ตอนที่ 95 ได้รับชะตาที่อับโชค
หลังจากนั้นสิบหกวัน นอกจังหวัดจวินเทียนแห่งรัฐอี๋ ชายในชุดคลุมสีเขียวปล่อยผมสยายเดินไปข้างหน้า ซึ่งก็คือคนแซ่จี้ที่พเนจรมาตลอดทางนั่นเอง
ทีแรกจี้หยวนออกจากอำเภอหนิงอันนำเสื้อตัวในจำนวนหนึ่งและเสื้อคลุมมาด้วยสองชุด ชุดสีเทาที่สวมเมื่อสองวันก่อนเกิดรอยขาดใต้รักแร้ ช่วงนี้เขาจึงสวมชุดสีเขียวนี้ตลอด
สองชุดนี้ทำให้จี้หยวนรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง เหมือนกับเสื้อกล้ามตัวหนึ่งของจี้หยวนเมื่อชาติก่อน แม้จะเก่ามากๆ และสวมมาหลายปีแล้ว ยิ่งไม่ใช่สินค้าที่มีค่าราคาแพงอะไร แต่สวมแล้วรู้สึกสบายตัว เขาชอบสวมมันเมื่ออยู่ในบ้าน ไม่เคยคิดโยนทิ้งเลย
เช่นเดียวกัน เสื้อสีเทาชุดนั้นจี้หยวนไม่คิดจะทิ้งโดยสิ้นเชิง คนแซ่จี้ยังคิดซื้อกล่องเข็มและด้าย ดูว่าจะซ่อมด้วยตัวเอง เย็บรูขาดใต้รักแร้ได้บ้างหรือไม่
จี้หยวนในตอนนี้แบกห่อผ้าสีเทาอยู่บนหลัง อีกทั้งถือร่มกระดาษน้ำมัน ส่วนกระบี่เครือเขียวก็อยู่บนหลังเช่นกัน เดินไปอย่างสบายๆ ก่อนหน้านี้เขาขายกล่องไม้ในอำเภอเป็นเงินสามร้อยอีแปะ ไม้หนานมู่เนื้อทองที่ล้ำค่าในชาติก่อน ชาตินี้ก็เป็นวัสดุชั้นดีในการทำโต๊ะอ่านหนังสือเช่นกัน ทว่าขนาดของกล่องไม้เล็กเกินไปจึงขายไม่ค่อยได้ราคา
เข้าใกล้จังหวัดจวินเทียนที่อยู่ข้างหน้าขึ้นเรื่อยๆ คนบนถนนหลวงย่อมมากขึ้นเช่นกัน นอกจากรถเทียมม้าเทียมวัวแล้ว คนเดินเท้าตามลำพังเช่นจี้หยวนก็ไม่น้อยเหมือนกัน
เป็นถึงจังหวัดจวินเทียน หนึ่งในสิบสองจังหวัดของรัฐอี๋ แต่ความจริงแล้วไม่มีความโดเด่นอะไร เรียกได้ว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ เทียบกับจังหวันชุนฮุ่ยที่ขึ้นชื่อในรัฐจีแล้วไม่ต่างกันมาก ต่อให้เคยมีจั่วขวงถูผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทภพเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว
เทียบกับชาติก่อนของจี้หยวน นี่เป็นโลกที่ถูกลืมเลือนได้ง่ายยิ่งกว่า การสืบต่อและเผยแพร่ข้อมูลมีข้อจำกัดในการคงอยู่ จนทำให้ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพเมื่อหลายสิบปีก่อนหายไป
ตามการเสื่อมโทรมของตระกูลจั่ว ชายหนุ่มในยุทธภพปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ไม่รู้แล้วว่าเคยมียอดฝีมือที่บ้าระห่ำจนกระทั่งได้ชื่อว่าเซียนกระบี่ ยิ่งมีคนขุด ‘ป้ายหลุมศพ’ ขึ้นมาเปิดเผยอดีตน้อยกว่า อาจจะมีแค่นักเล่าเรื่องจำนวนน้อยนิดที่ยังจดจำเรื่องเก่าเป็นตำนานเหล่านั้นได้
ยิ่งเข้าใกล้กำแพงเมือง เสียงจอแจในเมืองกระทบโสตประสาทของจี้หยวนครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพลิงสมาธิ หรือเพราะเพลิงกลั่นกรองแล้ววิชาแก่กล้าขึ้นหลายส่วน หลายวันมานี้จี้หยวนคิดเองเออเองว่าสายตาดีขึ้นเรื่อยๆ พยายามคิดอาศัยการมองดูว่ามีตรงไหนพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่มัวซัวไปหมด
“ชุยปิ่ง[1] ขายชุยปิ่งจ้า…ชุยปิ่งเพิ่งออกจากเตา…ชิ้นละหนึ่งอีแปะจ้า…”
เพิ่งเข้าไปในเมือง มีคนหาบเร่เดินมาจากประตูเมือง เสียงร้องเรียกดึงดูดให้เขามองไปทางพ่อค้า มองเห็นรางๆ ว่าอีกฝ่ายรูปร่างไม่เตี้ย
เพียงเห็นโดยบังเอิญว่าปราณของคนผู้นี้แม้ไม่แปลก ทว่าพิเศษอยู่บ้าง จึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าหลายก้าว
“พี่ชายท่านนี้ ข้าขอชุยปิ่งสองชิ้น!”
“ได้เลย!”
คนหาบเร่พอได้ยินว่ามีการค้าขาย ก็รีบวางหาบลงรอจี้หยวนเข้ามา จากนั้นเปิดฝากล่องที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ควันร้อนๆ สายหนึ่งพุ่งออกมา ให้ความรู้สึกของหมั่นโถวในซึ้งนึ่งเป็นอย่างยิ่ง
“นี่ ท่านผู้นี้ ดูเหมือนท่านมาจากนอกเมือง ชุยปิ่งและขนมเปี๊ยะนึ่งของข้าล้วนขึ้นชื่อ อร่อยมาก”
จี้หยวนได้กลิ่นหอมของขนมเปี๊ยะ พยักหน้าพลางรับของแล้วก็จ่ายเงิน จากนั้นชิมดูคำหนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วบอกพ่อค้าว่า “อร่อย”
ฝ่ายหลังยิ้ม ยกหาบเร่ขึ้นเดินหน้าต่อ เดินไปพลาง ตะโกนขายของไปพลาง
แต่จี้หยวนกลับกินขนมเปี๊ยะพร้อมกับตามไป กินไปด้วย เดินไปพร้อมๆ กับเขาด้วย ทำให้พ่อค้าหาบเร่ที่เดินอยู่ข้างหน้าอึดอัดใจแล้ว
“ท่าน เหตุใดท่านตามข้ามาเล่า”
“โอ้ ข้าเพิ่งเคยมาจังหวัดจวินเทียน รู้สึกว่าไม่อยากไปที่ใด ก็เลยเดินตามท่านเรื่อยๆ ท่านหาบเร่ทั้งวันเดินไกลเท่าไหร่หรือ”
ปฏิกิริยาของจี้หยวนทำให้พ่อค้าขนมเปี๊ยะรู้สึกสนใจ ด้วยไม่เคยเจอลูกค้าแบบนี้มาก่อน
“ข้าหาบแร่ตอนกลางวัน ตอนเย็นขายขนมเปี๊ยะอีกรอบหนึ่ง ตอนขายดีเดินไปได้ครึ่งถนนก็ขายหมดแล้ว หากวันไหนขายไม่ดี เดินเกือบครึ่งเมืองแล้วก็ยังขายไม่ได้เท่าไหร่”
“อืม พี่ชายฝีเท้ายอดเยี่ยมนัก!”
“ฮ่าๆ คนทำมาหากินนี่นะ! ขายชุยปิ่งจ้า…เพิ่งออกจากเตาเลย…”
พ่อค้าคุยกับจี้หยวนสองคำก็พลันตะโกนขึ้นมา ไม่นานนักจี้หยวนกินชุยปิ่งสองชิ้นหมดแล้ว จึงควักเงินสองอีแปะออกมาคิดซื้ออีก
“พี่ชาย ขออีกสองชิ้น!”
“นี่ หรือว่าท่านชอบกินของร้อนๆ ก็เลยตามข้ามา”
“ฮ่าๆๆ ตามนั้นแหละ!”
…
จี้หยวนคุยกับพ่อค้า ถามเรื่องของตระกูลจั่ว และเลียบๆ เคียงๆ ถามสถานการณ์ที่บ้านของพ่อค้าด้วย
หลังจากนั้นสองเค่อ พ่อค้าลนลานอยู่บ้าง ท่านที่อยู่ข้างๆ ยังตามเขาอยู่เลย อีกทั้งกินชุยปิ่งไปอย่างน้อยสิบกว่าชิ้นแล้ว
ปริมาณการกินนี้ไม่อาจนับว่ามากเกินไป ทว่าผ่านไปอีกสักพักซื้อเพิ่มสองชิ้นไปเรื่อยๆ เดินไปพลาง ชวนเขาคุยไปพลางตลอดเวลาเช่นนี้แอบน่ากลัวเหมือนกัน
“ท่าน…นี่เป็นชุยปิ่งสองชิ้นสุดท้ายของข้าแล้ว ข้าให้ท่านดีหรือไม่”
หน้าร้านขายเครื่องเขียนตรงหัวมุม พ่อค้าหาบเร่เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจี้หยวนกินหมดแล้วจะยังตามเขาอีก
ราวกับกำลังรอประโยคนี้ จี้หยวนพลันยิ้ม
“ฮ่าๆ…เช่นนั้นก็ดีนัก แต่นี่ไม่เท่ากับเอาเปรียบพี่ชายหรือ เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าเขียนตัวหนังสือให้ท่านสักสองสามตัวเป็นอย่างไร”
“เอ๋?”
“แต่ต้องเก็บชุยปิ่งไว้ให้ข้า ต้องรักษาคำพูดและรอข้านะ!”
“อืม…ตกลง!”
พ่อค้ายังคงงุนงง จี้หยวนกลับไม่ได้รับชุยปิ่งและเข้าไปในร้านข้างๆ เถ้าแก่ร้านกำลังพลิกตำราอ่านบทความ ครั้นเห็นจี้หยวนเข้ามาก็กล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ลูกค้าสนใจซื้ออะไร พวกข้ามีแท่นฝนหมึกและพู่กันที่ทำด้วยขนหมาใน น้ำหมึกหอมและที่ทับกระดาษอันเลื่องชื่อ…”
“อืม เถ้าแก่ กระดาษเซวียนจื่อแผ่นละเท่าไหร่หรือ”
เถ้าแก่ตะลึงไปเล็กน้อย
“ลูกค้าจะซื้อแผ่นเดียวหรือ”
“ใช่ กระดาษเซวียนจื่อแผ่นละเท่าไหร่หรือ”
ความสนใจของเถ้าแก่ลดฮวบ เดินกลับไปที่ชั้นวางของแล้ว
“กระดาษเซวียนจื่อมีลายทั่วไปแผ่นละสองอีแปะ หากแผ่นใหญ่หน่อยก็แพงกว่านี้เล็กน้อย กระดาษเซวียนจื่อที่ทำจากไม้จันทน์ก็แพงไม่น้อย หาก…”
“พอแล้วเถ้าแก่ ข้าเอาอันที่ธรรมดาที่สุดนั่นแหละ…”
เถ้าแก่ชำเลืองมองจี้หยวนครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยิบกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งจากบนชั้นวาง แล้วรับเงินสองอีแปะมา สุดท้ายชี้ไปยังพู่กันและแท่นฝนหมึกข้างๆ
“ข้าเองก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ลูกค้าเชิญใช้ตามสบายเถอะ!”
จี้หยวนยิ้มพลางเก็บหนึ่งอีแปะที่เหลือ แล้วหยิบพู่กันมีกลิ่นน้ำหมึกหอมแตะน้ำหมึกบนแท่น จากนั้นยืนขยับพู่กันเขียนบนกระดาษเซวียนจื่อยาวหนึ่งฉื่อบนโต๊ะข้างๆ
พู่กันที่ทำด้วยขนหมาในตวัดเป็นตัวอักษรแถวหนึ่ง ‘ธรรมะชนะอธรรม’
“ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนคืนพู่กันแล้วถือกระดาษพลางผิวปากเดินออกไปนอกร้าน ส่วนเถ้าแก่ในร้านอ้าปากค้างเล็กน้อย ตกตะลึงอยู่ลมหายใจหนึ่งก็รีบออกจากร้านตามไป การเขียนตัวอักษรเมื่อครู่นั้นไม่ธรรมดา ทำให้เขาสะท้านใจอยู่เล็กๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนไม่ได้เรียนหนังสือจะทำได้เลย!
เมื่อจี้หยวนออกมาถึงนอกร้าน พ่อค้าคนนั้นหาบเร่วิ่งไปแล้วตามคาด จี้หยวนเพียงยืนมองอยู่ตรงมุมถนนไกลๆ ไม่ได้คิดจะตามไป
“เฮ้อ…ข้านี่ว่างจริงๆ…”
ระหว่างที่จี้หยวนพูดกับตัวเอง เถ้าแก่ยกปลายชุดคลุมวิ่งออกมาจากในร้านแล้ว
“ลูกค้า! ลูกค้ารอก่อน…!”
“ลูกค้า ในร้านข้ามีกระดาษเซวียนจื่อทำจากไม้จันทน์ชั้นดี มอบให้ท่านได้จำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าลูกค้าเขียนตัวอักษรให้สักหน่อยได้หรือไม่!”
จี้หยวนหันไปมองเถ้าแก่ที่มีสีหน้าคาดหวัง จึงยื่นกระดาษที่รอยหมึกยังไม่แห้งสนิทในมือให้ไป
“แผ่นนี้ให้เจ้า แล้วคืนเงินสองอีแปะให้ข้าเป็นอย่างไร”
“เอ่อ…เช่นนั้นก็ได้!”
เจ้าของร้านรับกระดาษอย่างระมัดระวังระคนยินดี ประคองมันไว้ในมือแล้วมองดูอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ถึงขนาดรู้สึกได้ถึงท่วงทำนองท่ามกลางตัวอักษรได้รางๆ
“สองอีแปะ!”
“อ้อๆๆ ลูกค้ารอเดี๋ยวๆ!”
เถ้าแก่รีบร้อนกลับไปหยิบเงินที่โต๊ะ กลับไม่ใช่สองอีแปะ แต่คว้าเศษเงินกำมือหนึ่งออกจากร้านแล้วมอบให้จี้หยวนด้วยทั้งสองมือ
จี้หยวนยิ้ม รับเงินคืนมาอย่างไม่ยี่หระ ไม่ได้ยืนกรานว่าต้องการเงินสองอีแปะ เขาไม่ได้ตัดใจไม่ได้ขนาดนั้น
“ได้ นับว่าพอดีแล้ว!”
พูดจบแล้วเขาก็เดินไปโดยไม่หันไปมอง ฝ่ายเถ้าแก่แม้กระทั่งไม่รู้ว่าลูกค้าคนนี้ชื่อเสียงเรียงนามอะไร ตนเองอ้าปากค้าง ด้วยไม่อาจทำหน้าหนาขอให้อีกฝ่ายเขียนอะไรเพิ่มหรือทิ้งชื่อไว้
จากนั้นเขาก็กลับไปในร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ชื่นชมตัวอักษรบนกระดาษเซวียนจื่อยาวหนึ่งฉื่อ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบจริงๆ มีความรู้สึกคันไม้คันมืออยากลอกแบบ
“ต้องแขวนตัวอักษรแผ่นนี้แล้ว ต้องแขวนแน่ๆ!”
[1]ชุยปิ่ง เป็นอาหารจำพวกแป้งแห้งชนิดหนึ่ง ลักษณะกลม แผ่นใหญ่กว่าแผ่น CD เล็กน้อย มีงาโรยอยู่ด้านนอก ตัวแป้งปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย หน้าตาเหมือนขนมอบทั่วๆ ไป แต่ที่จริงแล้วเป็นอาหารที่ทำด้วยการนึ่ง