ตอนที่ 131 คำนินทาบนเรือประดับหอ
ชัดเจนว่าธิดามังกรไม่รู้ว่าบิดาตนเองพาจี้หยวนไปที่จวนบาดาลจากที่ใด จึงนำเรือประทุนและจี้หยวนไปส่งเหนือผิวน้ำตรงนั้น ห่างจากจวนบาดาลไปทางเหนือเพียงสิบกว่าลี้
ขณะจี้หยวนพายเรือ สายตาเลือนรางของเขามองเห็นทิวเขารอบข้าง ตอนเห็นทุ่งนาและป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะริมแม่น้ำก็ค่อยๆ ตระหนักว่าตนเองอาจจะยังต้องพายเรืออีกสักพักหนึ่ง จึงจะถึงตำแหน่งตกปลาก่อนหน้านี้ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางอีกนานเท่าไร จี้หยวนเริ่มเร่งความเร็วในการพายเรือ เรือที่ได้รับแรงจึงแล่นเร็วขึ้นมาก
ความจริงแล้วชาวประมงชราทั่วไปก็ใช้ความเร็วเช่นจี้หยวนในตอนนี้ได้ อีกทั้งรักษาความเร็วได้ครู่หนึ่ง ทว่าไม่อาจรักษาความเร็วต่อเนื่องไปได้ตลอดโดยที่แทบจะไม่เปลืองแรงเช่นจี้หยวน
ตอนแล่นเรือไปข้างหน้า จี้หยวนพยายามสังเกตทิวทัศน์ริมแม่น้ำ เห็นสีขาวทั้งผืนก็รู้ว่า ‘หิมะแรก’ เมื่อสามวันก่อนน่าจะต่อเนื่องนานทีเดียว
ความเร็วของเรือเล็กที่แล่นไปข้างหน้าในขณะนี้เท่ากับคนทั่วไปวิ่งสั้นๆ จี้หยวนสวมงอบอีกครั้ง ไม่รีบร้อนเร่งความเร็วอีก กลับกันกำลังกินของดีมากมายและสุราอำพันมังกรจากจวนบาดาล รู้สึกว่ารักษาความเร็วและพายเรือไปจนสุดแม่น้ำเทียมฟ้าได้
และอาจจะเป็นเพราะการดำรงอยู่ของหมาก จี้หยวนมีความรู้สึกว่าอาจารย์อิ๋นน่าจะยังไม่ถึงท่าเรือจ้วงหยวน
พายเรือจนถึงตอนเย็น คาดว่าพายเรือมาได้เจ็ดหรือแปดสิบลี้เต็มๆ แต่ยังคงไม่เห็นท่าเรือจ้วงหยวน กลับมองเห็นเรือประดับหอลำหนึ่งแล่นช้าๆ อยู่ข้างหน้า
ออกเรือในอากาศหนาวเช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าออกมาชมหิมะริมแม่น้ำหรือไม่
กรรเชียงเรือขนาดยักษ์ตรงท้ายเรือประดับหอกำลังส่ายไหวไปทางซ้ายและขวา คาดว่าฝีพายไม่ได้เหยียบแผ่นเหยียบอยู่ข้างในเร็วมากนัก
ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท บนเรือประดับหอมีข้ารับใช้เริ่มแขวนโคมแล้ว ส่องแสงจ้า จี้หยวนมองเห็นว่าบนโคมทุกดวงมีตัวอักษร ทว่าเลือนรางมองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร เพียงรู้ว่าตัวอักษรล้วนเหมือนกัน
ท่าทางเรือประดับหอลำนี้จะเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของครอบครัวใหญ่บางครอบครัว ตัวอักษรบนโคมนั้นก็คือสกุล
อย่างไรเสียจี้หยวนก็เบื่อหน่าย จึงพายเรือตามไปพลาง เดาตระกูลนั้นว่าเป็นตัวอักษรใดไปพลาง และใช้ระยะห่างพิจารณาระดับความยาก
พายไปได้สองร้อยครั้ง เข้าใกล้ไม่น้อย อย่างน้อยตัวอักษรก็ไม่ได้พร่าเลือนในสายตาเขาไปเสียหมด แต่ยังคงมองเห็นไม่ชัด
พายไปได้อีกสองร้อยครั้งก็เริ่มมีเค้าโครงอยู่บ้าง พอจะคาดเดาได้ไม่น้อย
พายไปได้อีกสามร้อยครั้ง ในที่สุดจี้หยวนก็เดาได้แล้ว ตระกูลส่วนใหญ่มีแค่เท่านั้น ดูจากข้างๆ ด้านบนและรายละเอียดตรงกลางด้านล่าง น่าจะเป็นอักษร ‘เซียว’
ตอนนี้เรือประทุนอยู่ห่างจากเรือประดับหอไม่ไกล ถึงท้องฟ้าจะมืดลงเรื่อยๆ และมีลมหนาวหวีดหวิว ก็ยังคงได้ยินเสียงดนตรีไพเราะและเสียงสนทนาจากบนเรือได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
ข้างหลังของแผ่นไม้ขนาบบนดาดฟ้าเรือ มีคนหลายคนยืนหรือฟุบอยู่ข้างราวเรือ เป็นบุรุษสวมเสื้อคลุมหนาและประดับกวนทรงสี่เหลี่ยมคนหนึ่ง คุณชายวัยหนุ่มในชุดคลุมและหมวกขนสัตว์คนหนึ่ง และยังมีข้ารับใช้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างหนาอีกสองคน
บุรุษที่อายุมากกว่าถือสุราจอกหนึ่งบนมือ ขณะนี้มองเรือประทุนที่พายเข้ามาแต่ไกล จึงดื่มสุราจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะมีข้ารับใช้มาเติมสุราให้ทันที
“จ้งโหลว เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เจ้าเกิดมาบนกองเงินกองทอง มีบิดาและมารดาคุ้มครองจนเติบใหญ่ แม้จะเรียนรู้บุ๋น ฝึกฝนบู๊ แต่สุดท้ายแล้วเคยเจอความลำบากจริงๆ ไม่กี่ครั้งกระมัง”
คุณชายข้างๆ ได้ฟังก็ไม่พอใจอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ ตอนฝึกวรยุทธ์ก็เจอความลำบากอยู่ไม่น้อย ท่านไม่เคยฝึก พูดเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ”
ชายชรายิ้ม ยื่นนิ้วชี้ไปยังเรือประทุนบนผิวน้ำข้างหลังเรือ
“ช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ บนแม่น้ำที่เย็นเยือก ชาวประมงออกหาปลาเลี้ยงชีพ บางทีไม่ได้อะไรเลย หิวจนไส้กิ่ว ส่วนตัวก็หนาวยะเยือก กลับไม่กล้าพักผ่อนยามทั้งหนาวและหิว…ความลำบากเช่นนี้ เจ้าเคยได้รับหรือไม่”
คุณชายผู้นี้มองตามบิดาชี้ไปยังเรือลำเล็กบนผิวน้ำ ชาวประมงผู้นั้นวาดไม้พายอย่างเต็มแรงตลอด ราวกับกำลังไล่ตามแสงไฟของเรือประดับหอลำนี้อย่างไร้เรี่ยวแรงในแม่น้ำที่ค่อยๆ มืดลง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด เขาไม่ได้เอ่ยคำโต้เถียงออกมา
ก่อนหน้านี้คุณชายผู้นี้เคยฟังข้ารับใช้พูดแล้วว่า ตลาดในเมืองไม่มีปลาสดมาหลายวันแล้ว ถึงแม้มีปลาก็ส่งมาจากที่อื่น เล่ากันว่าหลายวันก่อนจับหรือตกปลาจากแม่น้ำเทียมฟ้าไม่ได้เลย สถานการณ์ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ส่งผลกระทบถึงพวกเขาซึ่งเป็นคนใหญ่คนโต แต่สำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำบนแม่น้ำเล่า?
‘ท่าทางชาวประมงผู้นี้เดินทางมาไกล หวังว่าจะได้อะไรจากแม่น้ำที่ห่างไกลกระมัง’
“จ้งโหลว เจ้ากับข้าสวมเสื้อคลุมจึงไม่รู้สึกหนาว แต่เจ้าดูชาวประมงผู้นั้น ใต้งอบนั้นเป็นเสื้อผ้าบางๆ ตอนนี้เขาทำได้เพียงพายเรืออย่างไม่หยุดยั้ง เพราะหยุดแล้วเหงื่อบนตัวล้วนปลิดชีพเขาได้…อืม เขาพายเรือเร็วทีเดียวนะ…”
ชายชราผู้นี้กำลังพูดสั่งสอน พลันพบว่าเรือประทุนลำนี้เข้าใกล้เรือประดับหอมากแล้ว ดูจากความเร็วแล้วพายอีกไม่กี่ครั้งก็ตามเรือประดับหอทันแล้ว
จี้หยวนมองคนหลายคนบนหัวเรือจากเรือประทุนเหนือแม่น้ำ เหนือศีรษะมีปราณขุนนางลอยขึ้น น่าจะเป็นครอบครัวผู้มีอำนาจของจังหวัดจิงจี
สิ่งที่ได้ยินในหูกลับเป็นคำนินทาน่ารำคาญที่มักจะมีในหมู่คนสูงศักดิ์
คุณชายผู้นั้นมองเรือประทุนของจี้หยวนอยู่พักหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็หันไปเถียงบิดาตนเอง
“แต่ข้าก็ไม่อยากให้หงซิ่วเป็นภรรยาเอกเช่นกัน แต่งนางเป็นอนุไม่ได้หรือ”
บิดาผู้นั้นดื่มสุราอีกจอกหนึ่งเพื่ออบอุ่นร่างกาย แล้วถึงยิ้มเย็นกล่าวว่า
“เจ้ามีฐานะอะไร แล้วนางมีฐานะอะไร หญิงโสเภณีคนหนึ่งแต่งเข้าสกุลเซียวของพวกเรา เจ้าจะให้มารดาเจ้าจัดงานแต่งให้เจ้าอย่างไร เจ้าจะให้ฝ่ายราชการมองสกุลเซียวของพวกเราอย่างไร อนาคตของเจ้าจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!”
“ท่านพ่อ! กฎหมายข้อใดของต้าเจินที่ระบุว่าครอบครัวขุนนางแต่งหญิงโสเภณีเข้าตระกูลไม่ได้ และหงซิ่วขายฝีมือ นางไม่ได้ขายตัว!”
คุณชายผู้นี้โมโหอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เสียงพูดก็ดังขึ้นหลายส่วน
“เฮอะ กะอีแค่โสเภณีต่ำต้อย! และคำว่าขายฝีมือ ไม่ได้ขายตัวก็เป็นเพียงข่าวลือ นางก็เปิดกระโปรงให้เจ้าแล้วไม่ใช่หรือไร”
“ท่าน…ท่านพ่อระวังคำพูดด้วย!”
ชายชราผู้นี้เพียงแค่นหัวเราะหลายเสียง หยุดไปครู่หนึ่งถึงจะพูดขึ้น
“ข้าให้เจ้าออกมาตากลมหนาวเช่นนี้เผื่อว่าสมองจะปลอดโปร่ง หากเจ้าเลือกทางนี้ ความลำบากที่เจ้าจะได้รับต่อจากนี้อาจน้อยกว่าชาวประมงบนเรือประทุนลำนั้น หรืออาจจะลำบากยิ่งกว่าก็ได้ พ่อไม่เคยหลอกเจ้าหรอกนะ!”
ตอนเรือประทุนของจี้หยวนกำลังแล่นผ่าน ถึงขนาดได้ยินเสียง ‘กรอบแกรบ’ จากการกำหมัดของคุณชายผู้นั้น เห็นได้เลยว่าในใจโกรธเคืองและไม่พอใจเพียงใด
‘เฮอะ ความน่ารำคาญใจของคนมีอำนาจและมีเงิน…’
จี้หยวนส่ายหน้าและเพิ่มแรงอีกครั้ง เรือประทุนแล่นเร็วขึ้นอีกหลายส่วน ตามทันถึงครึ่งลำของเรือประดับหอแล้ว
นิ้วมือทั้งสองข้างของคุณชายบนเรือประดับหอสร้างรอยนิ้วจางๆ บนราวไม้ สายตากลับเคลื่อนตามเรือประทุน มองดูเรือลำเล็กที่คล้ายกำลังดิ้นรนและใกล้แซงหน้าเรือลำใหญ่ ในใจราวกับเข้าใจอย่างถ่องแท้ แรงที่ปลายนิ้วอ่อนลงในทันที
วินาทีนี้จี้หยวนเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงหันศีรษะมองไปข้างๆ มองไปยังคุณชายผู้นั้น สายตาของฝ่ายหลังเดิมทีก็จ้องมองเรือลำเล็กอยู่แล้ว ทันใดนั้นมองเห็นชาวประมงที่ก้มหน้าก้มตาพายเรือหันหน้ามา เหมือนกับกำลังมองเขาอยู่จึงชะงักงันไปเล็กน้อย
จี้หยวกพยักหน้าให้เขาเบาๆ ยิ้มแล้วก็หันกลับไปพายเรือต่อ ในปากพึมพำว่า
“น่าสนใจ น่าสนใจ!”
แต่ก็แค่น่าสนใจเล็กน้อยเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงปราณชั่วขณะของคุณชายเซียวผู้นี้ไม่อาจหมายถึงทั้งชีวิต หลังจากนี้เขาคนแซ่จี้อาจจะสนใจใคร่รู้ผลลัพธ์ก็เป็นได้
เรือประทุนราวกับเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง แม้มองไม่ชัดเจน แต่กลับเร็วมากจนแซงหน้าเรือประดับหอ สลัดทิ้งอยู่ข้างหลัง
บนเรือประดับหอของสกุลเซียว คุณชายผู้นั้นมุ่นคิ้วมองเรือประทุนอยู่นาน
“จ้งโหลว มีอะไรอยากพูดหรือไม่”
“ท่านพ่อ ข้าโน้มน้าวท่านไม่ได้ เช่นนั้นจะคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนมาไว้ให้ได้ก่อนแล้วกัน!”
ในที่สุดชายชราผู้นั้นก็ยิ้มออก มือซ้ายลูบหนวด มือขวาตบไหล่บุตรชาย
“เมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะไปดื่มชากับลุงหลิวของเจ้าเสียหน่อย!”