นนานทีเดียว ความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยค่อยๆ หดหาย
“ฮ่าๆ ได้เลยเทียบเจตกระบี่ มีกระบี่ยาวเงาพิสุทธิ์แล้ว ยังมีอะไรไม่น่าพอใจอีก จอมยุทธิ์จั่วดีกับข้าคนแซ่จี้มากพอแล้ว!”
พอเก็บตำราลับเข้าห่อผ้า ยกกระบี่ยาวและประคองหีบไม้หนานมู่ขึ้น จี้หยวนถึงค่อยกระโดดลงจากหินก้อนใหญ่อย่างแผ่วเบา
มองดูสภาพกระบี่ยาวไร้ด้าม จี้หยวนเกิดความคิดหนึ่งในใจ จึงดึงเถาวัลย์ความหนาพอเหมาะจากข้างๆ มาท่อนหนึ่ง พันมันที่ปลายกระบี่ ปราณวิญญาณไหลลง พลังถูกกระตุ้น มีหมอกตลบอบอวลอยู่รางๆ เถาวัลย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มขึ้น กลายเป็นด้ามกระบี่สีเขียวมรกตที่พิเศษด้ามหนึ่ง
“ถึงจะมีจิตวิญญาณ แต่กลับถูกปิดกั้นด้วยทองและเหล็ก กระบี่ยาวเถาวัลย์หยั่งรากลึกนี้จะเติมเต็มปราณของเจ้า ต่อไปจะกลายเป็นด้ามกระบี่ของเจ้า และหลายเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า ข้าจะใช้ปราณวิญญาณช่วยเลี้ยงดูเจ้าเรื่อยๆ เหมือนกัน”
เมื่อพูดจบแล้ว จี้หยวนปักกระบี่ลงตรงหน้าหลุมศพของจั่วหลี เดิมคิดจะถอนหญ้าสักหน่อย ทว่ายืนมองอยู่ข้างๆ หลุมศพแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีทีเดียว
เขาเพียงวางขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งไว้และขากระต่ายหมักซีอิ๊วที่ยังไม่ได้กินลงตรงหน้าหลุมศพ จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไปไกล
“จอมยุทธ์จั่วค่อยๆ กินเถอะ!”
แม้จะรู้ว่าในหลุมศพไม่มีวิญญาณใด แต่คำพูดก่อนไปของจี้หยวนยังคงดังสะท้อนอยู่ตรงนั้น
กล่องไม้หนานมู่ใบนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้าง ส่วนตำราลับเล่มนี้มอบให้คนรุ่นหลังของตระกูลจั่วแล้วกัน…ถ้าหากมีคนรุ่นหลังนะ