ตอนที่ 130 หมากจริง
ในตำหนักข้างนอกจวน เทพแม่น้ำวสันต์ไป๋ฉีนั่งรออยู่บนเก้าอี้หินสีไข่ห่านอย่างสงบ
ไป๋ฉีไม่ได้ร้อนใจ อย่างไรเสียครั้งนี้เขาก็ตัดสินใจรอไปแล้ว
เมื่อดื่มชาใสของจวนบาดาลไปจอกหนึ่ง ก็มีข้ารับใช้ในจวนบาดาลที่ใบหน้ามีครีบปลา ท่อนล่างยังคงมีหางปลาว่ายน้ำเข้ามา
“ท่านไป๋ ประมุขมังกรใกล้มาถึงแล้วขอรับ!”
ไป๋ฉีตั้งสติให้มั่น วางจอกชาที่ปกคลุมด้วยฟองอากาศลง มองไปยังผู้มา
“จริงหรือ แล้วท่านจี้เล่า เขามาพร้อมกับประมุขมังกรด้วยหรือไม่”
แม้ความจริงแล้วคืนนี้ยังคงมีงานฉลอง แต่คืนที่สองผ่านพ้นไปแล้ว เผ่าวารีทุกฝ่ายแยกย้ายกันไปไม่น้อย สองวันกว่าๆ ผ่านไป ไป๋ฉีสอบถามจนรู้ว่า ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ผู้นั้นมีนามว่าจี้หยวน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นผู้วิเศษที่มีฐานะลึกลับคนหนึ่ง
อีกทั้งผูกมิตรกับประมุขมังกรได้ น่าจะมีให้เห็นได้ไม่มากสำหรับเผ่าปีศาจ
เห็นไป๋ฉีจ้องตนเองเช่นนี้ ภูตน้อยพลันถูกปราณมังกรที่อีกฝ่ายเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้กลัว จึงพูดจาติดขัดอยู่บ้าง
“เอ่อ…ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ!”
ไป๋ฉีตระหนักได้เช่นกันว่าตนเองเสียกิริยา รีบเก็บลมปราณทันที
“รู้แล้ว ข้าจะรอประมุขมังกรอยู่ที่นี่!”
ปีศาจน้ำผู้เป็นข้ารับใช้รีบถอยไป
ไม่นานเท่าไรนัก มังกรเฒ่ามาถึงตำหนักข้างแห่งนี้อย่างเชื่องช้า ฝ่ายไป๋ฉีรีบลุกขึ้นประสานมือให้
“ประมุขมังกร!”
ขณะกล่าวทักทาย ไป๋ฉีมองเห็นข้างหลังมังกรเฒ่าไม่มีใคร ย่อมผิดหวังตามที่คาดไว้
“เทพแม่น้ำไป๋ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าท่านรอข้าอยู่ที่นี่มีธุระอะไรหรือ”
เห็นมังกรเฒ่ามีท่าทีไม่รีบร้อน ไป๋ฉีก็ไม่อ้อมค้อมกับเขาแล้ว
“ขอไม่ปิดบังประมุขมังกร ไป๋ฉีอับจนอยู่ที่แม่น้ำวสันต์มานานปี ชีวิตนี้มีจิตใจเพ้อฝันที่จะกลายร่างเป็นมังกร วันก่อนเกิดเรื่องของเทพีแม่น้ำอิง…ข้าคนแซ่ไป๋ขอพูดตามตรง หวังประมุขมังกรช่วยแนะนำ ให้ข้าคนแซ่ไป๋ได้พบกับท่านจี้สักครั้ง!”
ไป๋ฉีอยู่ที่จังหวัดชุนฮุ่ยในตอนนั้นดูเหมือนอายุเกินครึ่งร้อย แต่ไป๋ฉีในตอนนี้ยิ่งเหมือนชายวัยกลางคนมากกว่า
มังกรเฒ่ามองเขา ในใจรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“เทพแม่น้ำไป๋ ข้ารู้ความคิดในใจท่าน ทว่าไม่สะดวกจะบอกท่าน เมื่อวันก่อนบุตรีคนเล็กของข้ามีวาสนาดีจริงๆ เพราะท่านจี้ช่วยเหลือจึงได้ของดี แม้จะกลายร่างเป็นมังกรไม่ได้ แต่กลับมีหัวใจของมังกรแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋ฉีไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากการหายใจเอาไอน้ำเข้าไปได้ และดูเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
“กระนั้นท่านจี้บอกไว้ชัดเจนแล้ว ครั้งนั้นห้วงจิตใจของนางสอดคล้องกับร่างกาย บวกกับมีโอกาสที่หาได้ยาก จึงแสดงเสียงมรรคอันสูงส่งและล้ำลึกช่วยนางผ่านด่านเคาะใจที่อันตรายครั้งหนึ่ง…”
“‘เคาะใจ’ ที่ผู้ฝึกตนเป็นเซียนมักเรียกกันน่ะหรือ”
ไป๋ฉีถามเสียงดังอย่างอดไม่ได้
ผู้ฝึกตนเป็นเซียนและปีศาจไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันมากนัก ทว่าก็รู้เรื่องอะไรไม่น้อย และมีปีศาจจำนวนหนึ่งที่เหมาะกับการฝึกวิชาเซียนโดยกำเนิด คล้ายกับเซียนและสัตว์เซียนบางจำพวก
แต่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าทำเป็นจริงๆ ความสามารถชนิดสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]อย่าง ‘การเคาะใจ’ มีเผ่าปีศาจน้อยนักที่มีไว้ในกำมือได้ รู้เพียงว่าการเคาะใจแบ่งออกเป็นหลายชนิด บ้างก็เหมือนกับธิดามังกร จังหวะเวลาเหมาะสมและมีผู้วิเศษคุ้มครอง บางก็เรียกว่า ‘เคราะห์เคาะใจ’
และ ‘การเคาะใจ’ มักต้องการแรงกายเพื่อกระทำ บางครั้งก็ต้องร้องขอจากโลกมนุษย์ด้วย
“ถูกต้อง! ท่านจี้บอกว่าที่จริงแล้วการเคาะใจครั้งนั้นอันตรายหาใดเปรียบ แน่นอนว่าเมื่อสำเร็จแล้วบุตรีข้าได้รับอะไรมากมาย สร้างหัวใจมังกรได้โดยตรง!”
มังกรเฒ่าอิงหงพูดอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นมองไปยังไป๋ฉีอีกครั้ง
“สถานการณ์ของเทพแม่น้ำไป๋แตกต่างกับลูกสาวข้าอย่างชัดเจน แม้มรรควิถีของสหายข้าจะสูงมาก แต่ถึงอย่างไรก็ฝ่าฝืนสวรรค์ไม่ได้….ตอนที่ข้ามาพบเจ้า เขาไปจากที่นี่แล้ว!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ไป๋ฉีตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ สุดท้ายเหมือนถูกดึงเรี่ยวแรงทั่วร่างไป ซึมเซาลงในทันที
“ไปจากที่นี่แล้ว…”
ไป๋ฉีพึมพำ ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องที่ประมุขมังกรตามหาจี้หยวนด้วยตัวเองนานถึงสามปี เมื่อคนเช่นนี้ไปแล้ว เขาไป๋ฉีอยากตามหาเกรงว่าจะไม่ง่าย
พูดถึงตรงนี้แล้ว ไป๋ฉีไม่อยากรออีกต่อไปแล้วเช่นกัน ประสานมือให้มังกรเฒ่าพร้อมโค้งตัวลง
“ขอบคุณประมุขมังกรที่บอกกล่าว ข้าคนแซ่ไป๋ขอตัวลา…”
เห็นเขาจะไปในทันที มังกรเฒ่าจึงรีบรั้งไว้
“เทพแม่น้ำไป๋ช้าก่อน ท่านจี้ทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะไป ให้ข้านำมาบอกท่าน”
ไป๋ฉีคิดว่าน่าจะเป็นคำโน้มน้าวห้ามไม่ให้เขาตามหา ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่อย่างไรก็อยากฟังสักหน่อย จึงหยุดฝีเท้ารอประมุขมังกรพูดต่อไป
“ท่านจี้บอกไว้ว่า ‘เรียกร้องไปอาจไม่มีวาสนา ฝึกฝนตามครรลองถึงจะเป็นเรื่องดี กลายร่างเป็นมังกรย่อมมีหนทาง ด้านหนึ่งเป็นเทพคุ้มครอง จิตใจไร้ข้อบกพร่อง ก็จะถึงเวลาที่มีกำยานบูชาเอง!’”
มังกรเฒ่าเพิ่งกล่าวจบก็พบว่าไป๋ฉีที่อยู่ตรงหน้าชะงักงันอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นพลังปราณเปลี่ยนแปลงจนแม้แต่ปราณมังกรทั่วร่างก็เกือบจะควบคุมไม่อยู่ อารมณ์แตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“จิตใจไร้ข้อบกพร่อง ก็จะถึงเวลาที่มีกำยานบูชาเอง…จิตใจไร้ข้อบกพร่อง ก็จะถึงเวลาที่มีกำยานบูชาเอง! เป็นเขา? เป็นเขา!”
ไป๋ฉีพูดกับตัวเองตามสัญชาตญาณ จากนั้นเงยหน้ามองมังกรเฒ่า แววตาล่องลอย ก่อนจะโค้งตัวลงทำความเคารพ
“ขอบคุณประมุขมังกรที่บอกต่อ ขอบคุณท่านจี้ที่ฝากมาชี้แนะ ไป๋ฉีจะปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างแน่นอน!”
การตอบสนองของไป๋ฉีเหนือความคาดหมายของมังกรเฒ่าอยู่บ้าง มังกรเฒ่าถึงขนาดมองเห็นมือข้างหนึ่งของไป๋ฉีกำชายเสื้อคลุมจนแน่น การตอบสนองนี้แปลกจริงๆ สำหรับเผ่าปีศาจที่มีฐานะเช่นเขา
‘หรือว่าความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ของจี้หยวนจะช่วยให้ไป๋ฉีกลับสู่เส้นทางกลายร่างเป็นมังกรอีกครั้ง แต่ก็ไม่ถูกต้อง สองประโยคก่อนหน้ายังบอกให้เขาอย่าร้องขอ ความหมายทั้งหมดคือบอกให้เขาเป็นเทพแม่น้ำดีๆ นำพาประชาชนจุดธูปบูชา เพื่อขยายเส้นทางของการเป็นเทพต่อไปไม่ใช่หรือ’
ไม่ว่ามังกรเฒ่าจะงุนงงเพียงใด แต่บนใบหน้ายังคงสุภาพดังเดิม
“เทพแม่น้ำไป๋ คำพูดนี้ของท่านนี้หมายความว่าอย่างไร เหตุใดท่านถึงได้…”
ตอนนี้ไป๋ฉีอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มเต็มใบหน้า เห็นมังกรเฒ่าสงสัยก็ยิ่งมีความสุข
“ฮ่าๆๆๆๆ…ประมุขมังกรอย่าได้แปลกใจ ในเมื่อท่านจี้ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าคนแซ่ไป๋ก็พูดชัดเจนไม่ได้ เอาเป็นว่าขอบคุณประมุขมังกรมาก ขออวยพรอีกครั้งให้ประมุขมังกรอายุยืนยาว ข้าคนแซ่ไป๋ขอตัวลา ลาก่อน! ฮ่าๆๆๆ…”
ไป๋ฉีเชิดหน้าเดินไป เพิ่งออกจากตำหนักข้างก็กลายร่างเป็นมังกรน้ำขาวไร้เกล็ด ว่ายเข้าแม่น้ำไป…
…
บนผิวน้ำสักแห่งเหนือแม่น้ำเทียมฟ้า จี้หยวนยืนอยู่บนหัวเรือประทุน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ เมื่อครู่นี้มีหมากตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในแขนเสื้อ
เห็นจากในเขตแดน กลับเป็นตัวหมากแข็งๆ โดยสมบูรณ์ตัวหนึ่ง ทว่ายังไม่ได้แบ่งเป็นสีดำหรือขาว ตอนนี้จึงปรากฏให้เห็นเป็นสีเทา
เขายื่นมือไปจับหมากในแขตแดน เพียงรู้สึกว่าน้ำหนักของหมากไม่เบาเลย มีเสียงร้องของมังกรน้ำขาวรางๆ
ข้างเรือมีธิดามังกรลอยอยู่ในแม่น้ำ เห็นจู่ๆ จี้หยวนก็ยิ้มพลางมองไปไกล เพียงรับรู้ถึงความรู้สึกของธรรมชาติ เหม่อลอยเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อจี้หยวนดึงสติกลับมาแล้วถึงจะกล้ารบกวน
“ท่านอาจี้ รั่วหลีส่งเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ!”
ธิดามังกรพูดจบแล้ว จี้หยวนได้ยินดังนั้นก็ประสานมือให้นาง
“เทพีแม่น้ำเชิญกลับเถอะ งานฉลองของบิดาเจ้าเพิ่งผ่านไป ในจวนต้องยุ่งเป็นแน่!”
ธิดามังกรโค้งตัวให้จี้หยวนท่ามกลางคลื่นน้ำ ยิ้มและกล่าวว่า “รั่วหลีขอตัวลา” จากนั้นก็หายลงไปใต้แม่น้ำ
จี้หยวนเห็นธิดามังกรลงน้ำแล้ว คราวนี้ถึงนั่งลงที่หัวเรือด้านหนึ่ง
ครั้นหยิบงอบขึ้นสวมและหยิบไม้พาย เขาก็พายเรือประทุนออกไปไกลเหมือนกับชาวประมงธรรมดา
ใต้ผิวน้ำ ความจริงแล้วธิดามังกรยังคงมองเรือเล็กเหนือศีรษะผ่านคลื่นน้ำ พบว่าจี้หยวนไม่ได้ใช้วิชามหัศจรรย์อะไร เพียงพายเรืออย่างช้าๆ เหมือนกับคนทั่วไปเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะนางรู้แต่แรกว่าบนเรือเล็กเป็นจี้หยวน ก็คงจะแยกไม่ออกว่าเรือลำนี้มีความพิเศษอะไร
ที่จริงชาติก่อนจี้หยวนพายเรือไม่เป็น แต่หลังจากเรียนรู้กับชาวประมงชราแล้วก็พายได้คลับคล้ายคลับคลา ได้หมากแข็งจริงๆ ตัวแรก เขาในตอนนี้ย่อมมีความสุขมาก
นอกเสียจากยังมีอีกสองเรื่องที่ทำให้จี้หยวนดีใจ
หนึ่งคือขอ ‘อำพันมังกร’ พิเศษจากมังกรเฒ่าหลายจอกแล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สุราที่หมักจากน้ำลายมังกร แต่กลับเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง ทำจากสาหร่ายที่เกิดขึ้นจากน้ำลายที่ไหลออกจากปากมังกรเฒ่ายามนอนหลับ ใส่สมุนไพรเซียนล้ำค่าและดูดซับปราณวิญญาณได้หลายชนิด กว่าจะเป็นสุราไม่ง่ายเลย ปริมาณก็ไม่มากเช่นกัน
มังกรเฒ่าเชิญอาจารย์อิ๋นดื่มสุราชนิดนี้ ส่วนจี้หยวนขอดื่มอยู่หลายจอกย่อมไม่ใช่เพราะเขาอยากดื่มสุราชนิดนี้เท่านั้น แต่อยากรำลึกถึงนักพรตผู้รนหาที่ตายบางคน อำพันมังกรนับว่าเพิ่มปราณดั้งเดิมที่นักพรตชิงซงเสียไปได้ ไม่ถึงกับสิ้นอายุขัยตั้งแต่อายุยังน้อย
เรื่องที่สองคือจี้หยวนเลือกตำราหลายเล่มจากคลังตำราของมังกรเฒ่า หากพูดให้ถูกต้อง เรียกได้ว่าตำรามีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นแท่งหยกหรือแผ่นหยกที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณเอาไว้ มีเนื้อหาที่จี้หยวนรู้สึกสนใจและขาดแคลนอยู่บ้าง
จี้หยวนรู้สึกว่าถึงแม้จะตกปลาไม่ได้เลยก็ไม่เลว จะได้อ่านตำราไปพลาง รออาจารย์อิ๋นไปพลาง หลังจากเสร็จสิ้นการสอบขุนนางเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็ถึงเวลาไปตามหานักพรตชิงซงเสียที ต่อชีวิตให้ผู้ที่ไม่สงบปากสงบคำสักครั้ง!
ดังนั้นจี้หยวนในตอนนี้ยึดติดกับการพายเรือมาก สบายใจและมีอิสระ สง่างามเหมือนกับระลอกคลื่น ถึงขนาดนึกถึงเพลงกลอนที่ชาวประมงชราบนเรือลำใหญ่ไปจังหวัดชุนฮุ่ยในตอนนั้น เมื่ออารมณ์และสภาพแวดล้อมสอดคล้องกันจึงเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข
“เรือประมงเอ๋ย…ยกพายขึ้นเถิด…ชาวประมงเอ๋ย…แกว่งพายเสียเถิด…”
เสียงของจี้หยวนทั้งมีกำลัง เรียบเฉย และรื่นหู ฟังดูแล้วไพเราะยิ่งกว่าชาวประมงชราผู้นั้น
ธิดามังกรที่อยู่ใต้น้ำเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง เห็นเรือลำเล็กเคลื่อนไปแล้ว ถึงได้ย้อนกลับไปยังจวนบาดาล นางไม่ได้กลายร่างเป็นมังกร เพียงขยับร่างกายว่ายน้ำลงไป เสื้อคลุมแขนกว้างและผมยาวสลวยทำให้เกิดคลื่นน้ำอยู่ข้างหลัง
‘ตอนที่ท่านพ่อพบกับท่านอาจี้ จะเป็นเหตุการณ์แบบใดกันนะ’
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึง หลักอ่อนพิชิตแข็ง ใช้แรงที่น้อยกว่าเอาชนะแรงที่มากกว่า