ตอนที่ 98 เซียนกระบี่
ออกจากจังหวัดจวินเทียนแล้วเดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ ข้างนอกก็เต็มไปด้วยทุ่งนาและป่า เสียงมวลนกร้องท่ามกลางความเขียวชอุ่มค่อยๆ กลบเสียงอื้ออึงภายในเมือง
แตกต่างจากทางน้ำที่พลุกพล่านในจังหวัดชุนฮุ่ย ขนาดของทุ่งนานอกจังหวัดจวินเทียนนับได้ว่าน่าชม ถึงแม้จี้หยวนจะมองเห็นเพียงรางๆ ก็ตาม
ชื่อแม่น้ำปฐมทำให้จี้หยวนนึกถึงร้านสวนดอกไม้แห่งจังหวัดชุนฮุ่ยอย่างอดไม่ได้ นึกถึงวสันต์พันวันที่เลิศรสจนยากจะลืมลง จึงหยิบขวดสุรามาดื่มเสียสองอึกอยู่เรื่อยๆ เดินไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงริมแม่น้ำปฐมแล้ว
นี่เป็นแม่น้ำขนาดเล็กที่ใสแจ๋ว ริมแม่น้ำไกลออกไปมีบ้านคนอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นการรวมกลุ่มกันขนาดเล็กประมาณยี่สิบครัวเรือนได้ จี้หยวนยากจะแยกได้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือหมู่บ้านหรืออะไรอย่างอื่น
เดินด้วยความเร็วปกติประมาณหนึ่งเค่อก็เข้าใกล้ย่านที่อยู่อาศัยแล้ว ได้ยินเสียงตีเหล็กครั้งแล้วครั้งเล่าจากภายในร้านตีเหล็กอย่างชัดเจน
ริมแม่น้ำปฐมที่อยู่ใกล้เมืองตรงนี้ก็คือร้านตีเหล็ก จี้หยวนไม่จำเป็นต้องไปถามทางอีก ตามเสียงไปเป็นพอ
“เคร้ง เคร้ง เคร้ง…”
“ปัก…ปัก…ปัก…”
เสียงตีเหล็กค่อนข้างถี่ ฟังดูแล้วไม่น่ามีช่างตีเหล็กแค่คนเดียว เมื่อมองดูขนาดร้านตีเหล็กคร่าวๆ พบว่ามีโรงหลอมทั้งหมดสี่แห่ง เหล็กและถ่านยิ่งเพิ่มความรู้สึกร้อนระอุให้กับช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในขณะนี้
จี้หยวนนับว่าดึงสติกลับมาได้ เกรงว่าบ้านที่อยู่รอบๆ คงจะเป็นบ้านของช่างตีเหล็กเหล่านี้จริงๆ กระมัง
ระหว่างคิดเรื่องและคำพูดที่ควรพูด เห็นที่วางเครื่องมือการเกษรและมีดดาบตรงเวิ้งนอกสุดมีนายช่างใหญ่แข็งแรงกำยำกำลังเปลือยท่อนบนเอนกายพัดลมอยู่บนเก้าอี้เอน จี้หยวนจึงเดินเร็วไปข้างหน้าเพื่อสอบถาม
“นายช่างท่านนี้ ขอถามว่าพวกเจ้าตีดาบหรือกระบี่ได้หรือไม่”
นายช่างใหญ่พัดลมต่อพลางเงยหน้ามองจี้หยวน ชายผู้สุภาพเรียบร้อยในชุดคลุมแขนกว้างสีเขียว จากนั้นมองไปยังสิ่งของคล้ายกระบองที่อีกฝ่ายแบกไว้ข้างหลังครู่หนึ่ง
“หากดาบหรือกระบี่เสีย ร้านพวกข้าช่วยเจ้าซ่อมได้ ซ่อมเสร็จแล้วรับรองว่าใช้งานได้ดี ไม่มีทางย่ำแย่เท่าเมื่อก่อน แต่หากอยากตีดาบหรือกระบี่ใหม่คงไม่ได้”
“อ๋อ เช่นนั้นหากทำฝักกระบี่เล่า”
นายช่างคนนั้นลุกจากท่านอนขึ้นนั่ง วางพัดไว้ข้างๆ
“นั่นกลับทำได้ ฝักไม้หรือฝักหนังล้วนทำได้ทั้งนั้น ขอเพียงเจ้าจับถนัดมือ ฝักเหล็กก็ทำได้เช่นกัน หากเงินถึงจะทำฝึกสำริดหรือฝักเงินก็ไม่เป็นปัญหา! ลูกค้าต้องการแบบใดรึ”
“ขอเป็นฝักไม้แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องสลักให้ประณีต ไม้ทนทานก็ใช้ได้แล้ว”
นายช่างลุกขึ้นยืน
“ตกลง ข้าจะพาท่านไปวัดความกว้างยาวของตัวกระบี่ ชั่งน้ำหนักสักหน่อย แล้วค่อยเลือกไม้แล้วกัน”
จี้หยวนพยักหน้าและตามนายช่างไปยังเรือนโปร่งโล่งอีกแห่งหนึ่ง เมื่อผ่านประตูที่เปิดกว้างทั้งหน้าและหลังไปแล้วก็เห็นภาพการตีเหล็กที่ร้อนรุ่มข้างหลัง
ภายในเรือนมีนายช่างเปลือยท่อนบนเหมือนกันอีกสองคนกำลังนั่งดื่มน้ำพักผ่อน ดูแล้วแม้อายุเกินหกสิบปี แต่กล้ามเนื้อบนตัวกลับไม่น้อยเลย
“ลูกค้า ปลดกระบี่ของท่านให้ข้าดูหน่อย”
จี้หยวนมองนายช่างใหญ่สองคนครั้งหนึ่ง แล้วปลดกระบี่ยาวพันผ้าวางลงบนโต๊ะในเรือน จากนั้นเปิดผ้าสีเขียวออก เผยให้เห็นกระบี่เครือเขียวจนหมดจด
ตัวกระบี่เครือเขียวในตอนนี้แม้ไม่มีสนิมแล้ว แต่กลับยังนับไม่ได้ว่าเงางาม ความรู้สึกเก็บงำทั้งหมดเพียงเผยความเยือกเย็นออกจากคมกระบี่ ด้ามจับยิ่งแปลกนัก ไม่มีรอยบุ๋มยังพอว่า อีกทั้งเป็นเครือสีเขียวเหมือนมรกต กระนั้นกลับพัวพันกระบี่ยาวไว้อย่างแนบเนียน
นายช่างยื่นมือไปคิดจับเครือบนด้ามกระบี่อย่างอดไม่ได้ ทว่านิ้วมือยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีความรู้สึกเจ็บๆ ชาๆ พุ่งมา ทำให้เขามีความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดที่ไม่กล้าแตะต้องตัวกลัวกระบี่
พอข่มความหวาดหวั่นในใจได้แล้ว นายช่างคนนั้นฝืนยื่นมือไปจับด้ามกระบี่ ยังดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าสัมผัสจากด้ามกระบี่ก็เหมือนกับเครือ นุ่มนวลและเย็นมือ
นายช่างสองคนที่เดิมทีกำลังพักผ่อนลุกขึ้นยืนแล้ว เข้ามามองกระบี่เล่มนี้ใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ลูกค้า…กระบี่เล่มนี้ของท่านมีชื่อว่าอะไรหรือ”
จี้หยวนเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ใช้เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น
“กระบี่เล่มนี้ความจริงมีที่มาอยู่บ้าง เมื่อประมาณแปดสิบปีก่อนว่ากันว่าตีขึ้นที่ร้านแห่งนี้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จี้หยวนหยุดพูดครู่หนึ่ง รอยยิ้มดูมีเลศนัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อให้นายช่างทุกคนล้วนได้ยิน เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงมีอานุภาพอีกครั้ง
“ชื่อกระบี่ เงาพิสุทธิ์!”
ทันใดนั้นเสียงตีเหล็กหนวกหูในร้านพลันเงียบลง
จี้หยวนเพียงมองเงาร่างแข็งแรงในโรงหลอมข้างหลังเหล่านั้น แล้วมองสีหน้าของนายช่างทั้งสองคนในเรือนตอนนี้
“อืม…ฮ่าๆ…ชื่อดีๆ อาจจะเป็นกระบี่ฝีมือนายช่างใหญ่รุ่นปู่หรือทวดก็เป็นได้”
นายช่างวัยกลางคนหัวเราะอย่างเก้ๆ กังๆ หยิบไม้บรรทัดเตรียมวัดขนาดตัวกระบี่ ส่วนนายช่างอีกสองคนกลับไปนั่งเหมือนเดิม เพียงอดไม่ได้ที่จะผินหน้ามองกระบี่ยาวบ้าง เสียงตีเหล็กที่ลานบ้านหลังผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ยังไม่กลับคืน จี้หยวนได้ยินเสียงถกกันแผ่วเบา
“นายช่างเคยได้ยินชื่อกระบี่นี้หรือไม่”
จี้หยวนยิ้มพลางถามต่อ
“ไม่เคยได้ยิน แต่ในเมื่อลูกค้าบอกว่าตีขึ้นที่นี่ ก็อาจใช่กระมัง ท่านดูสิของใช้ที่ตีขึ้นที่นี่แข็งแรงทนทาน มีชื่อเสียงตั้งแต่แปดสิบปีก่อนแล้ว…”
ได้ยินนายช่างวัยกลางคนค่อยๆ ออกจากความเก้อเขิน กลับมาพูดจาคล่องแคล่วดังเดิม จี้หยวนรู้สึกว่าบางทีพวกเขาคงเข้าใจอะไรผิดอีกแล้ว ดูท่าทางไม่เปิดเผยอะไรบ้างคงทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนมุมมองไม่ได้ โกหกด้วยเจตนาดีอาจจะดีกว่านี้
“อ้อ ยาวนานถึงแปดสิบปีแล้วจริงๆ พวกท่านคงลืมไปแล้วกระมัง ว่านี่เคยเป็นอาวุธของจั่วหลี่…”
ตอนที่พูดถึงชื่อจั่วหลี จี้หยวนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือของนายช่างวัยกลางคนที่กำลังจับไม้บรรทัดสั่นเล็กน้อย ทว่าจี้หยวนยังพูดไม่จบ
“แต่ต่อให้พวกท่านลืมแล้ว มันกลับไม่มีทางลืมลง ถูกต้องหรือไม่”
‘มัน’ ที่จี้หยวนพูดถึงคือกระบี่ยาวที่อยู่บนโต๊ะ และขณะเดียวกับที่สิ้นเสียงนั้นเอง
หึ่ง…
กระบี่ยาวบนโต๊ะส่งเสียงที่ทำให้หูอื้อขึ้นมาเอง
กรอบ…กรอบแกรบ…
ไม้บรรทัดในมือนายช่างวัยกลางคนปริแตกเพราะของมีคมทิ่ม ทำเอาเขาต้องรีบชักมือกลับ
“ทุกท่าน ข้าไม่ใช่ศัตรูของตระกูลจั่ว ไม่ได้จ้องหาโอกาสอะไรเช่นกัน ทว่าจั่วหลีมีบุญคุณต่อข้า ข้าเองก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักทดแทนบุญคุณคนเสียด้วย จึงอยากรู้ว่าตระกูลจั่วยังมีคนรุ่นหลังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ และข้าจะตามหาอย่างสุดความสามารถ”
นายช่างชราคนหนึ่งลุกขึ้นมองดูกระบี่เครือเขียวบนโต๊ะ ข่มจิตใจสั่นไหวพูดขณะที่อยากตีเหล็กตอนร้อนๆ ว่า
“ในเมื่อท่านได้รับกระบี่เงาพิสุทธิ์มา เห็นทีต้องได้ตำราลับของเซียนกระบี่จั่วมาด้วย แล้วจะยังตามหาคนรุ่นหลังตระกูลจั่วไปทำไมอีก ตระกูลจั่วทำให้พวกข้ายากลำบากมามากพอแล้ว กระนั้นพวกข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตายตกไปให้หมดได้ย่อมดีที่สุด ถ้าหากยังไม่ตายก็ไม่มีความข้องเกี่ยวกับพวกข้าแล้ว!”
“ใช่ ดูออกว่าวิชายุทธ์ของท่านไม่อาจหยั่งคาด การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าจินตนาการได้ พวกข้าเองก็ไม่กล้าปิดบังท่านเช่นกัน ตระกูลจั่วตกตายไปหมดแล้วอย่างแน่นอน!”
นายช่างวัยกลางคนก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน
“ถูกต้อง คนตระกูลจั่วสมควรตายไปให้หมด!”
“ใช่ๆ ต้องตายไปหมดแล้วเป็นแน่!”
“อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวข้องกับร้านตระกูลเหยียนของพวกข้า!”
“ถูกต้อง…”
…
ช่างตีเหล็กและลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มส่งเสียงดังข้างนอกเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทุกคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ดูท่าทางเป็นคนตระกูลเหยียนทั้งสิ้น บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
จี้หยวนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ทันใดนั้นจะหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ…”
เขามองคนที่อยู่รอบๆ จากนั้นเสียงดังกังวานก็ดังขึ้น
“ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งตระกูลจั่วในตอนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเจ้าตระกูลเหยียน ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว พวกเจ้ายังคงปกป้องสายเลือดตระกูลจั่ว น่านับถือยิ่ง!”
จี้หยวนพูดจบประโยคที่ดูแปลกประหลาดจบแล้ว เขาโค้งตัวคารวะช่างตีเหล็กตระกูลเหยียนทุกคนรอบๆ อย่างจริงจัง ทำให้พวกเขาไม่น้อยตื่นตกใจและรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนในยุทธภพที่กระหายในชื่อเสียง ยิ่งไม่มีทางต้องการอะไรจากตระกูลจั่ว…”
เขายิ้มและพูดถึงตรงนี้ ในใจไม่รู้สึกเบิกบานแต่อย่างใด และไม่คิดว่าตัวเองมีช่วงเวลาที่อยากอาศัยการฝึกเซียนข่มขู่ผู้อื่น ครั้นคิดได้ดังนั้นก็เอ่ยปากอีก
“วิชายุทธ์ของคนทั่วไปไม่มีความหมายสักเท่าไหร่สำหรับข้า ข้าตามหาคนรุ่นหลังตระกูลจั่ว เพราะต้องการมอบคำชี้แจงที่ช้าไปหลายสิบปีให้กับจั่วหลีก็เท่านั้น”
ขณะที่คำพูดอันทำให้รู้สึกคาดเดาไปต่างๆ นานาจบลง กระบี่เครือเขียวบนโต๊ะลอยขึ้น มันหมุนรอบตัวจี้หยวนรอบหนึ่งราวกับมีชีวิต สุดท้ายปลายกระบี่ชี้ลง ลอยอยู่ตรงหน้าจี้หยวน
หึ่ง…
กระบี่ยาวส่งเสียงร้องและทอแสงเป็นครั้งคราวอย่างต่อเนื่อง เสียงดังเบาดังขึ้นสลับกัน ราวกับกระบี่ยาวกำลังพูดความรู้สึกของตัวเอง
คนอื่นหากไม่ใช่เบิกตาอ้าปากด้วยความตกใจก็ถอยหลังไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกคนกลั้นหายใจพูดไม่ออก ในใจมีความคิดหนึ่งอย่างเป็นเอกฉันท์
‘เซียน! กระบี่!’