ตอนที่ 111 ฮูหยินแดง
จังหวัดชุนฮุ่ย รัฐจี สนามสอบแบบปิดของการสอบขุนนางระดับเมืองเอก ผู้เข้าสอบซึ่งบ้างมั่นใจมากบ้างวิตกกังวลกลุ่มหนึ่งรออยู่ข้างนอก
สนามสอบแบบปิดคือสนามสอบเฉพาะซึ่งมีในการสอบขุนนางทุกระดับ แค่ขนาดต่างกันตามระดับ ผู้สมัครซึ่งมีคุณสมบัติสอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัด ย่อมมาเข้าร่วมการสอบระดับเมืองเอกที่เมืองเอกประจำรัฐ ส่วนรัฐจีจัดขึ้นที่จังหวัดชุนฮุ่ย
สนามสอบแบบปิดของจังหวัดชุนฮุ่ยชายคาสูงตัวห้องลึก เป็นห้องปิดซึ่งครอบครองพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ภายในมีประตูไม้กันลม แบ่งเป็นห้องเดี่ยวขนาดเล็กเรียบง่ายมากมาย ผู้เข้าสอบทุกคนต้องเขียนบทความตามลำพังอยู่ที่นี่จนเสร็จ
เวลานี้เป็นช่วงก่อนเข้าสอบ เป็นช่วงที่ทุกคนตื่นเต้นที่สุด รวมถึงอิ๋นจ้าวเซียนด้วย เหล่าบัณฑิตก้งซื่อ[1]น้อยใหญ่ต่อแถวยาวอยู่นอกสนามสอบแบบปิด บ้างกระซิบกระซาบบ้างเปิดอ่านตำราอยู่ตลอด
ต่างจากชาติก่อนของจี้หยวน ผู้สมัครซึ่งรอสอบอยู่ที่นี่ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนยิ้มเยาะตนเองว่าไม่ใช่บัณฑิตหนุ่มอีก แต่ความจริงเมื่ออยู่ที่นี่วัยอย่างเขาไม่ถือว่ามาก ภายในแถวถึงขั้นไม่ขาดผู้สมัครผมสีดอกเลา
อิ๋นจ้าวเซียนไม่ได้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยามจวนตัว แค่มองสนามสอบแบบปิดแห่งนี้อย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง
นึกถึงบัณฑิตอิ๋นผู้ฮึกเหิมเมื่อปีนั้น การสอบระดับอำเภอครองอันดับหนึ่งโดยง่าย การสอบระดับจังหวัดจัดอยู่ในอันดับต้น สุดท้ายการสอบระดับเมืองเอกเขากลับพลาดสามอันดับแรกไม่มีวาสนากับอันดับต้น ขาดคุณสมบัติมุ่งหน้าไปเมืองหลวงจังหวัดจิงจี
การสอบขุนนางพลาดท่าทำให้อิ๋นจ้าวเซียนล้มแล้วไม่อาจกลับมายืนหยัดอยู่บ้าง กอปรกับทางบ้านมีผู้อาวุโสป่วยตาย บุตรภรรยาต้องการที่พึ่งและคนดูแลในการใช้ชีวิต กระทั่งลงหลักปักฐานที่อำเภอหนิงอัน
บัณฑิตบางคนอาจพึ่งภรรยาหาเลี้ยงฝืนอ่านตำราเข้าร่วมการสอบอย่างต่อเนื่อง แต่อิ๋นจ้าวเซียนกลับไม่ใช่คนแบบนั้น ทั้งไม่อยากให้ภรรยาลำบากเกินไป ด้วยความรู้ของเขาย่อมมีเศรษฐีในอำเภอมากมายเชิญไปเป็นอาจารย์
แม้ว่าชีวิตเรียบง่ายจะดี แต่บางครั้งกลับกลืนกินเจตจำนงเช่นกัน ต่อให้ทางบ้านใช้ชีวิตดีและมีเงินออม แต่อิ๋นจ้าวเซียนกลับไม่คิดเข้าร่วมการสอบขุนนางอีกครั้ง กระทั่งสามปีก่อนยามจี้หยวนจากไปแล้วทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ทำให้เขาแสดงปณิธานชัดแจ้ง
ตอนนี้มีขุนนางเมืองเอกก้าวออกมาจากสนามสอบแบบปิดหลังตรวจสนามสอบเสร็จ พยักหน้าไปทางเจ้าหน้าที่จัดระเบียบซึ่งอยู่ด้านข้าง
เจ้าหน้าที่ทางการสูดลมหายใจเต็มปอดก่อนเอ่ยปากตะโกน
“การสอบระดับเมืองเอกครั้งนี้เริ่มแล้ว บัณฑิตก้งซื่อทุกท่านพกพู่กันหมึกจานฝนกล่องอาหารติดตัวได้ กระดาษน้ำสะอาดสนามสอบแบบปิดมอบให้ ก่อนเข้าสนามสอบแบบปิดโปรดเตรียมเอกสารสมัครสอบ รับการค้นตัวจากเจ้าหน้าที่ ตอนนี้เริ่มเข้าสนามได้…”
ผู้สมัครสอบครั้งนี้มีกันหลายร้อยคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้อาศัยความสามารถบุกฝ่าขวากหนามสอบติดจากทุกจังหวัดทุกอำเภอทั่วรัฐจี ผู้สมัครก้งซื่อบางคนตรงหัวแถวหูอื้อเพราะเสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ซึ่งมีวิชายุทธ์มากมายค้นตัวทีละคน ตรวจสอบของติดตัว ถึงขั้นใช้ตะเกียบพลิกอาหารในกล่องข้าวของเหล่าก้งซื่อ ดูว่าซ่อนอะไรไว้หรือไม่
ขุนนางสี่คนที่นั่งอยู่ด้านข้างตรวจสอบเอกสารของก้งซื่อทีละคน ยืนยันฐานะของผู้มาเยือน
ทุกขั้นตอนนอกจากไม่มีกล้องวงจรปิดและผู้มีเส้นสายแล้ว ความจริงถือว่าเข้มงวดกว่าตอนนักเรียนเข้าสอบสมัยปัจจุบัน
อิ๋นจ้าวเซียนถือกล่องเตรียมสอบของตน ภายในนอกจากพวกเครื่องเขียนแล้วเขายังซื้อ ‘อาหารก้งซื่อ’ มาจากหอสุราใกล้สนามสอบแบบปิด ยามถูกค้นตัวขุนนางเมืองเอกผู้ตรวจเอกสารคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามเขาอย่างกะทันหัน
“เจ้าคืออิ๋นจ้าวเซียนหรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนอึ้งงันครู่หนึ่ง ประสานมือไปทางเขา
“ขอรับ ใต้เท้าท่านนี้รู้จักข้าน้อยหรือ”
“ไม่รู้จักหรอก ตอนข้าไปสำนักศึกษายอดวาโยเคยเห็นบทความปฐมบัณฑิตกับบทความท่องราตรีของ ‘วาทหมู่ปักษา’ ซึ่งเหล่าศิษย์พกติดตัว ถือว่าน่าสนใจอยู่บ้าง”
อิ๋นจ้าวเซียนรีบคารวะอีกครั้ง
“ผลงานต่ำต้อยของผู้น้อย ไม่กล้ารับคำชมของใต้เท้า!”
“อืม เข้าไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะสอบติดอันดับหนึ่ง”
“ผู้น้อยย่อมทำเต็มกำลัง!”
ขุนนางคนนี้หยิบพู่กันมาทำเครื่องหมายตรงชื่ออิ๋นจ้าวเซียนบนสมุดบันทึก มอบป้ายหมายเลขให้เขา ส่งสัญญาณบอกเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยไปได้
มองส่งอิ๋นจ้าวเซียนเข้าสู่สนามสอบแบบปิด ขุนนางคนนี้ลูบเคราก่อนตรวจสอบก้งซื่อคนต่อไป
ภายในสนามสอบแบบปิด ห้องกั้นแตกต่างจากตอนนั้นบ้างเล็กน้อย อิ๋นจ้าวเซียนมองป้ายหมายเลข กระทั่งเจอ ‘แถวสี่ห้องยี่สิบเจ็ด’ ของตน
รออีกประมาณสองเค่อ บัณฑิตทุกคนเข้าสู่สนามพร้อมเจอที่นั่งแล้ว ยังมีผู้คุมสอบตรวจเอกสารและป้ายหมายเลขทีละคน ยืนยันว่าไม่มีใครนั่งผิด
หน้าสนามสอบ มีผู้คุมสอบยืนประกาศเสียงดัง
“เวลาสอบวันนี้คือสองชั่วยาม ครบหนึ่งชั่วยามต่อธูปทันที ส่งข้อสอบก่อนธูปหมด มิฉะนั้นถูกคัดออก! ตอนนี้เปิดหัวข้อการสอบได้!”
ยามสิ้นเสียงสนามสอบสี่ด้านต่างมีเจ้าหน้าที่แขวนป้ายอักษรพื้นขาว บนนั้นเขียนเนื้อหาการสอบครั้งนี้
หัวข้อการสอบมีสองประเด็นได้แก่ ‘ถกกลยุทธ์ช่วยภัยแล้ง’ และ ‘แต่งกลอนชมฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งบท’
ต่างจากการสอบระดับอำเภอและจังหวัด การสอบระดับเมืองเอกไม่เน้นความรู้พื้นฐานอย่างการเขียนบทความซึ่งจำมาอีก แต่เริ่มตระหนักถึงความสามารถ ปีนี้ถึงกับมีหัวข้อถกกลยุทธ์บนการสอบระดับเมืองเอกอย่างยากพบเห็น ทำให้ผู้เข้าสอบไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์
“สำรวมตน…”
เจ้าหน้าที่ส่งเสียงตะโกนลั่น
“เริ่มการสอบ เปิดนาฬิกาน้ำ ตีฆ้อง…”
เจ้าหน้าที่ทางการด้านข้างกำค้อนไม้หุ้มผ้า ตีฆ้องทองแดงเต็มแรง
โหม่ง…
เสียงดังเหมือนเคาะใจเหล่าก้งซื่อ ทุกคนรีบจดจ่อนั่งตัวตรง บ้างขบคิดใคร่ครวญบ้างขยับพู่กันแล้ว…
เชื่อว่าการแต่งกลอนคงไม่ยากสำหรับผู้มีความสามารถส่วนใหญ่ เรื่องยากคือการถกกลยุทธ์ต่างหาก แนวคิดอิ๋นจ้าวเซียนแจ่มชัด เรื่องช่วยภัยแล้งร้อยคนเขียนอาจเหมือนกัน แต่บัณฑิตซึ่งสามารถเขียนสิ่งมีประโยชน์กลับไม่มาก อิ๋นจ้าวเซียนคือหนึ่งในข้อยกเว้น
‘ภัยแล้งเป็นหนึ่งในภัยพิบัติ ดังคำกล่าวว่าประชาชนเห็นอาหารสำคัญเทียมฟ้า เมื่อเกิดภัยแล้งภัยมนุษย์มาเยือน ภัยมนุษย์ก่อเกิดโรคระบาด บริหารไม่ดีย่อมแค้นเคือง ใช้มาตรการรุนแรงยิ่งอันตราย…’
จรดพู่กันดุจมีชีวิต สะบัดหมึกไม่หยุด อิ๋นจ้าวเซียนเขียนบทนำอย่างต่อเนื่อง แนวคิดไม่เพียงแจ่มชัด ตัวอักษรยังพัฒนาเพราะคัดลอกเทียบอักษรของจี้หยวนบ่อยๆ
…
หลังส่งข้อสอบแน่นอนว่าถึงเวลาอ่านอย่างตึงเครียด ขุนนางเมืองเอกไม่น้อยเข้าร่วมด้วย
บทความช่วยภัยแล้งของอิ๋นจ้าวเซียน สุดท้ายถึงขั้นผ่านตาจือฝู่[2]และจือโจว[3] แม้ว่ารัฐจีฝนตกต้องตามฤดูกาลเกือบทุกปี แต่ใช่ว่าขุนนางจะปกครองดินแดนหนึ่งจนตาย ส่วนมากเคยเจอภัยแล้งต่างรัฐเช่นกัน พวกเขารู้ว่าบทความนี้ของอิ๋นจ้าวเซียนเป็นบทความพิจารณารอบด้าน
จือโจวหลี่โฮ่วถึงขั้นกล่าวว่า “แม้ว่าบทความเขามีช่องว่างชวนเพ้อฝันอยู่บ้าง แต่กลับละเอียดรอบด้าน ขุนนางผู้มีความสามารถตื้นเขินใช้กลยุทธ์นี้ช่วยภัยแล้งได้!”
ถือว่าเป็นคำประเมินสูงสุดแล้ว
…
ด้วยการสอบระดับรัฐของต้าเจินมักจัดช่วงฤดูใบไม้ร่วง ยามประกาศผลสอบส่วนมากเป็นช่วงดอกหอมหมื่นลี้เบ่งบาน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ‘กระดานหอมหมื่นลี้’
หลังจากนั้นครึ่งเดือน นอกสนามสอบแบบปิดจังหวัดชุนฮุ่ยประกาศกระดานหอมหมื่นลี้
อิ๋นจ้าวเซียนไม่เบียดไปข้างหน้าสุดตัวเหมือนคนอื่น ผลลัพธ์ถูกกำหนดแล้ว ใช่ว่าเจ้าเบียดเสียดจนหัวแตกแล้วเปลี่ยนแปลงได้
แต่บนกระดานมีบางตำแหน่ง ไม่ต้องเบียดไปข้างหน้าก็เห็นชัดจากรอบนอก
รายชื่อใหญ่สุดตรงยอดกระดานหอมหมื่นลี้รัฐจี บรรทัดแรกเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่
อันดับหนึ่งเจี้ยหยวน ‘อิ๋นจ้าวเซียน’
“อิ๋นจ้าวเซียนเป็นใครกัน”
“เขาคือเจี้ยหยวนหรือ”
“ใครรู้จักอิ๋นจ้าวเซียนบ้าง”
“ไม่รู้จัก…”
…
เสียงวิจารณ์มากมายเบื้องหน้าทยอยดังมาถึงด้านหลัง แม้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนรู้อยู่ว่าตนจะติดอันดับต้น แต่กลับไม่เคยหวังตำแหน่งเจี้ยหยวน ตอนนี้หัวใจกระตุกเล็กน้อย เขารีบลูบหน้าอกตนเอง
เริ่มจากการสอบระดับเมืองเอก จนกระทั่งถึงการสอบระดับเมืองหลวงและการสอบหน้าพระที่นั่ง อันดับหนึ่งย่อมมีคำว่า ‘หยวน’ ได้แก่เจี้ยหยวน ฮุ่ยหยวน จ้วงหยวน ไม่ว่าตำแหน่งไหนก็เป็นความสำเร็จซึ่งสร้างเกียรติแก่วงศ์ตระกูล
ภายหน้ายามคนอื่นเรียกอิ๋นจ้าวเซียน มีโอกาสสูงที่จะเรียกอย่างให้เกียรติว่า ‘อิ๋นเจี้ยหยวน’
เมื่อกระดานสุดท้ายเปิดเผยฐานะ ไม่สนว่าจริงใจหรือไม่ การกล่าวยินดีกับผู้มีรายชื่อถือเป็นธรรมเนียม แน่นอนว่าอิ๋นจ้าวเซียนย่อมเป็นศูนย์รวมสายตา
คืนนั้นทางการเมืองเอกจัดงานเลี้ยงกวางฟาน[4]แสดงความยินดีกับก้งซื่อผู้ถูกเลือกและเหล่าเจ้าหน้าที่ ต่อให้อิ๋นจ้าวเซียนรู้ว่าตนคออ่อนก็ไม่อาจไม่ดื่มเหล้าในงานเช่นนั้น
ถึงตอนท้ายเขาถูกเจ้าหน้าที่ประคองมาส่งถึงโรงเตี๊ยมโดยแทบไม่รู้เรื่องราว
กลางดึกมีเงาแดงรางเลือนลอยล่องมาจากนอกจังหวัดชุนฮุ่ย เมื่อเข้าใกล้เมืองเงาแดงเดินเล่นสักพักก่อนเหยียบกำแพงเมืองกระโดดเข้ามา
ภายในเมืองสถานที่ซึ่งยังคงจุดตะเกียงสว่างมีไม่มาก เงาแดงก้าวเดินบนท้องถนนราวกับหมอกฝัน พลันเห็นว่ามีผู้ลาดตระเวนของศาลมืดผ่านทางมา นางเบี่ยงร่างหลบตรงมุมถนนพลางหัวเราะคิกคัก
“คิกๆๆ…”
รอผู้ลาดตระเวนสองคนพาลมทมิฬผ่านไป เงาแดงยิ้มพลางมุ่งหน้าต่อ
ผ่านตรอกถนนด้วยความเร็วว่องไว คล้ายมีเป้าหมายของตน ไม่นานก็มาถึงนอกโรงเตี๊ยมหอมหมื่นลี้ใกล้สนามสอบแบบปิด
เงาแดงเงยหน้ามองโรงเตี๊ยม ผลุบเข้าชั้นสองของโรงเตี๊ยมเหมือนเชือกแดงเส้นหนึ่ง
ภายในโรงเตี๊ยมมีเสียงเจ็บปวดแหบพร่าผ่านลำคอดังออกมา
“ฮะ… เฮือก…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเงาแดงเจอห้องของอิ๋นจ้าวเซียน
แกรก… แอ๊ด…
ประตูห้องคลายกลอนเปิดออกเอง เงาแดงเดินเข้ามาในห้อง ประตูห้องด้านหลังปิดเองอีกครั้ง
สายตาเหลือบผ่านโต๊ะ เห็นเอกสารทางการเขียนว่าอันดับหนึ่งเจี้ยหยวนบนนั้น
“คิกๆๆๆ… อิ๋นเจี้ยหยวน…”
เงาแดงถลาตัวถึงข้างเตียง มือขาวเรียวยาวเล็บแดงข้างหนึ่งลูบผ่านหน้าอกอิ๋นจ้าวเซียน ปราณต้านทานบนตัวอิ๋นจ้าวเซียนกระแทกกลับ ปรากฏพลังยิ่งใหญ่
เงาแดงตัวสั่นสะท้าน แขนถึงกับถูกดีดออก ยามนี้อิ๋นจ้าวเซียนได้สติทันที
เห็นว่าในห้องมีหญิงสาวเพิ่มมาคนหนึ่ง อาจารย์อิ๋นถอยตัวหลบตามจิตใต้สำนึก ดูตื่นตระหนกอยู่บ้าง เห็นหญิงแปลกหน้าอยู่ในห้องน่ากลัวกว่าเห็นสัตว์ประหลาด
“จะ จะ เจ้า… เจ้าเป็นใคร กลางดึกเข้าห้องผู้ชายใช้ได้ที่ไหน!”
“คิกๆๆ… อิ๋นเจี้ยหยวน เจ้าเรียกข้าว่าฮูหยินแดงเถอะ ไม่เจอบัณฑิตอย่างเจ้ามาหลายปี เจ้าดูสิว่าข้าสวยไหม…”
หญิงสาวนั่งตรงหัวเตียง สวมชุดผ้าโปร่ง หันหน้ามองมาทางอิ๋นจ้าวเซียน
เดิมแค่คิดดูดปราณหยางบางส่วนมาเพิ่มอายุขัย ตอนนี้ส่วนลึกของนัยน์ตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียม
ทว่าตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนกลับขนพองสยองเกล้ามือเท้าเย็นเยียบ ภายใต้ผลกระทบจากปราณต้านทานยิ่งใหญ่ ชั่วพริบตาเขาเหมือนเห็นโครงกระดูกสีแดงร่างหนึ่ง…
‘นางคือปีศาจ…!’
[1] ก้งซื่อ หมายถึง ตำแหน่งของบัณฑิตซึ่งสอบผ่านระดับสาม
[2] จือฝู่ หมายถึง ตำแหน่งขุนนาง เทียบเท่าเลขานุการเทศบาลเมือง
[3] จือโจว หมายถึง ตำแหน่งขุนนาง เทียบเท่านายกเทศมนตรี
[4] งานเลี้ยงกวางฟาน หมายถึง งานเลี้ยงแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการสอบระดับเมืองเอก ในงานมีการท่องบทกวีหนึ่งซึ่งมีเนื้อความว่า ‘สำเนียงกวางฟาน ไล้หญ้าพงพี สหายประเสริฐข้ามี ผิวขลุ่ยพลิ้วพิณ…’ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่างานเลี้ยงกวางฟาน