ตอนที่ 107 แปรหมากดั่งฝันสามปี
มารดาตระกูลอิ๋นเดินเข้าใกล้ลานมาดูสามีของตนก่อน พบว่าใบหน้าเขาแดงก่ำ นอนหมอบหลับสนิท เหลือบมองภายในลานอีกครั้ง ไม่มีใครสักคน
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่ามีผู้อาวุโสค่อนข้างน่ากลัวคนหนึ่งมอมเหล้าพ่อเจ้าไม่ใช่หรือ เขาจากไปแล้วหรือ”
อิ๋นชิงมองซ้ายมองขวา วิ่งไปดูนอกประตูเรือน ไม่เห็นใครสักคน
“บางทีอาจจากไปแล้วกระมัง…”
มารดาตระกูลอิ๋นแตะหน้าสามีตน พบว่าร้อนอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้กลิ่นสุรานัก
“ชิงเอ๋อร์ รีบมาช่วยแม่หน่อย พวกเราแบกพ่อเจ้ากลับไปนอนที่บ้าน พ่อเจ้าดื่มสุราไปเท่าไหร่กัน”
“ไม่เท่าไหร่เอง ข้าเห็นท่านพ่อดื่มจอกเดียวก็ฟุบแล้ว”
อิ๋นชิงวิ่งตึงตังกลับมาจากประตูเรือน เพิ่งคิดช่วยมารดาตระกูลอิ๋นประคองบิดาขึ้นมา แต่กลับนึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสคนนั้นกะทันหัน เขารีบห้ามมารดาไว้
“ไม่ได้ๆ ผู้อาวุโสนั่นบอกว่าคืนนี้ให้ท่านพ่อนอนที่นี่ พวกเราอย่าขยับตัวท่านพ่อเลย ให้เขานอนเถอะ!”
ขณะกล่าวอิ๋นชิงคลุมผ้าห่มบนตัวบิดาตน ยังจับผ้าห่มส่วนที่ห้อยลงมาเหน็บหน้าอกบิดาตนอย่างระวัง ทั้งยังขมวดปมด้วย
มารดาตระกูลอิ๋นเห็นว่าแปลกประหลาด
“ทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าพ่อเจ้านอนที่นี่แล้วไม่สบายเล่า เขาใกล้จะไปสอบ อย่าเดินทางล่าช้าเพราะป่วยเลย!”
“ท่านแม่! ผู้อาวุโสคนนั้น…”
อิ๋นชิงพูดถึงตรงนี้แล้วมองซ้ายมองขวาอย่างร้อนตัว เดินมาอยู่ข้างกายมารดาตน กล่าวใกล้ริมหูนางด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผู้อาวุโสคนนั้นเป็นสหายสนิทของท่านจี้ บางที… อาจไม่ใช่คนธรรมดา ฟังคำพูดเขาดีกว่า!”
เมื่อมารดาตระกูลอิ๋นได้ยินคำพูดนี้ การเคลื่อนไหวของมือหยุดชะงักเช่นกัน
จี้หยวนคือยอดบุคคล ภายในอำเภอหนิงอันเมื่อสองสามปีก่อน สำหรับเพื่อนบ้านคนอื่นแล้วเรื่องนี้เป็นประเด็นสนทนาชวนสงสัยเจือความเกินจริงยามว่างหลังอาหาร สำหรับคนตระกูลอิ๋นถือว่าเป็นเรื่องจริง
วันนี้หลังผ่านมาสามปี ผู้กล่าวถึงท่านจี้ในอำเภอหนิงอันไม่มากแล้ว คาดว่าเหลือแค่เถ้าแก่ซุนแห่งร้านบะหมี่ตระกูลซุนพูดถึงยามเจออิ๋นจ้าวเซียนเป็นครั้งคราว
แต่คนตระกูลอิ๋นไม่มีทางลืมจี้หยวน ดังนั้นเมื่อบุตรชายกล่าวเช่นนี้ มารดาตระกูลอิ๋นใคร่ครวญก่อนทิ้งความคิดที่จะประคองสามีตนกลับบ้านไปนอน
“เช่นนั้นจะปล่อยบิดาเจ้านอนค้างคืนที่นี่หรือ”
“อืม ท่านแม่วางใจเถอะ กลางคืนข้าจะตื่นมาดูท่านพ่อบ่อยๆ!”
มารดาตระกูลอิ๋นได้ยินคำพูดนี้ของบุตรชายตน นางยื่นมือเคาะหัวเขาแล้วยกสองมือเท้าสะเอว
“อะไรเรียกว่าตื่นมาดูบ่อยๆ พ่อเจ้าเมาสุรา กลางคืนยากจะรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ครึ่งคืนแรกเจ้ายกน้ำชามาดูพ่อเจ้าที่นี่ ครึ่งคืนหลังข้ามาแทนเจ้า รู้แล้วใช่หรือไม่!”
อิ๋นชิงลูบหน้าผากตอบรับเบาๆ “รู้แล้ว”
ในใจรู้สึกว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นห่วงท่านพ่อยิ่งกว่าเดิม
เมื่อถึงครึ่งคืนหลัง ความรู้สึกนี้ของอิ๋นชิงยิ่งเด่นชัด เขานอนหลับไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเคาะเกราะบอกยามสามสักพักแล้ว แต่ท่านแม่ยังไม่มา
แม้ว่ายังไม่เข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศไม่ถือว่าเย็นนัก แต่สุดท้ายการนอนหมอบกลางลานนี้ก็ไม่สบายตัว อิ๋นชิงจำต้องรินชาดื่มสองอึกรอมารดามา ผลคือเมื่อรู้ว่าเสียงเคาะเกราะบอกยามสี่ มารดาเพิ่งลอยชายมาสายด้วยสีหน้าขออภัย…
รุ่งอรุณวันที่สอง
เอ้ก… อี้เอ้กเอ้ก…
เมื่อเสียงไก่ขันแรกของตรอกเทียนหนิวดังขึ้น อิ๋นจ้าวเซียนลืมตาอย่างเป็นธรรมชาติ
รู้สึกว่าบนตัวคลุมผ้าห่ม เมื่อหันมองจึงพบว่าภรรยาตนคลุมผ้าห่มนอนหมอบอยู่ข้างกายตนเช่นกัน มองโดยรอบอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง พบว่ายังอยู่กลางลานเรือนสันติ บนโต๊ะหินยังมีกาน้ำชาถ้วยชาวางอยู่
“น่าแปลก ทำไมข้าถึงหลับอยู่ตรงนี้”
จากนั้นเมื่อใคร่ครวญโดยละเอียด อิ๋นจ้าวเซียนนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมา มีผู้อาวุโสไม่ธรรมดาคนหนึ่งเรียกตัวเองว่าสหายของท่านจี้ ไม่เพียงกลืนผลพุทราครึ่งต้นในคำเดียว ยังเชิญเขาดื่มสุราจอกหนึ่งด้วย จากนั้นก็ไม่มีภาพความทรงจำระหว่างนั้นแล้ว
อิ๋นจ้าวเซียนเงยหน้ามองเหนือศีรษะ ผลบนต้นพุทราน้อยลงครึ่งหนึ่งดังคาด ดูท่าว่าไม่ใช่ความฝัน
‘หรือข้าดื่มจอกหนึ่งแล้วเมาจนไม่รู้เรื่องราว?’
ยามคิดเช่นนี้อิ๋นจ้าวเซียนพลันพบว่าบนต้นพุทราผิดปกติอยู่บ้าง
“เอ๋? ทำไมผลพุทราถึงมีบางส่วนแดงแล้ว”
เห็นแค่บนกิ่งก้านมีผลพุทราเปลี่ยนเป็นสีแดงถ้วนทั่วประปราย ดูสะดุดตาเมื่ออยู่กลางสีเขียวเต็มต้น แต่แค่มองชั่วคราวไม่คิดมากความ
อิ๋นจ้าวเซียนแตะหน้าผาก ไม่รู้สึกปวดหัวหลังเมาค้างอะไร หันมองฮูหยินของตน เกรงว่าคงอยู่เป็นเพื่อนตนทั้งคืน ในใจรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่น
เดิมเขาคิดจะปลุกนาง ตอนนี้แม้ว่าเสียงไก่ขันดังเป็นระลอกแล้ว แต่เห็นว่าท้องฟ้ายังมีเพียงแสงสลัว เขาทำใจรบกวนฮูหยินของตนไม่ได้
เขาหยิบผ้าห่มบนตัวตนวางลงบนโต๊ะหิน อิ๋นจ้าวเซียนลุกขึ้นขยับแข้งขา นั่งมาทั้งคืนแต่กลับไม่รู้สึกปวดเมื่อยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย!
‘พรุ่งนี้ออกเดินทางแล้ว!’
…
ลมสารทพัดมาอีกระลอก บนพื้นดินนาข้าวออกรวงทองอร่าม ส่วนลึกของป่าเขาเริ่มออกผลใบเฟิงแดง
อาณาเขตจังหวัดจวินเทียนรัฐอี๋ บนยอดเขาเตี้ยตรงส่วนลึกเขาสมดุลมีถ้ำหินลึกสองจั้งกว่าแห่งหนึ่ง ภายในมีคนสวมเสื้อมอมแมมผอมซูบราวท่อนไม้นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตามองกระดานหมากตรงหน้าตลอด
เปรี๊ยะ…
หมากเคลือบขาวตัวหนึ่งเพิ่งวางลงก็กลายเป็นเศษกระเบื้องตรงปลายนิ้ว เงาร่างคนพลันสะท้านไหว ในที่สุดก็ได้สติกลับมา
วู้ม… วู้ม…
กระบี่เครือเขียวซึ่งพิงอยู่นอกถ้ำหินตื่นเต้นจนส่งเสียงครวญต่อเนื่อง ทั้งตัวกระบี่กับฝักกระบี่สั่นไม่หยุด
“ฮู่…”
จี้หยวนอ้าปากแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก คอแห้งผากจนได้แต่ส่งเสียงผ่อนลมหายใจแหบพร่า
ในสายตาพร่ามัวเห็นกิ่งใบไม้ร่วงหล่นข้างกาย มองเห็นมูลสัตว์กลางเขา ได้ยินเสียงลมสารทพัดผ่านป่า ได้ยินเสียงน้ำพุหลั่งรินกลางหุบเขา ทั้งได้กลิ่นผลไม้สุกงอมหรือยังดิบเป็นระลอก…
ชั่วพริบตาที่ได้สติจี้หยวนทำสมองให้โล่งเต็มกำลัง ควบคุมตนเองไม่ให้ไปคิดเรื่องเกินความจำเป็นใดๆ เรื่องที่ต้องทำมีแค่อย่างเดียว นั่นก็คือกินอาหารดื่มน้ำ!
“ฮู่… ฮู่…”
เขายันผนังลุกขึ้นยืนกลางถ้ำหินโดยส่ายสั่นไปมา จี้หยวนเดินโซซัดโซเซออกจากถ้ำ ท่ามกลางเสียงครวญกระบี่เครือเขียวลอยตามหลังมาติดๆ
เขาตามกลิ่นผลไม้มาถึงใต้ต้นลูกพลับป่าต้นหนึ่ง เงยหน้ามองไปเห็นภาพคลุมเครือเลือนรางทั้งแถบ ยื่นมือคิดคว้าแต่กลับเอื้อมไม่ถึง กลับกลายเป็นว่าตัวซวนเซจนเกือบล้มลง
ชิ้ง…
เสียงกระบี่ครวญดังกังวาน กระบี่เครือเขียวออกจากฝักเป็นครั้งแรกในรอบสามปี ภูเขาทั้งลูกเหมือนเปล่งแสงชั้นหนึ่ง มันห้อทะยานวาบผ่าน ผลบนต้นลูกพลับป่าทยอยร่วงลงมาพร้อมกิ่งดุจสายฝน
จี้หยวนคุกเข่าอยู่บนพื้น เก็บผลไม้บนพื้นขึ้นมาอย่างสั่นเทา ลูกพลับป่านี้ใหญ่กว่าผลพุทราไม่เท่าไหร่ ผลเหลืองอมแดงน่าเย้ายวนเป็นพิเศษ
แต่จี้หยวนไม่สนใจอะไรแล้ว เก็บส่งเข้าปากทีละลูก ไม่ล้างและไม่เช็ด ทั้งไม่คายเม็ด เคี้ยวพอแหลกแล้วกลืนลงท้อง ความเร็วในการกินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วมือปากเต็มไปด้วยน้ำผลไม้
ผ่านไปหนึ่งเค่อกว่า ผลไม้ร่วงหล่นถูกกินจนหมด แต่จี้หยวนยังไม่หยุด ตามหาอย่างบ้าคลั่งกลางป่าต่อ ผลไม้กินได้ล้วนกินหมดแล้ว สุดท้ายมาถึงริมลำธารสายหนึ่ง เขานอนคว่ำริมธารดังตึงทั้งอย่างนั้น
จี้หยวนจุ่มหัวลงกลางลำธาร
“อึก… อึก… อึก… อึก…”
เขาดื่มน้ำจนท้องป่องขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าคราวเดียวดื่มน้ำแร่ภูเขาไปเท่าไหร่ ในลำธารมีกุ้งฝอยปลาน้อยปูปลาอะไรล้วนไม่ปล่อยไป กลืนลงท้องทั้งเป็นทีละตัว…
ซ่า…
จี้หยวนซึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิงเงยหน้าขึ้นมา นอนบนก้อนหินหอบหายใจหนักปล่อยให้ตัวเปียกปอน
“ฮู่… ฮู่… ฮู่… ฮู่…”
นอนแผ่อยู่ครึ่งชั่วยาม จี้หยวนซึ่งฟื้นตัวกลับมาบ้างลุกขึ้นนั่ง
ยกมือมองนิ้วตน เดิมผอมเหมือนซากกระดูก ตอนนี้ดูดีขึ้นมาบ้าง เขาไม่รู้ว่าครึ่งวันมานี้ตนกินผลไม้ป่ากับดื่มน้ำไปเท่าไหร่กันแน่ รู้แค่ก่อนหน้านี้ทุกการกระทำของตนเป็นเพียงสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด
เวลาซึ่งเสียไปกับการแปรหมากครั้งนี้เหนือการคาดเดาของจี้หยวนมาก แม้ไม่รู้เวลาอย่างเป็นรูปธรรม แต่ไม่มีทางสั้นแน่ ตอนนั้นตนรู้สึกสั่นสะท้านอย่างมาก ไม่ใช่สภาพมีสติตื่นรู้โดยสมบูรณ์
ยึดติดสับสนงงงวยเหมือนตอนเริ่มแปรหมาก เมื่อครู่ชั่วพริบตายามจี้หยวนได้สติก็มีความรู้สึกแบบนั้น เขากำจัดความคิดอื่นทั้งหมดด้วยเจตจำนงหนักแน่น เหลือเพียงสัญชาตญาณตามหาของกิน
ด้วยจี้หยวนรู้ดีเช่นกันว่ามรรควิถีตอนนั้นของตนมีความสามารถแค่ไหน ไม่กินไม่ดื่มกี่เดือนจึงไม่เป็นไร แต่หากนานกว่านี้ เกรงว่าคงมีอันตรายถึงชีวิต
ชาติก่อนยามเดินจากกระดานหมาก เจอทีมช่วยเหลือบอกเวลาจนตาย ทำให้จี้หยวนคิดเชื่อมโยงถึง ‘วิธีนกเป็ดน้ำ’ ซึ่งผู้อาวุโสสวี่เคยกล่าวตอนอยู่หมู่บ้านซั่งเหอโกวอำเภอซุ่ยหย่วนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
ตนที่เพิ่งได้สติอาจมีสภาพคล้าย ‘ปี่กานควักหัวใจ[1]’
จี้หยวนไม่กล้าเสี่ยงอันตรายคราวนี้ ไม่กล้าปล่อยให้ตนคาดเดาหรือวิเคราะห์จนผ่านเวลาไปนานนัก ทั้งไม่กล้าเจอคนอื่นจนถูกกล่าวเตือนอะไร อย่างน้อยก่อนร่างกายได้รับการบำรุงเขาย่อมไม่กล้า
มิฉะนั้นมีโอกาสสูงว่าจะเจอ ‘วิธีนกเป็ดน้ำ’ ‘เตือนสติ’ คนซึ่งเดิมสมควรตาย ทำให้พลังชีวิตตนหมดสิ้น!
แต่มาถึงตอนนี้ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว
จี้หยวนผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ยิ้มเยาะตนเอง เริ่มแรกแค่แค่นหัวเราะ ภายหลังรอยยิ้มกว้างขึ้น สุดท้ายค่อยหัวเราะเหมือนบ้าคลั่ง
“พรืด… หึๆๆ… หึๆ หึๆๆๆ… หึๆ ฮ่าๆๆ… ฮ่าๆๆๆๆ…”
ครืนๆๆๆ… เสียงหัวเราะสะเทือนทั่วทิศ กลางป่าเขาสรรพสัตว์แตกตื่น…
[1] ปี่กานควักหัวใจ ตำนานเล่าว่าปี่กานเป็นอัครมหาเสนาบดี รับใช้แผ่นดินด้วยความภักดี เตือนฮ่องเต้ผู้ลุ่มหลงสุรานารีให้หันมาสนใจราชกิจ ด้วยขัดหูขัดตาสนมเอกซึ่งฮ่องเต้หลงรักยิ่ง สนมเอกแกล้งป่วยเป็นโรคประหลาด บอกว่าต้องใช้หัวใจปี่กานรักษา เจียงไท้กงเทพอาวุโสร้อนใจหาทางช่วยปี่กาน แปลงกายมามอบยาวิเศษก่อนล่วงหน้า เมื่อปี่กานไปเข้าเฝ้าแล้วทราบเรื่องสนมเอก ด้วยความจงรักภักดีปี่กานตอบตกลง ควักหัวใจของตนออกมา แต่กลับยังมีชีวิตอยู่เพราะฤทธิ์ยาวิเศษ เขาก้าวออกจากวังหลวง เดินทางร่อนเร่ โปรยเงินโปรยทองแจกชาวบ้าน กระทั่งได้ยินหญิงชาวบ้านร้องขายผักบุ้ง (ผักบุ้งภาษาจีนคือผักไม่มีหัวใจ) ปี่กานตระหนักขึ้นมาได้ ล้มลงเสียชีวิตทันที ด้วยโปรยเงินแจกจ่าย ไม่เลือกบุคคลหรือเลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อสิ้นชีพเขาจึงกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น