เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 94 ไฟแท้และบัญชา

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 94 ไฟแท้และบัญชา

กลางดึกคืนนั้น เทพเจ้าที่กลับไปฝึกวิชาในศาลของตัวเองตั้งนานแล้ว ส่วนจี้หยวนกลับไปยังเรือนพักแขกในลานบ้านของจ้าวตงเลี่ยง

ทว่าจี้หยวนไม่ได้หลับไปในทันที เพียงนั่งอยู่หน้าโต๊ะภายในเรือนเงียบๆ บนโต๊ะวางไว้ด้วยกระบี่เครือเขียว สองตาปิดลงเล็กน้อย ความคิดอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น มองเตาโอสถยักษ์ในเขตแดน

บนตัวเตาโอสถเขตแดนปรากฏทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดิน รวมห้าสี เกิดการเปลี่ยนแปลงกึ่งลวงกึ่งจริง ใจกลางเตาโอสถยิ่งกลายเป็นปราณหยินหยางอีกครั้ง ผสมผสานกับเพลิงดั้งเดิมในเตาแล้วค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว สีแดงเพลิงที่ส่องออกมาเจิดจ้าจนแสดงความรู้สึกเก็บงำที่น่าแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ท่ามกลางความร้อนรุนแรงที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแทรกการเปลี่ยนแปลงจากสีเทาเป็นสีน้ำตาล และกลายเป็นหยินหยาง

เพลิงดั้งเดิมกลางเตาโอสถเขตแดนปรากฏไฟเจตเทพที่บรรยายไว้ในกลยุทธ์เจิดจรัส สองปราณขาวดำกลายเป็นไฟหยินและไฟหยาง ทั้งสามรวมกันเป็นพลังไฟที่ไร้ขีดจำกัด

นี่เป็นความรู้สึกที่จี้หยวนได้รับโดยตรง ถึงขนาดรู้สึกได้ว่าเพลิงเตาโอสถเขตแดน ไฟของอาณาจักร ‘เสมือน’ นี้มีสะพานจริงๆ เส้นหนึ่งแล้ว

ได้รับอิทธิพลจากความทรงจำเมื่อชาติก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จี้หยวนตื่นเต้นอยู่บ้าง แม้กระทั่งกำลังคิดว่าเป็น ‘เพลิงสมาธิ’ ในตำนานหรือไม่

กระนั้น ถึงชาติที่แล้วจะไม่มีการสืบค้นว่าเพลิงสมาธิคืออะไร แต่ชาตินี้กลับเคยอ่านบทบรรยายเพลิงมืดซึ่งคล้ายคลึงกันจากกลยุทธ์เจิดจรัส อธิบายไว้ว่าเป็นไฟทั้งสี่ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ บนคือไฟในใจ กลางคือไฟในไต ล่างคือไฟที่จุดชี่ไห่ สุดท้ายก็คือไฟในจิตวิญญาณ ซึ่งก็คือเพลิงในเตานั่นเอง

แม้กลยุทธ์เจิดจรัสจะมีบทบรรยายเพลิงมืด แต่กลับไม่ได้พูดถึงเพลิงสมาธิเลย เพลิงมืดทั้งสี่ก็แบ่งแยกไว้เช่นกัน และคำว่า ‘เพลิง’ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเกี่ยวพันถึงเพลิงเตาโอสถของคนที่ฝึกเซียนทุกคน มีชื่อเรียกว่า ‘เพลิง’ ส่วนเพลิงอื่นที่รู้จักมีน้อยมาก

“แต่ในสถานการณ์ของข้า เรียกว่าเป็นเพลิงสมาธิก็สมเหตุสมผลกระมัง!”

จี้หยวนพึมพำกับตัวเองด้วยความลำพองใจอยู่บ้าง ‘มืด’ ในที่นี่หมายถึงลี้ลับเลือนราง ‘เพลิงหยิน’ และ ‘เพลิงหยาง’ ที่แปลงจากสีดำขาวก็เป็นสองมืดที่จี้หยวนให้คำนิยามไว้

ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่มี ส่วนเขามีแล้วตั้งชื่อตามลักษณะของไฟคงไม่เกินไปกระมัง เอาล่ะ คิดแบบนี้อาจจะทึกทักเอาเองอยู่บ้าง เช่นนั้นเปลี่ยนวิธีคิดหน่อย ผู้ฝึกเซียนแปดหรือเก้าส่วนจะต้องไม่มีอย่างแน่นอน

จากนั้นเป็นผลกระทบที่ ‘บัญชา’ ทิ้งเอาไว้ ในเขตแดนมีเสียงสะท้อนกลับเบาๆ ของจี้หยวนเองอยู่เลือนราง ราวกับกำลังเตือนจี้หยวนว่าคำนี้ยังคงอยู่

ทุกครั้งที่เสียงตัวอักษรชัดเจน จี้หยวนก็มองเห็นปราณสีเหลืองเข้มบางเบาชั้นหนึ่งวนเวียนอยู่นอกเตาโอสถเขตแดน

“หรือว่าปราณสีเหลืองเข้มจะเป็นบุญกุศลจริงๆ!”

จี้หยวนเข้าใจแล้ว ตัวอักษรนั้นก็เหมือนกับเป็นจังหวะสำคัญของตัวเองในคืนนี้ ถึงขนาดได้ยินเสียงสนับสนุน พอเข้าใจหลักการภายในได้บ้าง หากอยากแน่ใจ ตรงหน้าก็มีโอกาสอันเหมาะสมให้ได้ลองดู

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้หยวนลืมตาทั้งสองข้าง มองตรงไปยังกระบี่ล้ำค่าที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะตั้งนิ้วดุจกระบี่และทิ่มลงที่ปลายกระบี่

ราวกับว่าความคิดขับเคลื่อนตามหัวใจ นิ้วดุจกระบี่ของจี้หยวนลูบบนกระบี่เครือเขียวในวินาทีนี้ มีปราณสีเขียวขจีแวบผ่านมาสายแล้วสายเล่า และมีหยินหยางสองสีหมุนวน ยิ่งมีปราณสีเหลืองเข้มกลุ่มเล็กทะลักออกจากเตาโอสถเขตแดนรวมอยู่ที่ปลายนิ้ว

“บัญชากลายเป็นจิตวิญญาณ!”

เสียงคำสั่งแผ่วเบาเพิ่งหยุดลง

หึ่ง…

สนิมบตัวกระบี่จางหายไปในวินาทีนั้น กระบี่ยาวสามฉื่อลอยอยู่เหนือโต๊ะสองชุ่น ตัวกระบี่ส่งเสียงร้องเบาๆ มีแสงเยือกเย็นหมุนเวียนไม่หยุด

จิตวิญญาณที่กระบี่เครือเขียวหล่อเลี้ยงกลายเป็นวิญญาณกระบี่ สมควรพูดว่าเป็น ‘กระบี่เซียน’ แม้ตอนนี้สมองของจี้หยวนจะมึนงงเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้าปรากฏความปีติที่ปิดบังไว้ไม่อยู่

แม้ความแตกต่างจะมากโขอย่างแน่นอน แต่ความรู้สึกนี้ค่อนข้างมีกลิ่นอายของราชโองการแต่งตั้ง อย่างน้อยตอนที่จี้หยวนเคลิบเคลิ้มก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะคิดเช่นนั้น

“ติ๋ง…” เสียงนี้ดึงดูดให้จี้หยวนก้มหน้ามอง พบว่าบนโต๊ะมีเลือดหยดหนึ่ง จากนั้นค่อยรู้สึกคันตาและจมูกเล็กน้อย

นี่มันอะไรกัน

จี้หยวนยื่นมือไปคลำปลายจมูกและหางตาบนใบหน้าครั้งหนึ่ง มีเลือดไหลออกมาจริงๆ ด้วย โชคดีที่แค่ไม่กี่หยดเท่านั้น ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว

‘ดูท่าบัญชานี้ใช้มั่วซั่วไม่ได้จริงๆ แต่ครั้งนี้ไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน!’

จี้หยวนโบกมือ เลือดหลายหยดผสมกับน้ำมันตะเกียงบนโต๊ะตามแรงดึง เขาลูบกระบี่เครือเขียวอย่างใจจดใจจ่อเหมือนกับเด็กตัวโตที่ได้รับของเล่น ทำให้กระบี่บินจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งและสั่นสะเทือนส่งเสียงเป็นครั้งคราว ภาพของหยินและหยางปรากฏขึ้นรางๆ ยิ่งดึงปราณวิญญาณบางเบาด้วยตัวมันเอง

ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป สิ่งของที่คนฝึกเซียนหรือ ‘เซียน’ ใช้ล้วนเป็น ‘อาวุธเซียน’ แต่ในสายตาของผู้กึ่งฝึกเซียนอย่างจี้หยวนนั้น เหมือนกับที่กลยุทธ์เจิดจรัสว่าไว้ คำว่า ‘เซียน’ ไหนเลยจะมีน้ำหนักน้อยถึงเพียงนั้น แต่ถึงแม้วัสดุของกระบี่เครือเขียวจะเป็นเหล็กธรรมดา จี้หยวนกลับกล้าเรียกมันว่ากระบี่เซียน

“หึๆ คืนนี้เป็นโอกาสของข้าแล้วจริงๆ!”

ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยที่ไม่จางหายไป จี้หยวนหลับสนิทบนเตียง ขณะที่กระบี่เครือเขียววางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ลอยหรือสั่น ราวกับนอกจากไม่มีร่องรอยของสนิมแล้ว มันก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่แตกต่างกันเลยสักนิด

เช้าวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางเสียงไก่ขั้น บ้านตระกูลจ้าวเงียบเชียบเหมือนเคย กลิ่นอายของงานมงคลยังคงเข้มข้น

วันนี้จี้หยวนตื่นสายเล็กน้อย ตอนตื่นขึ้นมามีเสียงชาวบ้านข้างนอกทำงานกันไม่น้อยแล้ว

“เอี๊ยด…” เสียงเปิดประตูดังขึ้น จ้าวตงเลี่ยงเหมือนกับรอคอยอยู่ตลอด รีบส่งเสียงทักทายขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้! บ้านข้าต้มโจ๊กขาว ยังร้อนๆ อยู่เลย!”

“ดียิ่ง ขอบคุณมาก น้องจ้าวไม่ไปช่วยงานในที่นาหรือ”

“ฮ่าๆ ข้าถอนหญ้าและกลับมาแล้ว”

จ้าวตงเลี่ยงพูดแล้วก็หาชามขนาดใหญ่ จากนั้นไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยตักโจ๊กให้จี้หยวน เมื่อคีบผักดองเค็มวางไว้ด้านบนเล็กน้อยแล้วถึงยกกออกมาให้อีกฝ่าย

จี้หยวนไม่เกรงใจเช่นกัน ยกชามโจ๊กขึ้นกิน แม้จะตื่นสายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อากาศร้อน โจ๊กยังคงมีควันฉุยทว่าไม่ลวกปาก รสชาติพอดี

จากนั้นจี้หยวนรู้สึกว่าต่อให้เป็นเขา แต่ถูกจ้าวตงเลี่ยงจ้องตอนกินโจ๊กก็อึดอัดเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กข้างหลัง

“น้องจ้าว เจ้ารู้เรื่องเทพเจ้าที่ของตระกูลเจ้าหรือไม่”

จ้าวตงเลี่ยงตาเป็นประกาย ในที่สุดก็มีเรื่องคุยตีสนิทท่านจี้ได้แล้ว

“เรื่องนี้ข้ารู้ ข้าเคยได้ยินผู้เฒ่าในบ้านเล่าตอนยังเด็ก บอกว่าเทพเจ้าที่บ้านตระกูลจ้าวเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพ มีนามว่าอะไรข้าไม่กล้าเอ่ยถึง สรุปว่าเป็นบรรพบุรุษของตระกูลก็แล้วกัน ตอนนั้นบรรพบุรุษมีชีวิตจนอายุหนึ่งร้อยปีเต็ม เป็นผู้เฒ่าดาวอายุยืนผู้มีชื่อเสียง แม้แต่นายอำเภอก็เคยมาเยี่ยมเยียน ตอนนี้ศาลบรรพบุรุษในบ้านยังมีป้ายชื่ออยู่เลย จากนั้นคนรุ่นก่อนก็เกิดความคิดกราบไหว้ ไปๆ มาๆ ก็กราบไหว้เป็นเทพเจ้าที่ไปเสียแล้ว”

“อืม ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจอะไร แต่กลับเรียบง่ายและสมเหตุสมผล

แม้ศาลเทพเจ้าที่จะอยู่ไม่ไกล ทว่าจี้หยวนกลับไม่มีความคิดหลบเลี่ยงแต่อย่างใด นี่ก็ไม่ใช่คำพูดว่าร้ายด้วย

คุยกับจ้าวตงเลี่ยงได้พักหนึ่ง จี้หยวนนับว่าพึงพอใจกับความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อโลกภายนอกของจ้าวตงเลี่ยง ชาวบ้านเช่นเขาหากไม่มีเรื่องพลิกผัน ชีวิตนี้คงจะต้องแต่งภรรยาและให้กำเนิดลูกที่บ้านตระกูลจ้าวอย่างแน่นอน ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร

พอกินโจ๊กและดื่มน้ำแล้ว จี้หยวนบอกลาคนตระกูลจ้าว จ้าวตงเลี่ยงอาสาช่วยจี้หยวนถือร่มและสัมภาระไปจนถึงหน้าหมู่บ้านด้วยความกระตือรือร้น กระทั่งตอนนี้ถึงพบว่ากล่องไม้ที่ท่านจี้ถือไว้อย่างสบายๆ มีน้ำหนักมากปานนี้

ความจริงจี้หยวนอยากมอบอะไรบางอย่างให้จ้าวตงเลี่ยงก่อนจากไปเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีอะไรเหมาะสมมอบให้เขาเลย มอบเงินให้ออกจะธรรมดาเกินไป และมอบให้มากหรือน้อยล้วนมีความหมายแตกต่างกัน มอบตำราวรยุทธ์ลับให้ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นภายหลังก็เป็นได้

สุดท้ายทำได้แค่หยุดฝีเท้าตอนบอกลาและเดินมาได้ช่วงหนึ่ง ก่อนจะประสานมือไปทางศาลเล็กๆ หน้าหมู่บ้านเล็กน้อย

“รบกวนท่านเทพเจ้าที่ช่วยดูแลด้วย!”

จ้าวตงเลี่ยงเห็นจี้หยวนจากไปแล้วพลันกลับหลังหันมาคารวะให้ทางหน้าหมู่บ้าน ในปากคล้ายพึมพำอะไร ยังคิดว่าเขาพูดกับตัวเอง จึงรีบคารวะกลับไปอย่างไม่ค่อยจะถูกหลักนัก

แต่รู้สึกว่าทิศทางของท่านจี้ไม่ถูกต้อง เขาหันหน้ามองไปตามสัญชาตญาณ เห็นทางศาลเทพเจ้าที่มีชายชราคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ตัวเอง กระนั้นเขาขยี้ตามองดูให้ดีอีกครั้ง พบว่าศาลยังคงเป็นศาล ทว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

“ไอ้หยา ท่านแม่ช่วยข้าด้วย กลางวันแสกๆ…!”

ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จ้าวตงเลี่ยงถึงรีบกลับบ้านไป

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท