ตอนที่ 132 สหายมาเยือน
ความจริงแล้วด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเซียว คุณชายผู้นั้นอยากรับราชการ ต่อให้ไม่เข้าร่วมการสอบขุนนางก็เป็นขุนนางได้ ทว่าการสอบขุนนางไม่เพียงเป็นเส้นทางไต่ระดับของบัณฑิตและคนทั่วไป ยังเป็นวิธีการพิสูจน์ตนเองที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับลูกหลานขุนนางด้วย ขอเพียงไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยจริงๆ ทรัพยากรความรู้ของตระกูลที่โดดเด่นรวมกับเส้นสายอีกเล็กน้อย ก็มักจะได้รับผลการสอบขุนนางที่ไม่เลวแล้ว
ตอนจี้หยวนพายเรือจากไปย่อมได้ยินว่าตามหาใครดื่มชาจากข้างหลัง คำพูดเช่นนี้ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับการสอบขุนนาง คุณชายผู้นั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธ พูดได้เพียงว่าเป็นสิ่งที่เบื้องบนในระบบเจ้าขุนมูลนายแต่งตั้งกันเป็นธรรมเนียม
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่กล้าทำเกินไปจริงๆ อย่างมากได้รับแนวทางคำชี้แนะบางอย่างแล้วไปทำงานหนัก หากเกินกว่านั้นฮ่องเต้ผู้น่าเกรงขามไม่มีทางล้อเล่น ขุนนางที่ได้รับโทษหนักเพราะเปิดเผยข้อสอบในประวัติศาสตร์ต้าเจินก็มีเหมือนกัน
‘พูดได้เพียงว่าอาจารย์อิ๋นเอ๋ย คู่ต่อสู้ในการสอบขุนนางของท่านแข็งแกร่งดุจเมฆเชียว!’
เรือประทุนยิ่งพายยิ่งไกลออกไป หลุดพ้นขอบเขตสายตาของเรือใหญ่โดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว จี้หยวนเพิ่มแรงอีกครั้งทันที โดยทั่วไปจ้วงไม้พายในน้ำหนักๆ ครึ่งหนึ่ง เรือเล็กก็เคลื่อนออกไปได้ไกลมาก และไม้พายที่อยู่ในการคุ้มครองของพลังเล็กน้อยก็ทรหดหาใดเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ไม่หักครึ่งเพราะแรงมหาศาลที่เกินกว่าจะรับไหวอย่างชัดเจนเช่นนี้
ยังไม่ทันถึงกลางดึก เรือประทุนผ่านท่าเรือจ้วงหยวนแล้ว ท่าเรือตรงนั้นมีโคมและมีไฟ มีร้านสุราและมีโรงเตี๊ยม ศาลเทพแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลก็มีโคมแขวนไว้สูง อีกทั้งมีกำยานลอยเป็นเกลียวขึ้นไป
ทว่าค่ำคืนยามวสันต์ฤดูในตอนนี้ กลับไม่มีเรือข้ามแม่น้ำ
ผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก จี้หยวนพายเรือเล็กไปหยุดตรงสถานที่ที่มักจะใช้เทียบท่ากันในสมัยนี้ นับว่าถอนใจโล่งอกได้เสียที ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ชายชราตระกูลเฉินคนนั้นหาตนเองไม่เจอแล้วจะร้อนใจไปรายงานทางการหรือไม่
จี้หยวนไม่อยากยุ่งยากแล้ว ผูกเรือริมฝั่งอย่างดี เดินไปใต้เพิงกันสาดและปิดประตูไม้ไผ่สานทั้งสองด้าน แล้วห่มผ้าหลับไปอยู่ข้างในนั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีเสียงตะโกนคุ้นหูดังมาจากบนฝั่ง
“ท่านจี้? เป็นท่านจี้ใช่หรือไม่ ท่านจี้…”
ที่จริงจี้หยวนได้ยินเสียงฝีเท้าแต่ไกลก็ลืมตาแล้ว ตอนนี้ย่อมลอดออกมาจากเรือประทุน
เมื่อเห็นจี้หยวน ชายชราบนฝั่นก็ถอนใจโล่งอก
“ไอ้หยาท่านจี้ หลายวันนี้ท่านพายเรือไปที่ใดกัน อากาศหนาวขนาดนี้ ท่านหายไปหลายวันโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ข้ากลัวว่าท่าน…”
ชายชราตระกูลเฉินพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไป แต่จี้หยวนก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร จึงประสานมือให้ชายชราตระกูลเฉินด้วยความรู้สึกผิด
“เป็นข้าคนแซ่จี้ที่ผิด ไม่ได้พิจารณาให้รอบด้านอย่างแท้จริง ขอท่านลุงเฉินให้อภัย สองสามวันก่อนตกปลาไม่ได้เลย อีกทั้งเจอสหายคนหนึ่งบอกว่าพายเรือไปไกลหน่อยจะตกปลาได้ แล้วก็อยากล่องเรือชมหิมะด้วย จึงออกไปด้วยกัน ลืมบอกกล่าวท่านลุงเฉิน”
ชายชราตระกูลเฉินส่ายหน้า โบกมือให้จี้หยวน
“คราวนี้ท่านไปหลายวัน ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ แต่กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี…”
หลังจากบ่นอยู่ระลอกหนึ่งแล้ว ชายชราตระกูลเฉินถึงจะนับว่าปรับอารมณ์ได้ และเป็นเพราะคุ้นเคยกับจี้หยวนแล้ว เขาถึงกล้าบ่นอุบเช่นนี้
ตอนนี้ชายชราตระกูลเฉินมองตะกร้าใส่ปลาที่อยู่ตรงหัวเรือตามความเคยชิน ในนั้นว่างเปล่าดังคาด
“ท่านจี้ ท่านกับสหายของท่านตกปลาไม่ได้เลยกระมัง”
“ใช่ ตกไม่ได้เลย เขาหนีหายไปเพราะโมโหแล้ว!”
“เฮ้อ ช่วงนี้โชคร้ายจริงๆ คนในหมู่บ้านก็ตกปลาไม่ได้เหมือนกัน ฝูงปลาล้วนไม่โผล่หัว อย่างมากก็จับปลาหรือกุ้งตัวเล็กได้บ้าง ตกปลายิ่งไม่มีปลาติดเบ็ด ท่านจี้ ท่านคงไม่บอกว่าหลังจากถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วก็จะยังเป็นเช่นนี้กระมัง”
ชายชราพูดไปพลาง ส่งห่อใบบัวใกล้ฝั่งให้จี้หยวนไปพลาง บนนั้นมีควันร้อนๆ พวยพุ่ง
จี้หยวนขยับจมูก รับห่อใบบัวมาอย่างเบิกบานใจ แล้วพูดออกไปว่า
“ไปขอพรจากเทพีแม่น้ำหรือยัง”
“ขอแล้ว จะไม่ไปขอได้อย่างไร!”
“เช่นนั้นไม่เป็นไรหรอก ข้าว่าอีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว!”
“เฮ้อ ขอให้เป็นเช่นนั้นแล้วกัน! จริงสิ หากท่านจี้อยากดื่มสุรา ตอนบ่ายข้าสั่งสุราท้องถิ่นมาดีหรือไม่”
จี้หยวนตัดสินใจแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งก่อนยังไม่ทันดื่มเสร็จก็ถูกมังกรเฒ่าลากขึ้นเรือไป
“ไม่ต้องหรอกๆ ข้ายังมีสุราอยู่บ้าง หากต้องการเพิ่มย่อมขอจากท่านโดยตรง”
“ได้ๆ ท่านจี้ค่อยๆ ดื่มเถอะ ข้าขอตัวก่อนดีกว่า”
ชายชราตระกูลเฉินเบาใจแล้ว ยามเดินเหินผ่อนคลายสบายใจมาก เป็นห่วงจี้หยวนก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นคือกลัวว่าจะเกิดคดีฆาตกรรมอะไรจริงๆ
เมื่อชายชราเดินไปไกลแล้ว จี้หยวนปลดเชือกเรือจากเสาบนฝั่ง แล้วหยิบพายดันที่ข้างฝั่งเพื่อให้เรือเล็กลอยออกไป
ปีศาจเผ่าวารีต่างแดนนี้ โดยเฉพาะมังกรเจียวที่รวมกลุ่มกันมากเกินค่อยๆ จากไป สัตว์ในแม่น้ำที่ถูกทำให้ตกใจน่าจะกลับคืนสู่ความปกติเร็วๆ นี้
จี้หยวนนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กตรงหัวเรือในตำแหน่งที่เหมาะสมเช่นเคย นำหนอนติดเบ็ดพร้อมกับแกะห่อใบบัวออก ส่วนบนหัวเข่าวางตำราเล่มใหม่ที่ยืมมาจากมังกรเฒ่าไว้
ตำรานี้ชื่อว่า ‘ทฤษฎีควบคุม’ ไม่ใช่ตำราบันทึกสวรรค์ แต่ไม่ใช่ตำราทั่วไปแน่นอน จี้หยวนจึงมองเห็นได้ชัดเจน และดูเหมือนจะมีความลึกลับอื่นอยู่ระหว่างบรรทัดในตำราเล่มนี้ ผู้ที่มีสมาธิไม่เพียงพอจะรู้สึกวิงเวียนหรือถึงขั้นประสาทหลอนหากจ้องตัวอักษรในตำราเป็นเวลานาน
ตำรานี้เหมือนกับตำราหลายเล่มที่จี้หยวนได้รับก่อนหน้านี้ ล้วนไม่มีลงนามผู้เขียน
จี้หยวนเคยมีความคิดชั่วร้ายบางอย่าง เพราะอยู่ในโลกที่มีปีศาจและมรรคเซียนใช่หรือไม่ ความจริงแล้วผู้เขียนพวกนั้นก็กลัวเขียนอะไรที่ทำให้ผู้วิเศษหรือปีศาจไม่พอใจ แล้วจะมาคิดบัญชีหรือต่อยสักหมัดโดยตรง จึงไม่มีใครลงนามเอาไว้สักคน
‘ทฤษฎีควบคุม’ ไม่ใช่ตำราเคล็ดวิชา พูดให้ถูกต้องเป็นตำรา ‘ประเภทวิชาควบคุม’ ที่ช่วยให้เจ้าเข้าใจเคล็ดวิชา ทั่วไปแล้วตำราเล่มหนาเช่นนี้ส่วนใหญ่เป็นตำราเบ็ดเตล็ดอย่าง ‘คัมภีร์นอกรีต’ และ ‘กลยุทธ์เจิดจรัส’
ประเด็นคือตำราเบ็ดเตล็ดเช่นนี้น่าอ่าน ความน่าสนใจเต็มเปี่ยม!
ว่ากันว่าวิชาไม่สืบทอดกันง่ายๆ เนื้อหาของเคล็ดวิชาที่แท้จริงมักจะไม่วุ่นวายและมากขนาดนั้น ส่วนใหญ่ใช้วัตถุที่ได้รับการถ่ายทอดจิตวิญญาณเก็บรักษาไว้ นอกจากเงินติดตัวแล้ว จี้หยวนมีแท่งหยกที่ยืมมาอยู่ด้วย
แต่จี้หยวนคิดว่าในตำราเบ็ดเตล็ดพวกนี้ล้วนมีความรู้มากมาย ความคิดที่ไม่มีข้อจำกัดบางอย่างควรค่าให้คิดทบทวน ‘ทฤษฎีควบคุม’ นี้ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูงพูดถึงการค้นคว้าของผู้เขียนเกี่ยวกับการคุมวารี การคุมเพลิง การคุมวายุ ไม่พูดถึงวิธีที่ถูกต้อง เพียงพูดถึงประสบการณ์และการคาดเดา
ตามสัดส่วนของประสบการณ์และการคาดเดาในวิชาควบคุมต่างๆ จี้หยวนวิเคราะห์มรรควิถีและทักษะของผู้เขียนได้อย่างง่ายดาย เช่นการคุมอสนี ผู้เขียนไม่เป็นทักษะนี้แล้วแปดส่วน เนื้อหาส่วนนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นการฟังและตั้งสมมติฐาน หรือไม่ก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงและอภิปรายทั้งหมด
จี้หยวนเคี้ยวซาลาเปาพลางพลิกอ่านตำรา สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจคือพูดถึงการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของการคุมวารีซึ่งอ่อนโยนหรือแข็งแกร่งได้ มันสอดคล้องกับการยืนยันของจี้หยวนเอง ความรู้สึกก่อกวนจนทำให้คันไปทั้งตัวเช่นนี้ทำให้จี้หยวนยิ้มกริ่ม
ปลายคันเบ็ดตกปลาที่มือซ้ายสั่นไหวเล็กน้อย ปลาว่ายผลุบๆ โผล่ๆ จี้หยวนจึงยัดซาลาเปาในมือขวาที่กินไปแค่นิดเดียวเข้าปากทั้งหมด แล้วมองไปยังตรงที่ปลาอยู่
‘ติดเบ็ดแล้วหรือ’
มองใต้น้ำอยู่ครู่หนึ่ง จี้หยวนที่ยิ้มจางๆ หันไปมองถนนหลวงริมฝั่งที่อยู่ไกลออกมา มีบัณฑิตกำลังแบกกล่องตำราสองคนเดินมาด้วยกัน
“พี่อิ๋น ล้วนต้องโทษข้าที่ทำให้ท่านลำบาก ข้าควรรู้แต่แรกว่านั่นเป็นอุบาย อีกทั้งไม่ยอมฟังท่านโน้มน้าว หมดกันแล้วตอนนี้ ต้องนำค่าเดินทางของพวกเราสองคนชดเชย..”
บัณฑิตคนหนึ่งทอดถอนใจ
ถึงอิ๋นจ้าวเซียนจะโมโหอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็มีท่าทีสบายๆ มากกว่าเพื่อนร่วมงานอยู่มาก
“เอาละน้องสื่อ อย่าโทษตัวเองอีกเลย ถือว่าเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วกัน!”
“ก็จริง แต่คนสุกเอาเผากินเช่นนั้นยังกล้าเป็นคนชั่วฟ้องร้องก่อน หากไม่ใช่เพราะพี่อิ๋นมีฐานะเจี้ยหยวนของรัฐจี พวกเราสองคนก็เกือบจะต้องลงไปอยู่ในปรโลกแล้ว คิดแล้วก็น่าโมโหเสียจริง!”
อิ๋นจ้าวเซียนกำสายกล่องตำราจนแน่น มือที่กำแน่นแข็งทื่อและร้อนระอุ พลางมองคนที่อยู่ข้างๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้ายิ่งต้องได้รับคุณงามความดี ต่อไปต้องจัดการคดีเช่นนี้ให้ชัดเจน ความโชคร้ายในวันนี้อาจจะไม่ใช่ความโชคดีของเขาก็เป็นได้!”
“มีเหตุผลๆ พี่อิ๋นพูดมีเหตุผล!”
ทั้งสองคนคุยไปพลาง เดินไปพลาง ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดก็เข้าใกล้ริมแม่น้ำเทียมฟ้า ระหว่างนั้นคุยกันว่าเงินที่เหลือจะพอนั่งเรือหรือไม่ และคุยกันว่าอีกหลายเดือนถึงจะมีการสอบ มีความกังวลต่างๆ ในการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปให้ได้ในช่วงนี้
ถึงอิ๋นจ้าวเซียนจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง แต่ก็ทำได้แค่ดูตามสถานการณ์แล้ว
“ตรงนั้นมีชาวประมงคนหนึ่ง พวกเราไปถามว่าท่าเรือจ้วงหยวนอยู่อีกไกลหรือไม่ดีกว่า”
“ดีเหมือนกัน ไปถามเถอะ!”
แม้บัณฑิตทั้งสองจะเหนื่อยล้า ทว่าก็ยังเร่งฝีเท้าเดินไป
ใต้ผิวแม่น้ำ มียักษ์ซึ่งกำลังสงสัยว่าเหตุใดคนตกปลายังไม่ดึงเบ็ด หรือว่าตาบอด ไม่รู้ว่าตัวเองตกปลาได้แล้ว หรือคิดจะตกปลาตัวใหญ่ยิ่งกว่านี้อีก
บุตรมังกรพลันสั่งให้เขาตามหาคนตกปลาอยู่ที่นี่ และหาปลาตัวใหญ่ส่งไปติดเบ็ด ถึงยักษ์จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงรับคำสั่งและทำตามนั้น
ขณะกำลังจะเปลี่ยนปลาตัวใหม่ จู่ๆ ชาวประมงบนเรือเหนือผิวน้ำก็ยกคันเบ็ดขึ้น
อิ๋นจ้าวเซียนและบัณฑิตตระกูลสื่อกำลังจะถึงริมฝั่ง ยังไม่ทันได้เรียกคนที่อยู่ในเรือประทุน ก็เห็นชาวประมงบนเรือยกคันเบ็ดขึ้น ปลาซ่งขาวละเอียดตัวใหญ่หนักยี่สิบสามสิบชั่งดีดดิ้นตรงผิวน้ำจนสาดกระเซ็น