วิญญาณทมิฬ “???!!!”
ตอนนั้นมันถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่หันหน้ากลับไปมองดูตู๋กูซิงหลัน
พอมองก็ยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ สีหน้าของนางเรียบสนิท แต่ว่ามุมปากกลับมีเลือดไหลออก
เลือดสดๆ!
แต่ว่านางกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด….ยังคงมองดูจีเฉวียนและสาวน้อยผู้นั้นอย่างเลื่อนลอย
“หลันหลัน เจ้ากระอักเลือดแล้ว?” วิญญาณทมิฬร้องเตือนนางอย่างเจ็บปวดใจ
ถ้าหากยังจะบอกว่านางไม่ได้หวั่นไหวใจไปกับจีเฉวียนละก็…..มันจะยอมแต่งกับราชาสุนัขป่าพร้อมมีลูกด้วยกันไปเลย!
ราชาสุนัขป่าตะวันตกคล้ายจะจับความรู้สึกบางอย่างได้ จึงตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะรู้สึกตัว นางยกมือขึ้นมาปาดเช็ดเลือดทิ้งไป
นี่คงจะเป็นเพราะ….โรคไม่อาจมีความรักกับใครเขาของนางกำเริบขึ้นมา นางถึงได้กระอักเลือด…..จะต้องเป็นเพราะแบบนั้นแน่ๆ
อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยคลายมือจากจีเฉวียน มุมปากของนางยังคงมีโลหิตของจีเฉวียนติดอยู่
ส่วนฝ่าบาท กลับตัวแข็งทื่อไปแล้ว
นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว นี่เป็นสตรีคนที่สองที่พระองค์มิได้ปฏิเสธการเข้าใกล้
สาวน้อยไม่สนใจจะเช็ดเลือดที่มุมปาก นางเดินไปถึงข้างกายฉางซุนซิ่ว ก็คุกเข่าลงไป ทั้งยังยื่นมือไปคล้องคอเขากอดเอาไว้อย่างแนบแน่น “พี่จ๋า ข้ากลับมาแล้ว”
นับตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวขึ้นมา ฉางซุนซิ่วก็ตัวแข็งกลายเป็นหินไปแล้ว
หากมิใช่เพราะว่าได้รับสัมผัสกอดรัดที่สมจริงเช่นนี้ เขาจะต้องรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝัน
ตอนนั้น….เขาเป็นคนฝังอิงเอ๋อร์กับมือ แล้วนางจะ…..จะมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร?
นี่เป็นไปไม่ได้!
แต่ว่าใบหน้านี้….เป็นน้องสาวของเขาจริงๆ นางตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่นางในตอนนี้คล้ายกับว่าไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลย ยังคงดูเหมือนตอนที่อายุสิบสามปีอย่างไรอย่างนั้น
หากว่าตอนนั้นนางยังคงมีชีวิตอยู่ละก็…..ตอนนี้สมควรมีอายุยี่สิบสี่ปีแล้ว
“พี่ ข้าคืออิงเอ๋อร์ไงเจ้าคะ ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” สาวน้อยปล่อยตัวเขา ใช้มือสัมผัสใบหน้าของเขา พลางกล่าวสำทับว่า “ข้ากลับมาแล้ว จะไม่ไปจากพี่อีกแล้วนะเจ้าคะ”
นางสวมใส่ถุงมือสีขาวราวหิมะ บนถุงมือปักลายดอกบัวเอาไว้ แม้จะเป็นการสัมผัสผ่านถุงมือแต่ฉางซุนซิ่วกลับไม่ได้รู้สึกถึงไออุ่นจากตัวนางแม้แต่น้อย
เขาไม่อาจแยกแยะว่านางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือว่าไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วกันแน่
“อิงเอ๋อร์….เป็นเจ้าจริงๆ? ตอนนั้น…..”
สาวน้อยหันมาสบตาเขาครั้งหนึ่ง สายตากวาดเลยไปยังศพทั้งสองทางซ้ายและขวาแต่ก็เหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น นางนั่งลงบนพระศพของฮ่องเต่ผู้ชรา พลางกอดแขนของฉางซุนซิ่วเอาไว้ “พี่เจ้าคะ ข้าตายไปนานหลายปีแล้ว”
เพียงแค่ประโยคเดียว กลับทำให้หัวใจของฉางซุนซิ่วสั่นสะท้าน
“แต่มีท่านเซียนผู้หนึ่งสงสารข้า จึงเก็บรักษาวิญญาณของข้าเอาไว้ แล้วใช้รากบัวเซียนกับดินจากสุสานสร้างร่างเนื้อขึ้นมาให้ข้าใหม่” สาวน้อยกล่าวเบาๆ หลายปีมานี้ข้าไม่ได้กลับมาอยู่ข้ากายพี่และเฉวียน ข้าผิดไปแล้ว”
วิญญาณทมิฬที่อยู่ห่างออกไป “คำพูดนี้เอาไว้หลอกผีสิไม่ว่า? นี่นางเป็นนาจาหรือไง? แล้วจะบอกข้าว่าท่านเซียนหญิงผู้นั้นคือไท่เอ่อเจินเหรินหรือเปล่า?
ตู๋กูซิงหลันเองก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อครู่ตอนที่สาวน้อยผู้นั้นผ่านหน้านางไป นางเองก็ได้กลิ่นดินจากสุสานเช่นกัน
จมูกของจีเฉวียนฉับไวขนาดนั้น ไม่มีทางที่เขาจะไม่ได้กลิ่น
ดังนั้นนางย่อมไม่มีทางปิดบังได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อไม่อาจปิดบัง ก็เลยสารภาพออกมาอย่างเปิดเผยเสียเลย
การจะสร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่นั้น มีแต่เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่ทำได้ ตู๋กูซิงหลันเคยเห็นแต่ในบันทึกของตำราเวทย์เท่านั้น
ใช้ดินจากสุสานมาเป็นตัวชักนำ แล้วผสานเข้ากับวัตถุวิเศษ ก็อาจจะสามารถสร้างร่างเนื้อขึ้นมาได้
จากนั้นชักนำวิญญาณของผู้ตายเข้าสู่ร่างใหม่ ที่นี้ก็จะทำให้สามารถคงอยู่ต่อไปได้
ในนิทานปรัมปราของโลกปัจจุบันก็มีอยู่เช่นเรื่องของนาจา
ถึงแม้ว่าจะเป็นเทพนิยาย แต่ว่าย่อมต้องมีเคร้าโครงที่เป็นจริงอยู่บ้าง
สำหรับนางแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เกรงว่าจะเป็นโครงเรื่องเก่าที่เคยได้เห็นมาจนหมดแล้ว
จิตใจของตู๋กูซิงหลันว้าวุ่นอย่างยิ่ง สมองก็สับสนวุ่นวายไปหมด…. นางพยายามจะบังคับตนเองให้สงบลง ตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าการที่ตนเองอยู่ที่นี่จะยังมีความหมายอะไรอีก
จีเฉวียนตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่….ทั้งยังได้พบกับแสงจันทราในชีวิตแล้ว
ถึงแม้ว่าแสงจันทราดวงนี้จะไม่ใช่มนุษย์แต่ว่าสำหรับเขาแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
นางตบคอของติ๊งต๊องเบาๆ ส่งสัญญาณให้มันพาตนเองจากไป
ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ …..ติ๊งต๊องช่างฉลาดสมกับชาติตระกูลไก่ของมัน
มันกางอุ้งเท้าออกมา ตะกุยดินลงไป จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่จีเฉวียน ยกจงอยปากที่แหลมคมของมันขึ้นมา จิกลงไปอย่างบ้าคลั่ง
ทางหนึ่งจิก ทางหนึ่งก็ส่งเสียงกะต๊าก กะต๊ากไม่ยอมหยุด
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจอมเสเพล!
ตอนอยู่ในวังปากก็บอกว่ารักชอบพี่สาวตัวน้อย พอหันหน้าไปเท่านั้นก็ไปกอดรัดกับหญิงสาวนางอื่นได้หรือ?
หากไม่ได้จิกขาที่สามของเขาให้ขาดไป มันไม่ขอใช้แซ่ติ๊งแล้ว!
มันอาละวาดใหญ่แล้ว ตู๋กูซิงหลันแทบจะถูกมันสะบัดตกลงมา
ยังดีที่จีเฉวียนสายพระเนตรไวพระหัตถ์ก็คล่องแคล่ว แค่ยื่นพระหัตถ์ออกไปก็โอบอุ้มนางมาไว้ในอ้อมพระอุระอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังอุ้มนางในท่าอุ้มเจ้าหญิง
“ซิงซิง?” จีเฉวียนประหลาดพระทัยนัก จึงโอบกอดนางแนบแน่นกว่าเดิม
“หากไม่มาไหนเลยจะรู้ว่าเจ้ากินในชามแล้วยังขยักในหม้อเอาไว้อีก?” วิญญาณทมิฬเริ่มใช้วิชาด่ากระทบอีกครั้ง
แต่ว่าคราวนี้ จีเฉวียนคล้ายจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เจ้าเห็นหมดแล้ว?” พอทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระกร พระทัยของจีเฉวียนก็ยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม
พระองค์ช่าง…..เชื่องช้าเสียจนไม่รู้ถึงการคงอยู่ของนาง
นี่จะต้องเป็นเพราะว่าหน้ากากกันพิษใบนี้ ส่งผลต่อประสาทรับกลิ่นทำให้พระองค์ไม่รู้สึก
ตอนแรกพระองค์คิดจะถอดหน้ากากออกมา แต่พอคิดได้ว่าพระพักตร์มีแต่สิว ก็ทรงรีบกดหน้ากากกลับไปในทันที
พระองค์ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ควรทำให้นางต้องตกใจจะดีกว่า
“อะไรคือ ‘เจ้าเห็นหมดแล้ว’ ?” วิญญาณทมิฬอยากจะชำระแค้นแทนตู๋กูซิงหลัน “นี่มันเท่ากับยอมรับสารภาพโดยมิต้องบอกแท้ๆ! บัดซบ เจ้าชู้เสเพล แล้วยังจะกล้ามาทำอย่างเปิดเผยถึงขนาดนี้ ข้าพึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก!”
ตู๋กูซิงหลันส่งสายตาให้มัน “ไม่ต้องพูดแล้ว”
นางขยับตัวเล็กน้อย กล่าวว่า “ได้ยินว่าที่แคว้นเหยียนเกิดเรื่อง ข้าเป็นห่วงความปลอดภับของพี่ใหญ่ จึงได้มาชมดู”
พี่ใหญ่ตู๋กูจุนที่จัดการเรื่องด้านนอกเรียบร้อยแล้วจึงรีบเข้ามาด้านใน “?”
เมื่อครู่ตอนที่เขานำทัพต่อสู้อยู่ด้านนอก ไม่เห็นน้องเล็กจะลงมือช่วยอะไรเลย แน่ใจหรือว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจริงๆ?
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไร ฝ่าบาททรงปล่อยหม่อมฉันลงเสียดีกว่า หม่อมฉันยืนเองได้”
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้นางถึงได้รู้สึกต่อต้านอ้อมกอดของจีเฉวียนอย่างมาก
ไม่ว่าจีเฉวียนจะเคยผ่านประสบการณ์กับสตรีคนใดมาก่อน นางก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ว่าในเมื่อเขาเคยมีรักลึกซึ้งถึงกระดูกมาก่อน ทำไมจะต้องมาบอกกับนางว่าไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ใดมาก่อนด้วย?
ตู๋กูซิงหลันฉุนจนขึ้นสมองแล้ว นางเองก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันคืออะไรกันแน่
เดิมทีนางก็ไม่ได้ชอบจีเฉวียน แล้วจะต้องมาอึดอัดไปทำไม?
“เราไม่ปล่อย” จีเฉวียนยังคงอุ้มนางเอาไว้ และเพราะเกรงว่ากลิ่นคาวเลือดจากพระศอของพระองค์จะรบกวนนาง จึงจงใจขยับพระศอออกห่างจากนางอีกหน่อย
“ดูสิ ในใจมีพิรุธแล้ว!” วิญญาณทมิฬชี้อย่างเอาเป็นเอาตาย
สหายติ๊งต๊องก็ยิ่งให้ความร่วมมือจะจิกขาที่สามของพระองค์ให้ถึงตายให้จงได้
ฝ่าบาททรงสะบัดพระบาทออกไป ได้ยินเสียงติงตัง รองพระบาทเหล็กถึงกลับเป็นรู
แต่ลูกถีบนี้ก็สามารถส่งติ๊งต๊องลอยกระเด็นไปไกลได้เหมือนกัน พระองค์หันพระพักตร์กลับมามองดูตู๋กูซิงหลัน พยายามยับยั้งพระทัยที่จะจูบนางอย่างกระทันหัน
“ซิงซิงมาแล้ว เป็นเพราะว่าเป็นห่วงเราสินะ”
………………………….
ตอนต่อไป “เราเป็นคนช่างจดจำความแค้น”
นาจา (哪吒) : ว่ากันว่านาจาคือสุดยอดของเด็กแสบ พวกเทพมาเกิดแต่สร้างปัญหาไปทั่ว ทั้งถล่มวังมังกร ก่อสงคราม หลังจากที่นาจาเฉือนเนื้อคืนแม่ เฉือนกระดูกคืนพ่อเพื่อชดใช้ความผิด วิญญาณก็ลอยกลับไปซบอกอาจารย์ ท่านอาจารย์สงสารจึงใช้รากบัวเซียนมาปั้นเป็นร่างเนื้อชุบชีวิตให้เขาใหม่อีกครั้ง ตอนหลังนาจาสำนึกตนได้ เลิกก่อความเดือดร้อน จึงได้กลับใจเป็นเทพที่ดี