ตอนที่ 102 ยากเห็นผู้พิพากษานึกสนุก
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นเก็บพู่กันพิพากษาในมือเข้าไปในแขนเสื้อ หันไปกล่าวกับผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ที่อยู่ด้านข้างประโยคหนึ่ง
“ภายในศาลเจ้าบนโลกมนุษย์มีผู้ฝึกปราณเชิญข้าไปพบ ข้าขอตัวครู่หนึ่ง!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊หยุดพู่กันเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงอะไร จากนั้นจึงวาดพู่กันพิพากษาไปข้างหน้า เบื้องหน้ารอยคลื่นแถบหนึ่งไหวเคลื่อนเป็นระลอก เผยภาพเหตุการณ์ในเรือนข้างศาลเจ้า
มีชายสวมชุดคลุมเขียวแขนกว้างคนหนึ่ง วางของเซ่นไหว้รินสุราพร้อมสรรพ คารวะมาทางรูปปั้นเทพของผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น
เมื่อผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ถือพู่กันร่างภาพ อีกฝ่ายเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้ามองรูปปั้นเทพของผู้พิพากษาอีกองค์ที่อยู่ข้างผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น คล้ายสบตาสองผู้พิพากษาบุ๋นบู๊แห่งศาลมืดผ่านหยินหยาง ทำให้ผู้พิพากษาสองคนต่างผงะในใจ
“ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นไปเถอะ ข้าจะคอยดูสถานการณ์ภายในศาลอยู่ที่นี่!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นได้ยินแล้วลุกขึ้นยืน ไม่พูดอะไรมากอีก ประสานมือให้ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ก่อนก้าวออกจากกรมสอบสวน
ภายในเรือนข้างศาลหลักเมือง เมื่อจี้หยวนเพิ่งเหลือบมองรูปปั้นเทพผู้พิพากษาฝ่ายบู๊เหมือนรับรู้ได้ ท่ามกลางความรางเลือนเขาสัมผัสได้ถึงสายตาบางอย่าง ในใจคิดว่าศาลมืดน่าจะสังเกตเห็นตนแล้ว
จริงดังคาด ไม่นานรูปจำลองผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก้าวออกมาจากรูปปั้นเทพ โรยตัวลงข้างกายจี้หยวน ชุดขุนนางหมวกขุนนางทั้งตัวเป็นสีหมึก เคราดำจอนดำแต่เปี่ยมประสบการณ์
จี้หยวนรีบหันหน้าประสานมือคารวะผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น
“ข้าน้อยจี้หยวน มีเรื่องรบกวนผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น หวังว่าผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นจะเข้าใจพร้อมเจียดเวลามาพูดคุยกับข้า!”
เห็นของเซ่นไหว้กับสุรารวมถึงท่าทางถ่อมตัวมีมารยาทของอีกฝ่าย แน่นอนว่าท่าทีผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นย่อมอ่อนโยนเช่นกัน กอปรกับมองความตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ชัด ย่อมประสานมือคารวะตอบเป็นธรรมดา
“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว มีอะไรขอแค่กล่าวมาก็พอ”
จี้หยวนแย้มยิ้ม รู้สึกว่าผู้พิพากษาคนนี้น่าจะพูดด้วยง่าย ผายมือซ้ายไปทางโต๊ะบูชา
“ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นเชิญ พวกเรามาพูดไปกินไป!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นเองเป็นคนสบายๆ ได้ยินแล้วยกจอกสุราขึ้นมาดม อ้าปากกระดกดื่มรวดเดียวหมด แต่เมื่อวางจอกลงจี้หยวนเห็นชัดว่าภายในจอกยังมีสุรา แต่กลับไม่มีกลิ่นสุราแม้แต่น้อย
จี้หยวนยิ้มสะบัดมือลวกๆ สุราที่เหลืออยู่ในจอกสุราของผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นหายไป เขารินสุราให้อีกฝ่ายพลางเริ่มบอกจุดประสงค์การมาของตน
“คาดว่าผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นยังจำตระกูลจั่วซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจังหวัดจวินเทียนได้กระมัง”
“อืม แน่นอนว่ามีภาพจำอยู่ ภายในยุทธภพปุถุชนถือว่าผงาดเหนือยุทธภพ เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง”
“เช่นนั้นตระกูลจั่วเคยมีคนโฉดสันดานชั่วจนทำให้ศาลมืดไม่พอใจหรือไม่”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นกินขนมโก๋ชิ้นหนึ่งก่อนกล่าวตอบ
“ไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้น”
จี้หยวนโล่งใจขึ้นแล้ว คนรุ่นก่อนไม่ทำผิดมหันต์แน่นอนว่ายิ่งเหมาะสม
“ว่าไปแล้วตระกูลจั่วมีความเกี่ยวข้องกับข้าคนแซ่จี้อยู่บ้าง การมาครั้งนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว…”
จี้หยวนกล่าวเนิบช้า สิ่งที่พูดล้วนเป็นเรื่องจริง แต่กลับพูดไม่หมด พยายามเล่าว่ารับน้ำใจผู้ฝึกเซียนตระกูลจั่วมาจึงอยากช่วยเหลือ
หนึ่งหยินหนึ่งหยาง หนึ่งคนหนึ่งเทพผี พูดคุยตรงเรือนข้างศาลหลักเมืองภายในวันฝนตกอยู่ครู่ใหญ่ ระหว่างนั้นไม่มีผู้กราบไหว้คนอื่นเข้ามา
รอจนด้านนอกฝนหยุดตก การพูดคุยของทั้งสองฝ่ายย่อมสิ้นสุดตามธรรมชาติ
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นฟังพลางพยักหน้าไม่หยุด ไม่เพียงแต่ฟังจี้หยวนเล่าเรื่องตระกูลจั่ว เขายังพูดคุยเรื่องอื่นเป็นครั้งคราว แม้ว่าไม่รู้ความเป็นมาของจี้หยวน แต่สังเกตได้จากการพูดคุยก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นพวกมีความรู้มากลึกซึ้งใจกว้าง ต้องเป็นผู้แจ้งมรรคน่าเกรงขามแน่
ผู้มาเยือนพูดเรื่องพวกนี้สำหรับผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร กอปรกับประทับใจจี้หยวนยามพูดคุยมาก เมื่อจบการพูดคุยจึงตกปากรับคำ
“ท่านจี้วางใจเถอะ ศาลมืดจังหวัดจวินเทียนย่อมปกป้องดูแลตระกูลจั่ว ในบรรดาผู้ล่วงลับของตระกูลจั่วมีผู้ครองคุณธรรม ย่อมพิจารณารับเข้าศาลมืดเป็นอันดับแรก คืนนี้ข้าจะไปเยือนครอบครัวตระกูลจั่วในปัจจุบันด้วยตัวเองว่าเป็นอย่างไร บันทึกเข้าตำรารวมตามสมควร!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นรับปากด้วยตัวเอง จี้หยวนเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่เช่นกัน สิ่งสำคัญคือไม่ต้องไปเจอเทพหลักเมืองแล้ว เขารีบประสานมืออีกครั้ง
“รบกวนผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นแล้ว เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้ขอลา!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นกับจี้หยวนคุยนานขนาดนี้แต่อารมณ์ไม่เลวนัก ถึงขั้นระหว่างนั้นเรื่องจุกจิกยุ่งยากที่ศาลมืดตัดสินบางส่วนยังถูกจี้หยวนเผยจุดสำคัญด้วยถ้อยคำเลิศล้ำ ครานี้จึงประสานมือคารวะตอบ
“ย่อมทำเต็มกำลัง!”
มองส่งจี้หยวนจากไป ผู้มากราบไหว้ซึ่งเห็นว่าฝนหยุดแล้วทยอยเพิ่มขึ้นมากพอดี ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นกวาดมองโต๊ะบูชา หยิบขนมกองหนึ่งกับสุราครึ่งกาที่เหลือติดมือกลับศาลมืด
เมื่อออกจากศาลหลักเมือง จี้หยวนผ่อนลมหายใจยาว สูดอากาศสดชื่นหลังฝน ทั้งตัวผ่อนคลายลง
‘ในที่สุดก็จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว ยากมาเยือนจังหวัดจวินเทียน ไปเติมเต็มท้องหน่อยดีกว่า!’
…
คืนนั้นยามจื่อ[1] ริมแม่น้ำปฐมนอกเมืองจังหวัดจวินเทียน เขตเรือนพักตระกูลเหยียนทุกบ้านดับตะเกียง ผู้คนนอนหลับกันนานแล้ว
สองผู้พิพากษาบุ๋นบู๊แห่งกรมสอบสวนศาลหลักเมืองจังหวัดจวินเทียนมาถึงที่นี่พร้อมกัน
ตอนยังไม่เข้าใกล้บริเวณนี้ ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊สังเกตเห็นความอัศจรรย์บางอย่างแล้ว
อาณาเขตซึ่งเทพผีปฐพีอย่างพวกเขาอยู่มองของพิเศษบางอย่างออก ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้เมื่อมองไปทางตระกูลเหยียน รู้สึกว่าทั่วบริเวณเด่นชัดยามรัตติกาล
ไม่มีสิ่งใดส่องประกาย แต่กลับทำให้ผู้พิพากษาสองคนรู้สึกสว่างไสว เดิมสองผู้พิพากษามาดูตระกูลจั่ว แค่สงสัยความสัมพันธ์ของคนตระกูลจั่วกับจี้หยวน ตอนนี้กลับยิ่งสงสัยว่าข้างในมีอะไรกันแน่
“ไป เสาะหาข้อเท็จจริงกัน!”
ผู้พิพากษาสองคนมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกัน ครู่หนึ่งก็เข้าใกล้นอกร้านตระกูลเหยียน แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ รอยคลื่นไร้รูปสายหนึ่งที่แม้แต่ผู้พิพากษาก็เห็นไม่ชัดตลบอบอวล ทว่ายังทำให้กายพรตของทั้งสองสัมผัสได้
เมื่อเดินมาถึงในเรือนผู้นำตระกูลจั่ว ผ่านประตูกำแพงเข้าสู่โถงใหญ่ เทียบอักษรที่ยังไม่ทันเข้าเมืองไปใส่กรอบวางอยู่บนโต๊ะแปดเซียน ในสายตาผู้พิพากษามันบรรจุปราณหนาทึบ มองเห็นผ่านรัตติกาลมืดมิด หม่นแสงแต่ส่องสว่าง
กวาดสายตาเห็นตัวอักษร ‘สงบสุขแข็งแรง มารทั้งหลายไม่มาผจญ ฉลาดและห้าวหาญ ความเหนื่อยยากไม่มาเยือน! มอบโชคชะตานี้ให้คนรุ่นหลังตระกูลจั่ว!’
“ประกาศิต!”
“ประกาศิต!”
ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ตกตะลึงพูดเป็นเสียงเดียวกัน น้ำเสียงออกจะเสียอาการอยู่บ้าง
ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊มองผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นพลางกล่าว
“ตอนกลางวันผู้ดื่มสุราคุยกับเจ้าเป็นอริยเทพแห่งใดกันแน่ สังเกตเห็นความล้ำลึกของพลังเขาหรือไม่”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นรำลึกพลางกล่าวตอบ
“ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย หากไม่ใช่ว่าเขาเชิญเทพคุมวารีรินสุราก็เหมือน…”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นพูดถึงตรงนี้แล้วเว้นช่วงไป มองมาทางผู้พิพากษาฝ่ายบู๊
“เหมือนคนธรรมดา!”
“เฮือก…”
ต่อให้ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ไม่จำเป็นต้องหายใจก็ยังสูดหายใจเฮือกหนึ่ง หวนนึกถึงการเหลือบมองผ่านหยินหยางเมื่อกลางวันเช่นกัน
สองผู้พิพากษามองหน้ากันเลิ่กลั่กครู่ใหญ่ ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊เหมือนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน
“เมื่อวันก่อนมีผู้ลาดตระเวนราตรีมารายงานเรื่องแปลก บอกว่าบัณฑิตเจ้าของร้านอักษรแห่งหนึ่งในเมืองได้รับเทียบอักษรอัศจรรย์ กลางคืนยมทูตดำต่างไม่อาจจ้องมอง หรือว่าเป็นประกาศิตที่คุณชายแซ่จี้คนนั้นเหลือไว้เช่นกัน”
“คิดว่าใช่แล้ว!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นชื่นชมเทียบอักษรบนโต๊ะโดยละเอียด ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
“อักษรดี… ตระกูลจั่วนี้ร้ายกาจนัก!”
“หึ ผู้สูงส่งมอบประกาศิตยังกล่าวถึงโชคชะตา อ่านอักษรสื่อความหมาย วันหน้าถ้าตระกูลจั่วมีลูกหลานเนรคุณไม่รู้จักดีชั่วจริง ฝ่าฝืนเจตจำนงประกาศิต…”
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นยิ้มกล่าวพลางลูบเคราทอดถอนใจ ต่อจากนั้นค่อยหยิบตำราพิเศษเล่มหนึ่งออกมา ใช้พู่กันพิพากษาเขียนอักษรลงบนนั้น ‘ตระกูลจั่วจังหวัดจวินเทียน…’
ภายในเรือนเดิมสองสามีภรรยาจั่วป๋อหรันหลับแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามนี้จั่วป๋อหรันกลับตื่นขึ้นมา ทั้งรู้สึกว่าได้กลิ่นธูปเลือนราง คล้ายกลิ่นจันทน์หอมภายในศาลเจ้า
การมีอยู่ของประกาศิตทำให้ปุถุชนคนธรรมดาอย่างจั่วป๋อหรันได้กลิ่นกำยานมรรคเซียน
จั่วป๋อหรันรู้สึกแปลกอยู่บ้าง สวมเสื้อผ้าคิดออกไปลองดู แค่เลิกผ้าม่านมาถึงโถงนอกซึ่งกั้นด้วยกำแพง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติไม่ว่ากลิ่นจันทน์หอมนี้ยังแรงขึ้นด้วย
“แปลกจริง ภายในบ้านไม่ได้จุดธูป…”
สองผู้พิพากษาเห็นชายชราอย่างจั่วป๋อหรันทำท่าขยับจมูกจึงสบตากันอีกครั้ง
“หรือว่าคนผู้นี้จะได้กลิ่น”
“ย่อมเป็นผลจากประกาศิต!”
ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊พลันยิ้มน้อยๆ กระซิบบอกผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นประโยคหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังแย้มยิ้ม
“ทำงานร่วมกันมาหลายปี ยากเห็นผู้พิพากษาฝ่ายบู๊นึกสนุกเช่นนี้ ได้ ตกลงตามนั้น!”
ยามสิ้นเสียงผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ถึงกับเผยรูปจำลองด้วยตัวเอง
ผู้สวมชุดขุนนางหมวกขุนนางสีดำสองคน หนึ่งเคราแดงหนึ่งเคราดำ ทั้งถือตำราพู่กันปรากฏตัวตรงหน้ากะทันหัน ทำเอาจั่วป๋อหรันตกใจแทบแย่
“เฮ้ย…! พะ พวกเจ้า…”
จั่วป๋อหรันหกคะเมนหงายหลัง ยื่นมือสั่นเทาพูดจาไม่ชัดเจน
โดยเฉพาะสองคนตรงหน้าเหมือนปกคลุมด้วยเงามืด น่ากลัวหาใดเปรียบโดยแท้ ต่อให้จั่วป๋อหรันมีวิชายุทธ์ติดตัวก็ยังถูกทำให้ตระหนกจนพูดไม่ออก
“ฮ่าๆๆๆๆ… ท่านจั่วไม่ต้องกลัว พวกเราคือผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ บริวารของเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียน ได้รับการไหว้วานจากผู้สูงส่ง มาที่นี่เพื่อบันทึกประวัติตระกูลจั่วโดยเฉพาะ”
“ตาแก่ ตาแก่เจ้าเป็นอะไร”
มีเสียงดังมาจากห้องด้านใน
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นยิ้มพลางประสานมือไปทางจั่วป๋อหรันเล็กน้อย
“จบเรื่องแล้ว พวกเราขอลา!”
พูดจบสองผู้พิพากษาบุ๋นบู๊หันหลังกลับ เดินผ่านประตูหายลับไป เหลือเพียงจั่วป๋อหรันที่เหงื่อซึมหน้าหอบหายใจทรุดอยู่บนพื้นสงบจิตใจ
[1] ยามจื่อ หมายถึง ช่วงเวลา 23:00 – 01:00 น.