ตอนที่ 96 ธรรมะไม่ชนะอธรรม
ออกจากหน้าร้านขายเครื่องเขียนร้านนั้นแล้ว จี้หยวนพิจารณาเศษเงินในมือ พูดอย่างต่ำมากกว่าสองตำลึง เทียบกับเงินมากมายในละครโทรทัศน์เมื่อชาติก่อนไม่ได้ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นเงินจำนวนน้อยเลย สำหรับจี้หยวนแล้วย่อมดียิ่ง
ความจริงแล้วสิ่งของอย่างเงินเป็นสิ่งที่ตัดใจใช้ได้ยากมากจริงๆ ในโลกนี้ เขาใช้เงินมากที่สุดทั้งหมดสามครั้ง
ครั้งแรกเพราะไม่เข้าใจว่าชะตากรรมของตัวเองไม่อาจคาดเดาได้ นักพรตชิงซงทำนายชะตาให้จนได้รับบาดเจ็บหนัก ครั้งนั้นจี้หยวนมอบทองและเศษเงินให้มากกว่าสามสิบตำลึง เพียงพอให้สองอาจารย์และศิษย์รักษาร่างกายให้หายดี อีกทั้งมีเงินเหลือเฟือให้ใช้กลับบ้านด้วย
ครั้งที่สองคือนั่งเรือ เหมาเรือร่วมกับคนอื่น ใช้เงินเกือบหกร้อยอีแปะ เทียบเท่ากับครึ่งตำลึงแล้ว
ครั้งที่สามเป็นเพราะเปรี้ยวปากที่จังหวัดชุนฮุ่ย ซื้อสุราวสันต์พันวันมาสองชั่ง ทว่าใช้เงินไปไม่ถึงสี่ตำลึง
ปัญหาค่าใช้จ่ายที่พักและอาหารที่เหลือล้วนไม่มาก ด้านอาหารกิน ไปกินข้าวที่ร้านอาหารสักครั้ง สั่งอาหารราคาแพงมากก็เป็นเงินไม่กี่ร้อยอีแปะ ส่วนกินบะหมี่สักชามเป็นเงินสองสามอีแปะเท่านั้น และหนึ่งตำลึงมีค่าเท่ากับพันอีแปะ
ด้านที่พักไม่ต้องพูดถึง จี้หยวนออกมาแล้วไม่ค่อยได้นอนโรงเตี๊ยมสักเท่าไหร่ มีครั้งเดียวที่เข้าพักเพื่ออาบน้ำ ห้องชั้นบนของโรงเตี๊ยมหรูมีราคาถึงหนึ่งร้อยกว่าอีแปะเชียว
ดังนั้นนอกจากทองคำที่เจียดออกมาใช้จำนวนหนึ่งแล้ว เศษเงินของจี้หยวนยังมีเกือบถึงสิบตำลึง และเมื่อครู่เถ้าแก่ให้เงินคืนกลับมาอีกไม่น้อย
จี้หยวนเก็บเงินใส่กระเป๋าเงินในอกเสื้อ จากนั้นหนีบร่มและสะพายห่อผ้า เดินเตร่อยู่ในจังหวัดจวินเทียนด้วยความสบายใจ
ยามรถเข็นผ่านมา ล้อทำจากไม้บดอยู่บนอิฐหิน เด็กๆ ส่งเสียงหัวเราะคิกคักขณะถือถังหูลู่วิ่งไล่กัน ร้านค้าตรงมุมถนนและภายในร้านค้าตามทางล้วนมีคนร้องเรียกลูกค้ากันอึกทึก มีกลิ่นหอมจากตัวสตรีและกลิ่นอาหารโชยมาด้วย…
“จอมยุทธ์จั่วเอ๋ยจอมยุทธ์จั่ว ตอนนั้นเจ้าเติบโตที่นี่นี่เอง!”
บางครั้งจี้หยวนมีอารมณ์ศิลปินเป็นอย่างยิ่ง อย่างเช่นตอนนี้ ในห้วงสมองจินตนาการถึงจั่วหลีในวัยเด็ก ถือกระบี่ไม้วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ พลางแสดงฉากในยุทธภพ
จี้หยวนกำลังหาชาหอมๆ ดื่ม จึงเดินไปยังโรงน้ำชาที่มีกิจการไม่เลวแห่งหนึ่ง ข้างในมีนักเล่าเรื่องทั้งพูดทั้งร้องเพลงด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจด้วย
คนแนะนำชาเห็นจี้หยวนเดินมาก็เข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“ลูกค้าท่านนี้เชิญด้านในก่อน น้ำแกงข้น ซาลาเปาทอดน้ำ ชาสดก็มีหลายชนิดเชียว…!”
“ดี ข้ากำลังหาสถานที่คึกคัก มีนักเล่าเรื่องอยู่ด้วยย่อมดีที่สุด”
“โอ้ โชคไม่ค่อยดีนัก ที่นั่งทางนั้นเต็มหมดแล้ว ขยับไปข้างๆ หน่อยได้หรือไม่”
คนแนะนำชาชำเลืองทางนักเล่าเรื่องกลางห้องโถงค่อยกล่าว
“ก็ได้ เจ้าจัดการเลยเถอะ!”
“เช่นนั้นลูกค้าเชิญตามข้ามา!”
ตามคนแนะนำชาผู้สดใสเดินไปข้างหน้า เมื่อถึงข้างๆ เสาต้นหนึ่งทางฝั่งขวาของใจกลาง ตรงนั้นมีโต๊ะสี่เซียนว่างอยู่ตัวหนึ่ง คนแนะนำชาหยิบผ้ามาเช็ดคราบชาจางๆ บนโต๊ะก่อน
“ลูกค้าเชิญ อยากดื่มชาะอะไร สั่งขนมอะไรดี”
จี้หยวนทำเป็นมองรายการแนะนำของโรงน้ำชาด้วยสีหน้างุนงง ไม่ปล่อยให้คนแนะนำชาแนะนำของราคาแพงอะไรก็เอ่ยปากก่อน
“ขอชาชงใหม่กาหนึ่ง แล้วก็ขอขนมที่ขึ้นชื่อที่สุดของพวกเจ้าที่นี่สามอย่าง”
“ได้เลย…ลูกค้ารอเดี๋ยว…!”
พอคนแนะนำชาไปแล้ว ความสนใจของจี้หยวนล้วนอยู่ข้างๆ ทุกคนบนโต๊ะรอบข้างกำลังดื่มชาและกินขนม ตั้งอกตั้งใจฟังนักเล่าเรื่อง น่าจะเป็นเรื่องสงครามสร้างชื่อของแม่ทัพสักคนหนึ่ง
“เล่ากันว่าข้ามแม่น้ำครั้งนั้นมีแพไม้หลายร้อยลำส่งกองกำลังศัตรูเข้ามา กำลังจะมาถึงจุดอ่อนด้านหลังกองทัพฝั่งเรา ตอนนั้นแม่ทัพหวงที่บัญชาการทหารหนึ่งร้อยนายพบสถานการณ์นี้รีบตัดสินใจทันควัน ด้านหนึ่งสั่งคนรายงานทัพใหญ่ ด้านหนึ่งสั่งแบ่งกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาและบุกเข้าไปในป่าหลายแห่งละแวกนั้น…”
นักเล่าเรื่องพูดถึงตรงนี้แล้ววางพัดลง หยิบจอกชาขึ้นจิบน้ำชาเพื่อให้ชุ่มคอ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดเหงื่อด้วยครั้งหนึ่ง ข้างล่างมีลูกค้าถามต่อด้วยความรำคาญใจ
“หรือว่าแม่ทัพหวงจะขับไล่กองกำลังศัตรูกลับไปได้เพราเหตุนี้”
“เจ้าอย่าพูดแทรกสิ!”
“ใช่ ให้ท่านเป็นคนพูด!”
นักเล่าเรื่องวางจอกชาลง หยิบพัดขึ้นมา เสียงวิจารณ์อื้ออึงข้างล่างสงบลงโดยปริยาย ส่วนจี้หยวนมองดูแล้วรู้สึกพูดไม่ออกเป็นอย่างยิ่ง
“แม่ทัพหวงในตอนนั้นย่อมรู้ซึ้งถึงจำนวนกำลังคนในมือ การต้านทานศัตรูไม่ต่างอะไรกับใช้ไข่สู้หิน ทว่าแม่ทัพฉลาดเฉลียวและมีกลยุทธ์หลากหลาย จึงสั่งคนเตรียมฟืนในป่าสนและง้างคันศรรอไว้ ขณะเดียวกันพยายามอย่างสุดกำลังให้นกในป่าแตกรัง!”
“แม่ทัพฝ่ายศัตรูก็ไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถและชื่อเสียง ขณะข้ามมาได้ครึ่งทางก็เห็นนกมากมายในป่าฝั่งตรงข้ามแตกรัง รู้สึกว่าผิดปกติ จึงสั่งให้หยุดข้ามแม่น้ำชั่วคราว ส่งแพไม้ขนาดเล็กสิบกว่าลำข้ามแม่น้ำไปสืบความเท่านั้น…ตอนนี้แหละ!”
พอถึงตรงนี้ นักเล่าเรื่องพลันเพิ่มเสียงขึ้น ฟาด ‘ไม้ปลุกสติ’ ลงอย่างแรง ทำเอาลูกค้าทุกคนตกใจจนสะดุ้ง แต่กลับไม่มีใครขัดจังหวะ
“แม่ทัพหวงสั่งคนจุดฟืนที่เตรียมไว้ทั้งหมด ทันใดนั้นควันไฟหลายสายพวยพุ่งขึ้นจากในป่า…แม่ทัพฝ่ายศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันหน้าเปลี่ยนสี บอกพวกพ้องตัวเองว่ามีการซุ่มโจมตี สั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้รีบถอยกลับ นายทหารบนแพไม้สิบกว่าลำถูกควันไฟทำให้ตกใจตกน้ำไปไม่น้อย…”
นักเล่าเรื่องใช้ภาษาอันงดงามบรรยายการต่อสู้ในตอนนั้น นำเสนอกลยุทธ์และความกล้าหาญของแม่ทัพหวงอย่างชัดเจน ทำให้พวกลูกค้าต่างตื่นเต้น
จี้หยวนฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าถึงอารมณ์ นี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่งสินะ!
พอนักเล่าเรื่องเล่าเรื่องนี้จบ เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อย มีจี้หยวนและลูกค้าใจป้ำจำนวนหนึ่งตรงชั้นบนตบรางวัลให้ ทางโรงน้ำชาก็ต้องให้ค่าจ้างอยู่แล้วด้วย นับว่ามีรายรับไม่เลวเลยทีเดียว
เรื่องเล่า ‘สงครามภูเขาบูรพา’ จะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ ตอนนี้นักเล่าเรื่องกำลังพักผ่อนและดื่มชา จี้หยวนเทขนมทั้งหมดใส่ในจานเดียว แล้วยกกาชาเดินไป
“ท่านสะดวกคุยกับข้าหรือไม่”
นักเล่าเรื่องเห็นจี้หยวนยกกายาและขนมเดินมา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย จึงยิ้มและพยักหน้าให้
“เชิญนั่งเถอะ!”
จี้หยวนวางขนมลงอย่างรู้จักวางตัว หยิบจอกชาใหม่บนโต๊ะมาเทชาดีของตนเองให้นักเล่าเรื่อง
“เชิญดื่มชาก่อน! ส่วนขนมก็กินได้ตามสบาย!”
จี้หยวนได้กลิ่นนานแล้ว น้ำชาที่โรงน้ำชาเตรียมให้นักเล่าเรื่องเป็นชาเก่า ไม่ใช่ชาดีเหมือนของตัวเอง
ฝ่ายหลังก็ไม่เกรงใจ ยิ้มพลางหยิบขนมถั่วตัดชิ้นหนึ่งใส่ปาก แล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“ท่านผู้นี้มีเรื่องอะไรอยากถามหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าอยากสอบถามเรื่องของตระกูลจั่วแห่งจังหวัดจวินเทียนกับท่านหน่อย ตระกูลจั่วที่มีชื่อเสียงก้องยุทธภพเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ทราบว่าพักนี้คนรุ่นหลังเป็นอย่างไรบ้าง”
นักเล่าเรื่องมุ่นคิ้ว มองจี้หยวนด้วยความประหลาดใจ พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด อีกฝ่ายสวมเสื้อสีเขียวแขนกว้าง มวยผมปักด้วยปิ่นไม้ สองมือเรียวยาว ร่างกายและพลังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่
“ท่านผู้นี้ ท่านเป็นจอมยุทธ์หรือ”
“ฮ่าๆ…ใคร่รู้เรื่องในยุทธภพอยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่จอมยุทธ์แต่อย่างใด ทว่าผู้ล่วงลับตระกูลจั่วมีบุญคุณกับข้า ครั้งนี้จึงมาตามหาคนรุ่นหลังของเขาโดยเฉพาะ”
ผู้ล่วงลับตระกูลจั่ว?
นักเล่าเรื่องขมวดคิ้วตั้งใจมองจี้หยวนอีกครั้ง คล้ายมีความรู้สึกลนลานเพราะดูไม่ออกว่าเขาอายุเท่าไหร่ จากนั้นในที่สุดก็มองเห็นชัดเจนว่าดวงตาที่ลืมขึ้นเล็กน้อยเป็นสีเทา
ทว่านักเล่าเรื่องไม่กล้ามองหลายครั้ง ไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะเป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ได้ ถึงอย่างไรตระกูลจั่วเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
“ในเมืองมีคนรู้เรื่องนี้อยู่น้อยนัก ปีนั้นตระกูลจั่วเคยโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง เฮ้อ…น่าเสียดายที่โชคชะตากลั่นแกล้ง เซียนกระบี่จั่วหลงมัวเมาในกระบี่ เทียบเจตกระบี่ที่เขาทิ้งไว้ทำในเกิดการต่อสู้ในยุทธภพ และนำหายนะสู่ตระกูลจั่ว ต่อให้จอมยุทธ์จั่วผู้ยิ่งใหญ่คาดการณ์และเตรียมการไว้ล่วงหน้า ตระกูลจั่วก็ยากจะถอนตัวได้อยู่ดี…”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อกว่า จี้หยวนออกจากโรงน้ำชา ขมวดคิ้วเดินไปยังคฤหาสน์เก่าของตระกูลจั่วที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง เขาใช้เวลาสองชั่วยามก็พบจุดหมาย ทว่าแม้แต่หน้าประตูก็เปลี่ยนเป็น ‘จวนเฉียน’ ถามคนเฝ้าประตูก็ไม่รู้เรื่องตระกูลจั่ว
จนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง คนเดินถนนน้อยลง ร้านมากมายปิดร้านแล้ว จี้หยวนยังคงเตร็ดเตร่อยู่ลำพังตรงฝั่งตะวันตกของเมือง
“หรือว่าตระกูลจั่วนี้จะหายสาบสูญไปแล้วจริงๆ”
ขณะพึมพำกับตัวเอง เขาเห็นข้างหน้ายังมีโคมไฟสว่างจ้าและคึกคักเป็นพิเศษ นอกจากสถานที่สวยงามจำนวนหนึ่งแล้ว มีร้านแห่งหนึ่งแขวนโคมเขียนตัวหนังสือ ‘พนัน’ เอาไว้
บังเอิญนัก จี้หยวนได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้ว ดังมาจากประตูบ่อนข้างหน้า
“รอก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา! เดี๋ยวข้าจะกลับมา!”
“อย่าแพ้ล่ะ…ฮ่าๆ…!”
“ข้ามีความสามารถอยู่น่า รอข้าก่อน!”
พ่อค้าขายชุยปิ่งเมื่อตอนกลางวันวิ่งออกจากบ่อนพร้อมเหงื่อแตกพลั่ก ฝีเท้ายังคงมั่นคง รัศมีเหนือศีรษะกลับแตกต่างกับเมื่อกลางวันมากโข
“น่าเสียดาย ธรรมะไม่ชนะอธรรม…!”
จี้หยวนส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปทางอื่น
หลังจากได้วิชา ‘บัญชา’ จี้หยวนอยู่ในสภาพที่ไม่ทำลายรากฐานได้แล้ว แม้บัญชาของเขาจะไม่ได้มีอานุภาพล้นเหลืออะไร แต่ก็นับได้ว่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง
กลยุทธ์เจิดจรัสทำให้ประกาศิตโด่งดังถึงสวรรค์ บอกไว้ว่าคนนอกรีตไม่มีทางฝึกสำเร็จ จี้หยวนเองก็นับว่าบังเอิญ และผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ดีไปมากกว่านี้
วินาทีที่พ่อค้าชุยปิ่งเหงื่อแตกวิ่งกลับบ้าน เถ้าแก่ร้านเครื่องเขียนสวมเสื้อผ้าราคาแพงกำลังชื่นชมลายอักษรอย่างตั้งใจ อดไม่ได้ที่จะทำสำเนา
มีผู้ลาดตระเวนราตรีจากศาลมืดเดินทางผ่านนอกร้าน มองเห็นข้างในปรากฏปราณวิเศษรางๆ เป็นครั้งคราว ราวกับร้านทั้งหลังโปร่งแสงในยามวิกาลอยู่หลายส่วน